ตอนที่ 19 มนต์ดำ
ความมืด ความวุ่นวาย ความสับสน ความโกรธ ความไม่พอใจ และความเศร้าโศกเสียใจ ความรู้สึกทางด้านลบทั้งหมดเหล่านี้ได้จู่โจมเข้ามาทีจิตใจของแคลร์ในครั้งเดียว
“เจ้าปีศาจกลับร่างมาเกิด เจ้าไม่ควรที่จะมาอยู่บนโลกใบนี้”
“ไม่สิ เจ้ามันน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจที่มีชีวิตอยู่เสียอีก เจ้ากำลังเกลียดและเบื่อหน่าย”
“ความมืดในหัวใจของเจ้านั้นมีสีเข้มกว่าสีของความมืดมนที่สุดของค่ำคืนด้วยซ้ำ”
เสียงที่เป็นอันตรายนี้ได้ล้อมรอบตัวของเธอ และไม่หยุดยั้งการโจมตีมาที่แคลร์ แคลร์ด่าทอออกไปทันที
“เจ้าสารเลว เจ้าควรจะได้รับการสับเป็นชิ้นๆ และถูกสังหารไปนานแล้ว”
แคลร์ขมวดคิ้วของเธอแน่นมากขึ้น
ปีศาจ ควรจะตายงั้นหรือ
ความมืดที่ล้อมรอบเธอเอาไว้ และแคลร์มองสับสนไปในทะเลแห่งความมืดที่กำลังล้อมรอบเธออยู่
ความตายคือสิ่งที่ดีที่สุดในการจบเรื่องราวเหล่านี้จริงๆนั้นหรือ
ใช่ แค่เพียงเจ้าตาย ทุกอย่างสามารถนำมาแลกได้ ทุกคนต่างก็ยินดีที่จะเป็นสักขีพยานในการตายของเจ้า รวมทั้งคนที่เจ้าห่วงใยมากที่สุดด้วย เร็วเข้ารีบทำให้ตัวเจ้าเป็นอิสระและชดเชยให้พวกเขาเหล่านั้นเสีย
เสียงที่เป็นอันตรายเริ่มที่จะอ่อนโยนมากขึ้น ราวกับว่ามันกำลังชี้แนะแคลร์อยู่
“เด็กน้อย มาเถิด กลับมาสู่อ้อมกอดของเทพเจ้า”
แต่ในทันทีที่ประโยคสุดท้ายสิ้นสุดลง แคลร์ก็ได้เปิดเปลือกตาที่หลับลงของเธอขึ้นอย่างรวดเร็ว
แสงสีขาวรอบตัวเธอได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที ในจิตใจของเธอ เสียงก่นด่าที่เป็นอันตรายก็ได้หายไปด้วยเช่นกัน แทนที่ด้วยสิ่งลึกลับ มันคงจะเป็นอาคานัม เวทย์ลี้ลับ ที่เพื่อนของเอ็มเมอรี่ได้ถ่ายทอดให้เธอนั้นเอง
“แคลร์ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม แล้วเกิดอะไรขึ้นขอรับ” จีนถามอย่างหงุดหงิด ดูเหมือนว่าแคลร์นั้นกำลังหวาดกลัวอย่างมากจริงๆ
“ฮืม..” แคลร์ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ก่อนจะสะบัดนิ้วของเธอที่เปียกเย็นไปยังมุมหนึ่ง และในทันทีเปลวไฟเล็กๆ ได้ปรากฏออกมา ก่อนจะมีเสียงร้องไห้ดังขึ้น
จีนมองอย่างประหลาดใจในตำแหน่งที่แคลร์ได้โจมตี ก่อนจะพบว่ามันคือก้อนหินสีดำเงางามที่มีขนาดเล็ก และในเวลานี้ รูปร่างเบาบางของมันได้เพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่เห็นนั้นมีขนาดเหมือนเด็กแต่ก็เบาบางมาก ราวกับว่ามันจะหายไปในทุกวินาที และดูเหมือนว่ามันกำลังอยู่ในความเจ็บปวด เห็นได้ชัดเพราะแคลร์ได้โจมตีไปที่มันนั้นเอง
“นี่มัน” จีนมองไปที่รูปร่างตรงหน้า ก่อนจะพูดออกมาในน้ำเสียงที่ต่ำ
