ตอนที่ 50 พลังใหม่
50
อึก!
“...”
ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นให้แปลกใจเล่นหรอก
เมื่อกลืนลูกแก้ววิญญาณนี้ลงไปผลก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งก่อนๆ นั่นคือความรู้สึกอุ่นซ่านที่แผ่ขยายในช่องท้องกับพลังปราณที่ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้น ในคราแรกมันก็ตั้งใจที่จะรับผลที่ตามมาอยู่บ้าง แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆก็ออกจะรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยเหมือนกัน
“เห็นไหม ข้าไม่ได้หลอกเจ้า” ถางเจียฉียังยืนยันคำพูดตนเอง
“เมื่อรู้ว่าไม่เกิดอะไรขึ้นทำไมศิษย์พี่จึงตามข้าเข้ามาอีก”
เมื่อได้ยินประโยคเชิงขับไล่นั่นถางเจียฉีจึงจำเป็นต้องกลับออกมาจากห้องอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะหันมองประตูที่ปิดลงนั้นอีกครั้งเพราะในใจของมันเกิดความสงสัยขึ้นมา แม้มันจะย้ำกับจางหมิงว่าไม่มีอะไรก็เถอะ แต่ก็น่าจะแสดงอาการอะไรออกมาให้ได้รู้บ้าง
มันจำผิด?
วิญญาณมนุษย์จะกระตุ้นสายเลือดให้เปิดออกเล็กน้อยเพื่อที่จะให้รองรับพลังได้มากขึ้น นั่นหมายถึงจะเกิดปฏิกิริยาที่ส่งผลต้องต่อการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าร้ายแรงเท่ากับการกระตุ้นโดยค่ายกล แต่การไม่ส่งผลอะไรเลยก็นับว่าแปลกเต็มที
หรือแกนวิญญาณเพียงสองไม่เพียงพอกันนะ...
ในที่สุดถางเจียฉีก็ละสายตาจางประตูห้องที่ปิดลงแล้วทะยานร่างจากไป ส่วนใจในกำลังคิดหาแหล่งพลังวิญญาณใหม่ที่จะนำมากระตุ้นสายเลือดอีกครั้งโดยที่สำนักไม่ออกมาสืบสวน ด้วยที่เร่งทำทั้งหมดเพราะอย่างน้อยมันก็ต้องการให้สายเลือดแสดงอำนาจก่อนที่จะกระตุ้นให้เปิดออกในการเปิดประตูปราณระดับขั้นสูง ที่ต้องเป็นเช่นนั้นเหตุผลเพราะมันจะทำให้การจัดรูปแบบค่ายกลง่ายขึ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่จางหมิงไม่ได้มีปฏิกิริยาอย่างที่ถางเจียฉีต้องการเนื่องจากสายเลือดได้ถูกกระตุ้นให้ฟื้นตื่นอยู่ก่อนแล้ว มันกำลังสะสมพลังโดยการดูดซับพลังวิญญาณจากลูกแก้ววิญญาณนั้นอย่างตะกละตะกลาม และอีกไม่นานมันจะสามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มที่
อีกไม่นาน...
จางหมิงผู้เป็นเจ้าของสายเลือดไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งที่อยู่ภายใน แต่หลังจากการเปลี่ยนจากขั้นต่ำไปเป็นขั้นกลางพลังปราณและความแข็งแรงของร่างกายมันได้เพิ่มขึ้น มันคิดเพียงว่าเกิดจากการเปลี่ยนระดับขั้น หากพอมาลองนึกย้อนดู ลูกแก้ววิญญาณเหล่านั้นต่างหากที่ให้ทั้งหมดนั้นแก่มัน
ลูกแก้ววิญญาณที่หลอมมาจากแกนวิญญาณมนุษย์ให้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากของเหล่าสรรพสัตว์มากนัก แต่การแสดงผลนั้นนับว่ายาวนานกว่า เมื่อความอุ่นซ่านที่แผ่ขยายในท้องจากเพียงผ่านวูบแล้วหายไปแต่ตอนนี้มันกลับยังคงรู้สึกได้แม้ผ่านไปหลายอึดใจแล้วก็ตาม และมันมาพร้อมกับความรู้สึกอิ่มเอมที่ทำให้รู้สึกดี
จางหมิงเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงกับเสียงเคาะประตู
“ศิษย์น้อง เจ้าอยู่หรือไม่” น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยทำให้จางหมิงต้องรีบเปิดประตูออกไปดู
“มีอันใดหรือศิษย์พี่”
ตรงหน้ามันคือศิษย์ร่วมสำนักผู้หนึ่งที่พอจะเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้าง แต่มันก็ไม่รู้เหตุผลที่คนผู้นี้มาหามันอยู่ดี
“เจ้าคือศิษย์น้องจางใช่หรือไม่”
“ขอรับ” จางหมิงตอบกลับก่อนจะรับกระดาษแผ่นหนึ่งจากคนผู้นี้ จากนั้นมันก็จากไปอย่างรวดเร็วด้วยวิชาตัวเบาที่ไม่ธรรมดา
กระดาษในมือจางหมิงถูกพับครึ่ง ด้านหน้าเป็นชื่อของมันเอง นั่นราวกับเป็นจดหมายฉบับหนึ่งที่ดูจะเป็นทางการอยู่ไม่น้อยเนื่องจากมีตราประทับลายพยัคฆ์ของสำนักอยู่ด้วย ส่วนภายในเป็นกฎการประลองและสถานที่ที่บอกเอาไว้ชัดเจน
เวลานัดหมายคือเที่ยงตรงหน้าวงกตพลังปราณของเขตใต้เพื่อเข้ารับการแข่งขันด้วยวงกตรูปแบบที่สาม ‘ผืนป่านิทรา’ กฎมีไม่มากนัก เพียงเดินทางสู่ใจกลางป่าเพื่อหาประตูทางออกก็ถือเป็นอันจบการแข่งขัน และจะมีการนำแก้วผลึกวารีมาใช้อีกครั้ง อีกประการคือผู้ที่ออกมาได้หนึ่งร้อยคนแรกเท่านั้นที่จะถือเป็นตัวแทนของตำหนักใต้
“สำนักแห่งนี้ดูเหมือนจะชื่นชอบการวิ่งแข่งเสียจริงๆ”
จางหมิงไม่ได้มีปัญหากับการเดินทางในป่า อย่างน้อยรังโจรของมันก็อยู่ในป่ารกชัฏที่ยากเข้าถึงอยู่แล้ว แต่ที่น่าระวังคงเป็นกับดักกลไกที่วงกตนั้นสร้างขึ้นมามากกว่า ระยะเวลาในการทดสอบคือสองเดือนเต็มซึ่งถือว่ายาวนานมาก นั่นก็คงจะโหดหินไม่น้อย อีกทั้งหากผู้ผ่านประตูออกมามีไม่ถึงหนึ่งร้อยก็จะนับแค่จำนวนคนเหล่านั้นที่กลายเป็นตัวแทน
กระดาษถูกพับเก็บตามเติม จางหมิงมองไปยังจิ้งจอกน้อยที่หลับสนิทก่อนจะเบนสายตาออกนอกหน้าต่าง ไม่มีสิ่งใดอยู่บนฟากฟ้า ไม่มีแม้กระทั่งดวงดาว วันนี้นับว่ามืดมิดยิ่งนัก
จันทร์เต็มดวงที่ควรส่องสว่างตอนนี้หลบลี้อยู่หลังก้อนเมฆใหญ่ทะมึน บรรยากาศรอบด้านสงัดเงียบไม่มีแม้เสียงลมฝน จางหมิงยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแบบนั้นเป็นปกติ ไม่นานหมู่เมฆก็เคลื่อนผ่านไปปล่อยให้ดวงจันทร์สีส้มสดออกมา
มันเป็นสีส้มจริงๆ
สีสันนั้นไม่ได้แวบหายไปเพียงชั่วครู่เหมือนหลายครั้งที่จากหมิงได้เห็นบ่อยๆในช่วงหลังๆ ตอนนี้มันเปล่งประกายสีเฉพาะตัวของมันออกมาอย่างชัดเจน และยังคงลอยอยู่บนฟากฟ้าแบบนั้น
จางหมิงจ้องมองอย่างแปลกใจ ดวงตาที่เคยมีสีดำสนิทเรืองรองด้วยสีแดงเข้มราวถูกฉาบทาด้วยเลือด หัวใจในอกกระหน่ำซัดอย่างบ้าคลั่งเรียกร้อง แม้แต่แกนปราณยังขยับไหวสั่นสะท้านไปมาก่อนปลดปล่อยไอพลังสีดำออกมาข้นคลักรอบตัว
ลูกแก้ววิญญาณในที่สุดก็ถูกดูดซับได้ทั้งหมด
มันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เลือดในกายนั้นเดือดพล่านจากการทำงานของหัวใจที่เต้นเร่า และริมฝีปากของมันกลับกล่าวประโยคหนึ่งออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“เปิดผนึก อาณาจักรจันทรา”
