ตอนที่ 16 ใครบางคนที่มาจากวิหารแห่งแสง
ในขณะที่แคลร์กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์แบบไหนกันที่จะทำให้คลิฟนั้น เป็นกังวลได้มากขนาดนี้อยู่นั้นเอง เสียงของคลิฟก็ได้ลอยเข้ามาในหูของเธอในทันที
“สาวน้อยคนสวย รีบไปรีบกลับ ข้าจะรอเจ้ากลับมา” หลังจากจบประโยค คลิฟก็หันหลังกลับไปในทันที เขาไม่ได้สนใจที่จะมององค์รักษ์จีนเลยแม้แต่น้อย เขาคือบุคคลประเภทที่ว่าจะให้ความสนใจกับบุคคลที่ทำให้เขาสนใจได้เท่านั้น นักเวทย์มักจะเย่อหยิ่งและหยิ่งผยอง เพราะอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาเสมอ
“แคลร์ คลิฟรับท่านเป็นลูกศิษย์จริงๆ หรือขอรับ”จีนควบม้าของเขาให้เร็วขึ้น ก่อนจะถามเอาคำยืนยันจากแคลร์
“ใช่” แคลร์ตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ในขณะที่ตรวจสอบรายละเอียดของสิ่งของที่คลิฟได้มอบมันให้กับเธอ แคลร์ไม่ได้รู้สึกประทับใจในตัวจีนมากมายอะไร แม้เขาจะสาบานมอบความจงรักภักดีของเขาต่อเธอในวันนั้นแล้วก็ตาม หลังจากสวมใส่กำไลข้อมือ และเก็บอุปกรณ์เวทย์เสร็จเรียบร้อย แคลร์ก็ขี่ม้าออกตัวข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้จีนตามหลังมาอย่างใกล้ชิด
พวกเขาไม่ได้พบกับปัญหาที่ยุ่งยากแต่อย่างใดตลอดเส้นทาง เพราะมันเป็นกลุ่มคนเพียงแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งเป็นนักเวทย์ อีกหนึ่งเป็นนักรบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางไปยังหุบเขาเกลกอร์จ เหล่าผู้ฝึกหัดหรือกลุ่มที่แข็งแกร่ง พวกเขาทั้งสองถือว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า สายตาของพวกเขาไม่ได้มีความอยากรู้อยากเห็น หรือความตื่นเต้นในแบบของผู้ฝึกหัด นี่ทำให้เหล่าพวกสิบแปดมงกุฎ และโจรป่าคงระยะห่างจากพวกเขาเอาไว้ คนประเภทนี้โดยปกติแล้วจะมีความรู้สึกที่แม่นยำ พวกเขาไม่ต้องการที่จะหาผลประโยชน์ หากมันจะเป็นการจบลงด้วยความเลวร้ายยิ่งกว่าผลประโยชน์ที่จะได้มา
ด้วยวิธีการเช่นนี้ พวกเขาจึงใช้เวลาในการเดินทางเป็นเวลาเพียงแค่ห้าวันเท่านั้น และในที่สุดพวกเขาก็ได้มาถึง เมืองที่อยู่ใกล้กับหุบเขาเกลกอร์จแล้ว จีนเสนอแนะขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวที่เดินทางเข้าไปในหุบเขากอร์จในวันพรุ่งนี้
ตอนหัวค่ำ แคลร์ได้นั่งอยู่ใกล้กับหน้าต่าง ก่อนจะมองไปที่ดวงจันทร์สองดวงที่กำลังเต็มดวงอยู่อย่างเงียบ ๆ ในโลกใบใหม่แห่งนี้ มันดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ที่ลึกลับมาก ทุกๆปี ในสี่เดือนแรกของปีนั้นๆ จะมีดวงจันทร์เพียงหนึ่งดวงเท่านั้น หลังจากนั้นสี่เดือนให้หลังกลับมีดวงจันทร์เพิ่มขึ้นมาอีกดวงกลายเป็นสองดวง และสามเดือนทุกท้ายจะมีดวงจันทร์ถึงสามดวงด้วยกัน ตอนนี้มันเป็นช่วงเริ่มต้นของเดือนที่เจ็ด และมีดวงจันทร์สีน้ำเงินงดงามสองดวงด้วยกัน แคลร์เคยคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นเพราะดวงจันทร์ที่แปลกประหลาดเท่านี้ จึงทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยความลึกลับมากมายอย่างเช่นเวทมนต์เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้