“เป็นวิญญาณหรือ”
“ไม่เลว สามารถที่จะซ่อนธาตุแท้ของตัวเองได้ ตามพวกเรามา” แคลร์เดินไปหยิบเอาก้อนหินที่มีขนาดเล็กขึ้นมาก ก่อนจะเล่นอยู่กับมันเล็กน้อย
ร่างที่เบาบางราวกับลมนั้นมีท่าทีหวาดกลัว
“เจ้าคงจะเป็นคนที่ต่อสู้กับองค์ชายผู้ศักดิ์สิทธิ์ของวิหารแห่งแสงและเกือบจะเสียชีวิตไปแล้วใช่ไหม หลังจากนั้นเจ้าก็ได้กลายร่างมาเป็นหินก้อนนี้ รอร่างกายที่เหมาะสมเพื่อที่จะได้เข้าไปครอบครองมันซินะ” แคลร์พูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะค่อยๆบีบก้อนหินในมือเธอ
ร่างเบาบางร้องขึ้นมาทันทีด้วยความหวาดกลัว
“อย่า ข้าขอร้องท่าน อย่าบีบขยี้หินก้อนนี้”
“ทำไมถึงได้เลือกร่างของข้า” แคลร์หัวเราะอย่างเย็นชา พร้อมกับเล่นกับก้อนหินในมือไปมา
“เพราะว่า เพราะเจ้าเป็นคนที่มีอดีตที่น่าสนใจ คนที่มีเรื่องราวมักจะมีเงาดำอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของพวกเขา อีกอย่างเจ้าก็เป็นนักเวทย์ เหมาะสมเป็นอย่างมาก” รูปร่างเบาบางอ้อมแอ้มพูดขึ้น เสียงของมันลดลงอย่างอ่อนแรง มันกลัวว่าแคลร์จะไม่พอใจและบีบขยี้ก้อนหินนั้นไป
การแสดงออกของจีนเปลี่ยนไปและมองไปที่ร่างเบาบางนั้นด้วยความสงสัย เจ้าวิญญาณนั้นพูดอะไร แคลร์มีอดีตที่ซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ เขาและองค์ชายรองได้พยายามมาถึงจุดหนึ่ง แคลร์ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขานั้นเป็นอีกคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับแคลร์คนเก่า แต่แล้วเธอเป็นใคร ในตอนนี้ จีนรู้สึกอึดอัดใจอย่างไม่น่าเชื่อ จนเขาอยากจะคว้าไปที่ก้อนหินตรงหน้าแล้วถามให้รู้เรื่องไปเลย
แคลร์จับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของจีนได้ แคลร์ส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนจะหยิกก้อนหินอย่างโหดเหี้ยม และรุ่นแรง รูปร่างเบาบางที่อยู่ในก้อนหินร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“ได้โปรดอย่า ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง โด้โปรด”
“หุบปาก ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาบอกข้าในทุกเรื่อง” แคลร์ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาอีกครั้ง
“กลับลงไป” แคลร์มีคำถามมากมายต่อตัวประหลาดที่ต้องการจะโจมตีเธอ แต่ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะนัก
“อ่า ตกลง” รูปร่างเบาบางตอบอย่างขมขื่น เขาไม่มีร่างกายอีกต่อไปแล้ว และอำนาจของเขาก็หายไปด้วยเช่นกัน แล้วเขาจะสามารถเจรจาต่อรองได้อย่างไร