คำกล่าวนั้นสิ้นสุดพร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่ไหลรินออกมาจากผิวกายที่เริ่มปริแตก มันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหรือความรู้สึกอื่นใด สายตามันยังคงมองไปที่พระจันทร์สีสดอย่างไม่อาจละสายตา และรู้แค่ว่านั่นคือสิ่งที่มันต้องทำ
กลิ่นเลือดทำให้จิ้งจอกน้อยตื่นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อมันเห็นผู้เป็นเจ้าของโลหิตมันก็รีบขยับตัวถอยไปจนสุดขอบเตียงอย่างหวาดกลัว มันไม่ได้กลัวจางหมิง แต่กลัวในสิ่งที่จางหมิงกำลังเป็น
สีแดงฉานเจิ่งนองบนพื้นห้อง น่ากลัวว่าผู้เป็นเจ้าของห้องคงตายไปแล้วกับจำนวนเลือดที่ไหลรินมากมายเพียงนี้ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับจางหมิงที่เลือดกำลังถูกถ่ายเปลี่ยนเป็นสายพลังที่ดีกว่าเดิม
จางหมิงรู้สึกสงบลงกว่าที่เคย ราวกับสิ่งที่มันเผชิญคือสิ่งที่ถูกต้องจึงไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน ในหัวกำลังขบคิดถึงสิ่งที่ถางเจียฉีได้กล่าวไว้ว่าเมื่อกินลูกแก้ววิญญาณที่มาจากมนุษย์มันจะกลายเป็นมันจริงๆ ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่กำลังเป็นหรือเปล่าหนอ
ทำลาย!
ทำลาย!
ทำลาย!
...
ถ้อยคำหนึ่งก้องอยู่ในหัวมันจนปวดไปหมด บางสิ่งกำลังสั่งการมันจากในตัวเอง หากว่าวิญญาณภายในคือจางหมิงคงเก่าคงจะถูกครอบงำไปแล้ว หากในตอนนี้วิญญาณที่อยู่ภายในคือจางหมิงผู้นี้ และมันไม่ต้องการทำในสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่มันคิดเอง
“หุบปากไปซะ!”
จางหมิงตะโกนออกไปจิ้งจอกน้อยที่อยู่ไม่ไกลสะดุ้งโหยงก่อนจะกลับมาเป็นปกติเมื่อรู้สึกได้ว่าเจ้านายของมันกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง
เมื่อรู้สึกตัวจากการปฏิเสธปณิธานของสายเลือดทำให้ผิวหนังที่ปริแตกเจ็บปวดขึ้นมา ไอพลังสีดำที่ลอยเอื่อยรอบตัวสั่นไหวก่อนจะถูกดึงเข้าทางบาดแผลและช่วยให้ผิวสมานกันอย่างไร้ร่องรอยก่อนที่จะกลับเข้าสู่แกนปราณดังเดิม
จางหมิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่รู้ว่าได้บางอย่างติดมากับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาเพียงเล็กน้อยหากนั่นก็มีความแข็งแกร่งอย่างมาก อีกทั้งยังทรงพลัง บ้าคลั่ง และกระหายเลือดเป็นที่สุด สิ่งที่มันรู้ตอนนี้คือตัวมันสามารถเปิดปราณพิเศษที่เรียกว่าอาณาจักรจันทราได้ แม้ยังไม่รู้ถึงขีดจำกัดแต่ก็นับว่าเป็นไพ่ตายอย่างหนึ่ง เพราะอย่างน้อยปราณนี้ก็แข็งแกร่งกว่าปราณของมันเองถึงสามเท่า
ดวงจันทร์กลับมาเป็นสีเหลืองนวลแล้ว ทุกอย่างยังคงปกติหากไม่นับกองเลือดที่ยังสดใหม่บนพื้น ถึงจะรู้ว่าเป็นเลือดของตนเอง แต่มันก็ไม่ได้ชอบใจเอาเสียเลย
“ท่านหมิง...” จิ้งจอกน้อยเรียกผู้เป็นนายที่ยังคงเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง
“หลิงหลิง ตื่นแล้วหรือ ...มานี่เถอะ คงได้เวลาทำพันธะระหว่างข้ากับเจ้าเสียที”
+++
แมว : ต่อไปงดลงวัยเสาร์น้า วันนั้นงานยุ่งจริงจัง