หุบเขาเกลกอร์นั้นมีทั้งสองอย่างอยู่ด้วยกัน อันตรายและผลกำไร ยิ่งอันตรายที่มากมายขนาดไหนที่ท่านต้องเผชิญกับมัน ท่านยิ่งจะได้กำไรจากมันมากขึ้นเท่านั้น นักผจญภัยที่แทบจะนับไม่ถ้วน และกลุ่มทหารรับจ้างในแต่ละวันมักจะไปที่นั้น เพื่อที่จะสำเร็จภารกิจของพวกเขา ล่าสัตว์เวทย์แล้วนำแกนเวทย์ของพวกมันออกมา และขายทุกอย่างที่ได้แลกกับเหรียญทองมากมายเป็นค่าตอบแทน แต่แทบจะไม่มีใครเลยที่จะเดินทางเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาเกลกอร์จแห่งนี้ บางคนบอกว่าส่วนที่ลึกที่สุดนั้นเป็นทะเลทราย บางคนบอกว่ามันเป็นธารน้ำแข็งที่ไม่มีจุดสิ้นสุด แต่กลับไม่มีใครรู้แน่นอนสักคน
แคลร์และจีนขี่ม้าของพวกเขาเข้าไปยังหุบเขาเกลกอร์จ แต่พวกเขากลับไม่เห็นสัตว์เวทย์เลยแม้แต่ตัวเดียวในระหว่างทาง แม้แต่สัตว์เวทย์ที่ระดับต่ำที่สุดก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกมัน
“ถ้าไม่ใช่เพราะสัตว์เวทย์ระดับสูงอยู่ใกล้ๆ ในบริเวณนี้แล้วล่ะก็ อาจจะเป็นกลุ่มของทหารจับจ้างที่มีฝีมือระดับสูงเพิ่งจะเดินทางผ่านทางนี้ไปก็ได้ขอรับ” จีนวิเคราะห์ เห็นได้ชัดว่าสัตว์เวทย์ระดับสูงจะไม่อาศัยอยู่แถวนี้ ดังนั้นคำตอบเดียวก็คงจะต้องเป็นกลุ่มของทหารรับจ้างที่มีพลังแข็งแกร่ง และได้เดินผ่านทางนี้ไปอย่างแน่นอน
“ไปกันเถอะ” แคลร์กวาดสายตามองไปยังจุดที่มืดและเปียก เพราะหญ้าใจสลายเติบโตในที่ชื้นเช่นนี้ แต่แม้ว่าหลังจากที่พวกเขาพยายามค้นห้าอยู่เป็นนานก็ไม่พบอะไรแม้แต่น้อย
ความลึกและความกว้างของหุบเขาเกลกอร์จนั้นยากที่จะจิตนาการได้ เส้นทางต่อไปข้างหน้า นั้นเป็นทางที่แคบเกินกว่าจะขี่ม้าเข้าไปได้ แคลร์และจีนจึงจำเป็นต้องเดินทางด้วยเท้าเข้าไปด้านในแทน
หลังจากเดินทางอยู่เป็นเวลานาน บรรยากาศรอบๆ ก็ค่อยๆ มืดลง ถึงตอนนี้พวกเขาได้พบหญ้าใจสลายเพียงแค่สามต้นเท่านั้น
“ตั้งแคมป์ที่ข้างหน้านั้นเถอะขอรับ มันเป็นที่โล่ง” เห็นได้ชัดว่าจีนนั้นเคยมาที่นี่มาก่อนหน้าแล้ว
แคลร์พยักหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังเดินตรงไปข้างหน้า พวกเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้น ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังต่อสู้กันอยู่ กลิ่นคาวเลือดโชยมาตามอากาศ พร้อมด้วยเสียงคนตะโกนและเสียงหมาป่าหอนดังขึ้น
“มันเป็นฝูงหมาป่าวายุขอรับ”จีนถึงกับขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนกำลังโดนหมาป่าวายุโจมตี และกำลังดิ้นรนอย่างหนัก หมาป่าวายุเป็นสัตว์เวทย์ระดับที่สามเท่านั้น แต่พวกมันสามารถสร้างความรำคาญได้เป็นอย่างมาก เพราะพวกมันสามารถที่จะคายมีดวายุที่เป็นอันตรายอย่างมากออกมา และที่สำคัญพวกมันอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นฝูง เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม และเลือดเย็น และสติปัญญาของพวกมันก็ยังมากพอตัว ดังนั้นหมาป่าวายุจึงเป็นสัตว์เวทย์ที่น่ารำคาญและอาศัยอยู่ด้วยการแก้แค้น
“บ้าเอ้ย เดียวพ่อแกคนนี้จะสังหารให้หมดเลยคอยดู”น้ำเสียงที่คุ้นเคยเต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้น
ในทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งตำหนิเขาอย่างเป็นกังวลดังขึ้น
“แจ็คสัน อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นได้ไหม”
โอ้ แคลร์นึกขึ้นได้ถึงน้ำเสียงนี้ มันเป็นเสียงที่เธอเคยได้ยินมาก่อน ตอนอยู่ที่สถาบันทหารรับจ้างนั้นเอง กลุ่มทหารรับจ้างที่เรียกตัวเองว่า เลือดเหล็กหรืออะไรสักอย่าง
“ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเจอกับปัญหานะขอรับ” จีนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ในยามนี้มันก็เริ่มที่จะมืดขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวินาที และความมืดก็เป็นดังสวรรค์สำหรับ ความกลัว ความชั่วร้าย และความตายในสถานที่แห่งนี้
แคลร์ค้นห้าในกระเป๋าสะพายรอบเอวของเธอ ก่อนจะหยิบเอานกสีดำตัวเล็กๆ ออกมา นกไร้ชีวิต เพราะมันคือหุ่นเวทย์ เป็นหนึ่งในอุปกรณ์เวทย์ที่เอ็มเมอรี่ได้สร้างขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ
แคลร์ใส่กำกับพลังเวทย์ลงไปในหุ่นนก และมันก็ยืนขึ้นมาในทันที ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ สองครั้งก่อนจะบินออกไปบนท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม จากนั้นแคลร์ก็หยิบเอาลูกแก้วคริสตัลขนาดเล็กออกมา แล้วทันใดนั้นลูกแก้วคริสตัลก็แสดงภาพที่หุ่นนกได้มองเห็นออกมา
จีนจ้องมองอย่างตกตะลึง คนหน้าตายเอ็มเมอรี่ หัวสมัยเก่าและตระหนี่คนนั้น จริงๆ หรือที่จะสอนทักษะพิเศษแบบนี้ของเขาให้กับแคลร์ได้
ลูกแก้วคริสตัลลูกเล็กๆ ได้แสดงภาพของกลุ่มทหารรับจ้างที่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำยากอยู่ไม่น้อย ดูเหมือว่าหมาป่าวายุจะยังคงรอคอยและอยู่รอบๆ พวกเขาไปหมด ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังรอคอยความมืดในค่ำคืนที่จะมาถึงนี้ การสร้างวงล้อมทั้งสามเอาไว้แบบนี้ จะทำให้การล่าของพวกมันนั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุดและยิ่งจะทำให้ง่ายเข้าไปอีก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่ยากต่อการเข้าถึง และตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเสียชีวิต นั้นยิ่งทำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาส่วนใหญ่เป็นนักรบ และนักธนู กับนักเวทย์เพียงคนเดียว ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาได้ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดของเขาไปแล้ว ความหายากของนักเวทย์คือการกำหนดถึงความสำคัญของพวกเขาโดยตรง นักเวทย์ผู้อ่อนแอถูกล้อมเอาไว้ด้วยเพื่อนของเขา และคอยปกป้องเขาอย่างหนัก
“คุณหนู ท่านต้องการจะช่วยพวกเขาหรือขอรับ” เวลานี้จีนไม่ได้ใช้ชื่อเรียกของแคลร์ แต่กลับใช้คำว่าคุณหนู เพราะเขากำลังรอคอยคำสั่งจากแคลร์อยู่ ไม่ใช่ความเห็นของเธอ
แสงประกายประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาของแคลร์ และหายไปอย่างรวดเร็ว จอมกระบี่ชั้นหนึ่ง ต่ำรองลงมาแค่ลำดับของปราชญ์จอมกระบี่ และจอมกระบี่เท่านั้น นี่คงจะเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะทดสอบระดับความสามารถที่แท้จริงของจีนแล้ว
“ใช้ ไปช่วยพวกเขา” แคลร์พูดขึ้นเสียงเบา คนพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทหารรับจ้างที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของประเทศ ดังนั้นการช่วยเหลือพวกเขาต้องเป็นเรื่องดีในอนาคตอย่างแน่นอน