เพียงแค่กระพริบตา ควันรูปร่างสีดำก็ได้หายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขา
“แคลร์” แคลร์ได้เห็นความสับสนในสายตาของจีนได้อย่างชัดเจน
“ไม่มีอะไร ก็เพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ได้พ่ายแพ้และสูญเสียร่างกายของเขาไป และได้แนบจิตวิญญาณของเขาไปยังหินลึกลับก้อนนี้ ในขณะที่ข้าอยู่ในระหว่างการถ่ายทอด อาคามัน เวทย์ลี้ลับ เขาได้แทรกแซง และพยายามทำให้ข้าฟุ้งซ่านเพื่อที่จะได้ครอบครองร่างกายของข้าก็เท่านั้น” แคลร์ไม่ต้องการที่จะพูดมากไปกว่านี้ ก่อนจะวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะความสับสนลึกลงไปในหัวใจของเธอ แล้วเธอจะฟุ้งซ่านได้อย่างไร
แม้ว่าแคลร์จะพูดทุกอย่างออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่จีนรู้ว่าแคลร์นั้นได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าแคลร์รู้เรื่องทุกอย่างได้อย่างไร้ จีนจึงถามขึ้น
“แล้ว แล้วในตอนสุดท้าย ท่านสามารถค้นพบการดำรงอยู่ของวิญญาณนี้ได้อย่างไร”
“เพราะคำพูดประโยคสุดท้ายที่ของเขา” แคลร์หัวเราะขึ้นอย่างเย็นชาและพูดคำพูดประโยคนั้นขึ้น
“เด็กน้อย มาเถิด กลับมาสู่อ้อมกอดของเทพเจ้า” หลังจากที่เธอพูดประโยคเหล่านี้จบลง แคลร์ยกหัวของเธอขึ้นและมองไปที่ประตูหินด้านหน้า เธอใช้มือผลักไปด้านหน้าเล็กน้อย แล้วประตูหินก็เปิดออก
แคลร์เดินนำไปด้านหน้าและจีนก็เดินตามมาทางด้านหลัง แต่จีนกลับกำลังครุ่นคิดอยู่กับเรื่องอื่นแทน เขาได้ยินน้ำเสียงดูถูกอย่างชัดเจนของแคลร์ในครั้งที่เธอพูดประโยคสุดท้ายนั้นออกมา
หลังประตูหินนั้นเป็นบันไดหินเป็นทางยาวลงไปด้านล่างตลอดเส้นทาง ดังนั้นคนทั้งสองจึงเดินตามเส้นทาง จนมาถึงห้องที่เรียบง่ายที่มีเพียงเตียงหินโต๊ะนั่งหิน และเฟอร์นิเจอร์หินอื่นๆ บางส่วน และก็ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ ดูเหมือนว่าคนๆนั้นใช้วิธีการพิเศษเพื่อเก็บ อาคานัม เวทย์ลี้ลับนี้ไว้ ในประตูหิน มันคงจะเป็นเรื่องที่จำเป็นที่ต้องวางกระเบื้องทับไว้ตรงประตูเพื่อการสืบทอดต่อไป ไม่มีการจดบันทึกใดๆ เกี่ยวกับ อาคานัม เวทย์ลี้ลับบทนี้ ทำแบบนี้ มันถึงจะปลอดภัยซินะ
ห้องลับอีกห้องนั้นว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งสองคนกลับออกมาและก็อย่างเช่นเดิม จีนเป็นคนพาแคลร์ออกมาจากหลังม่านน้ำตกนั้น
ทั้งแก่นธาตุบริสุทธิ์และพลังของความมืดก็ได้กระจายหายไปจนหมดในระหว่างที่พวกเขาได้เดินทางกลับมา และเหล่าสัตว์เวทย์ทั้งหลายก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ระหว่างทางพวกเขาได้ฆ่าเหล่าสัตว์เวทย์ที่อยู่ระดับสามและสี่มาบ้าง ในขณะที่แคลร์ก็ยังคงมองหาหญ้าใจสลาย แคลร์ไม่ได้สังเกตเลยว่าจีนนั้นได้เฝ้ามองมาที่เธออย่างสับสน จีนไม่ได้สับสนในสิ่งอื่นใดนอกจากความกล้าหาญและประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของแคลร์ นี้ไม่ได้ดูเหมือนการมาฝึกฝนของผู้เริ่มต้นเลยแม้แต่น้อย แต่มันคือการสังหารหมู่ในแบบของแคลร์ต่างหาก
“แกนสัตว์เวทย์นี้คงจะเหมาะกับการทำแหวนที่ดีสำหรับท่านแม่ได้”แคลร์ใช้กริช เล่มคมขุดเอาแกนเวทย์จากตรงหัวของสัตว์เวทย์ระดับสี่ แกนเวทย์อันนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงกลางของแกนมีสีฟ้าเข้มและล้อมรอบไปด้วยเฉดสีที่แตกต่างกัน
จีนรู้สึกสับสนเกี่ยวกับตัวของเด็กสาวคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าของเขา เธอเป็นใครกันแน่ เขาไม่สามารถมองถึงตัวตนของเธอได้เลย กริชเล่มงามดูราวกับมันมีชีวิตชีวาเต้นรำอยู่ในมือน้อยๆ ของแคลร์ที่กำลังขุดเอาแกนเวทย์อยู่บนหัวของสัตว์เวทย์อยู่ในตอนนี้ คงจะไม่มีใครเชื่อว่าเธอคือคุณหนูผู้บ้าผู้ชายคนก่อนหน้านั้น ถ้าได้มาเห็นเธอในตอนนี้ เพียงแค่การต่อสู้เพียงครั้งสองครั้งที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถใช้เวทมนต์ได้ราวกับว่าเธอเป็นเจ้าของมันอย่างแท้จริง มีหลายครั้งที่เธอแทบจะไม่ต้องการความเหลือจากเขาเลย ก่อนที่จะสามารถจัดการกับสัตว์เวทย์เหล่านั้นลงได้
“ไปกันเถอะ” แคลร์ลุกขึ้นหลังจากที่เธอได้เก็บแกนเวทย์ได้ทั้งหมดแล้ว เธอเก็บกริชเล่มงามของเธอลงไปที่ร้องเท้าบูตอย่างเชี่ยวชาญ
พวกเขาเพียงแค่พบหญ้าใจสลายสองต้นเท่านั้นตลอดเส้นทาง แต่มันก็มากพอที่จะเรียกได้ว่าทำภารกิจให้สำเร็จได้แล้ว
หลังจากที่ออกมาจากหุบเขาเกลกอร์จแล้ว พวกเขาทั้งสองตัดสินใจที่จะพักผ่อนหนึ่งคืนในเมืองที่ใกล้ที่สุดและออกเดินทางในเช้าของวันถัดไป
ยามค่ำคืนก็ได้มาถึง
หลังจากเสร็จการอาหารค่ำ แคลร์ก็ได้เดินไปที่ห้องของเธอก่อนจะปิดประตูลงกลอนอย่างเรียบร้อย หลังจากนั้น แคลร์ก็ได้ฉีกคัมภีร์เวทย์ก่อนที่ระลอกคลื่นพลังจะกระเพื่อมออกไปทั่วห้องพัก กลายเป็นการปิดกั้นทุกเวทมนต์เพื่อไม่ให้มีใครสามารถที่จะดักฟังบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นของเธอได้
หลังจากที่ได้ทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แคลร์ก็หยิบเอาก้อนหินสีดำเงางามก้อนเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า
“ออกมา” แคลร์สั่งขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามองไปที่ก้อนหินสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาที่เยือกเย็น
แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก้อนหินสีดำยังคงสงบเงียบ ไม่เคลื่อนไหว
แคลร์ไม่ได้พูดอะไรขึ้นอีก ในทางตรงกันข้าม แคลร์เอื้อมมือไปหยิบเอากริชเล่มงามจากร้องเท้าบูตของเธอ และชี้ปลายที่แหลมคมของมันไปที่ก้อนหินสีดำบนโต๊ะแทน
“อย่า อย่า” แล้วก็มีเสียงร้องขึ้นทันทีด้วยความหวาดกลัว
แคลร์มองรูปร่างของมนุษย์ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ก่อนจะวางกริชลงไปยังที่ที่มันออกมา รูปร่างเบาบางหลังจากที่คิดว่าตัวเองได้พ้นจากภัยพิบัตินี้แล้ว แต่แคลร์กลับเอื้อมนิ้วมือของเธอไปจับอย่างแรงที่ก้อนหิน รูปร่างเบาบางทันทีขดตัวอยู่ในความเจ็บปวดและสั่นเทาขึ้น
“หินก้อนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับจิตวิญญาณของเจ้า และตามความเป็นจริงมันสามารถทำให้จิตวิญญาณของเจ้ารู้สึกเจ็บปวดได้” แคลร์เกิดความสนใจและเริ่มที่จะสังเกตหินสีดำที่อยู่ด้านหน้าของเธอ ซึ่งกำลังส่องแสงอยู่อย่างรำไรอยู่ในตอนนี้
ร่างเบาบางนั้นสั่นเท่าอย่างช่วยไม่ได้ เด็กสาวที่ดูงดงามและบริสุทธิ์คนนี้ อย่างแน่นอนว่าเธอไม่ใช่ทูตสวรรค์ผู้มีจิตใจงดงามราวกับหน้าตาของเธอที่ปรากฏให้เห็น แต่ในทางตรงกันข้ามเธอคือปีศาจน้อยดีๆ นี้เอง
“เอาล่ะ บอกข้ามาทั้งหมดว่าเจ้าเป็นใคร แล้วเจ้าไปต่อสู้กับองค์ชายผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารแห่งแสงได้อย่างไร แล้วนี้มันก้อนหินอะไร” แคลร์ถามขึ้นขณะที่มือก็ยังคงเล่นกับก้อนหินไปมา
รูปร่างเบาบางยังคงเงียบและไม่ได้พูดอะไรขึ้น จริงๆ มันกำลังพยายามแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อที่จะหลอกแคลร์อยู่นั้นเอง
“คงคิดว่าจะหาเรื่องแบบไหนมาหลอกข้าสินะ” เสียงของแคลร์นั้นดังไปทั่วห้อง ช่วงเวลาต่อมา ความเจ็บปวดที่มากมายก็ได้จู่โจมไปที่ร่างเบาบางในทันที
เล็บมือของแคลร์ฝังลึกลงไปอยู่ในหินเล็ก ๆในมือของเธอ ความไม่แยแสที่แผ่ออกมา ทำให้รูปร่างเบาบางสั่นเทามากไปกว่าเดิมอีก
ทำไมเด็กสาวผู้นี้ถึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกคลายกับ..
“บอกข้ามา เจ้าคือผู้ใช้มนต์ดำใช้หรือไม่ แล้วเจ้ามาทำอะไรที่หุบเขาเกลกอร์จแห่งนี้ อย่าบอกข้าว่าเจ้ามีนัดดูตัวองค์ชายผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น” น้ำเสียงที่เยือกเย็นของแคลร์เห็นได้ชัดว่ากำลังจะเจาะลึกลงไปถึงสิ่งที่เขาทำ แต่ตลกเย็นที่ได้ทิ้งท้ายเอาไว้นั้นทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่า
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเขาได้พบกับคู่แข่งของเขาแล้วในวันนี้ บุคคลที่เขาไม่สามารถที่จะหลอกได้