“ขอรับ” จีนดึงเอาดาบของเขาออกมา ดาบของเขาสั่นเล็กน้อยก่อนจะเรืองแสงสีเขียวหม่นออกมา มันคือสีของลมปราณของนักรบชั้นหนึ่ง แต่แคลร์รู้ จากที่คลิฟได้พูดเอาไว้ และถ้ามันถูกต้อง ลมปราณของจีนจะต้องเป็นสีม่วง จีนไม่ได้รีบวิ่งออกไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เขารู้ว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับเขาก็คือ ความปลอดภัยของแคลร์
แคลร์เรียกหุ่นนกของเธอกลับมา และเก็บลูกแก้วคริสตัลลงไปในกระเป๋าพร้อมกัน จากนั้นเธอก็หยิบเอาไม้คทาเวทย์ที่มีขนาดเล็กและประณีตออกมา แน่นอนว่าอุปรกณ์เวทย์ชิ้นนี้ก็ต้องเป็นของเอ็มเมอรี่เช่นเดียวกัน มันเป็นไม้คทาเวทย์ที่เอ็มเมอรี่ใช้ในครั้งแรก ตอนที่เขาเพิ่งจะได้กลายมาเป็นนักเวทย์อย่างเต็มตัว ดังนั้นความสำคัญของมันจึงแตกต่างจากชิ้นอื่นๆ
แคลร์ยกไม้คทาเวทย์ของเธอขึ้นช้าๆ ก่อนจะเริ่มสวดบทคาถาเวทย์ที่ซับซ้อนขึ้น แล้วในทันใดนั้นเอง ลูกบอลไฟขนาดเท่ากำปั้นจำนวนมากก็กระแทกลงไปบนตัวของหมาป่าวายุต่อหน้าพวกเขา การจู่โจมที่ไม่คาดคิดทำให้เหล่าหมาป่าวายุเห่าหอนขึ้นด้วยความเจ็บปวด กลิ่นไหม้ของสัตว์เวทย์กระจายไปทั่วบริเวณ จีนโจมตีเปิดเส้นทางด้านหน้าของเขาออก ทั้งเขาและแคลร์ในที่สุดก็สามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปถึงตัวของบุคคลที่ถูกรายล้อมไปด้วยฝูงหมาป่าวายุได้สำเร็จ
“นักเวทย์”
“นั่นคือนักเวทย์จริงๆ”
เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความหวังและความสุขดังขึ้น
“เป็นเจ้านั้นเอง คนสวย” ชายที่มีคราบเลือดไม่กี่คราบบนเสื้อของเขา ก็คือคนเดียวกับคนที่พยายามที่จะเริ่มบทสนทนากับแคลร์ที่สมาคมทหารรับจ้างนั้นเอง
แคลร์ไม่ได้ตอบอะไร และตรงกับข้ามเธอมุ่งเน้นความสนใจของเธอไปยังอัตรายทางด้านหน้าแทน อย่างตระหนักถึงอันตรายที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ค่ำคืนนั้นได้มาเยือนแล้ว จู่ๆ เหล่าหมาป่าวายุทั้งหลายก็ได้สงบลง แต่พวกมันไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่หมอบตัวลงและซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งต่อไปเท่านั้น
“สิ่งแรก เราต้องก่อกองไฟก่อน” ชายร่างกำยำที่ชื่อแจ็คสันผู้นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำ และในตอนนี้เขาก็สงบลงในที่สุด เริ่มที่จะออกคำสั่งกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ยังคงสามารถที่จะทำงานเล็กๆ น้อยได้ อีกส่วนให้ผลัดกันเป็นยามค่อยเฝ้าเอาไว้
สายลม
ในชั่วขณะนั้น ก็มีสายลมแปลกๆ พัดผ่านมา
ทันใดนั้น ก็เกิดคลื่นของแสงสีขาวบริสุทธิ์ ปรากฏขึ้นกลางอากาศในที่ที่ห่างไกลออกไป
กลุ่มผู้คนทั้งหมดต่างมองไปยังต้นกำเนิดของแสง และตกตะลึงไปพร้อมๆ กัน แสงสว่างได้ลอยใกล้เข้ามา และใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้นไปอีก ฉับพลันก็ปรากฏเป็นรูปร่างของมนุษย์ยืนอยู่กลางอากาศนั้น
“คงจะเป็นใครสักคนที่มาจากวิหารแห่งแสงแน่ๆ” ความผ่อนคลายในน้ำเสียงของแจ็ดสันก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นทันที ใครก็ตามที่สามารถที่จะลอยอยู่กลางอากาศและมีแสงสีขาวบริสุทธิ์อยู่รอบๆ เช่นนี้ จะต้องมาจากวิหารแห่งแสง และพวกเขาต่างก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาสามัญเลย ถ้าการโผล่มาของแคลร์ ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความหวังของการรอด การปรากฏตัวของคนจากวิหารแห่งแสงนั้น สามารถทำให้พวกเขามั่นใจได้เลยว่าจะต้องรอดอย่างแน่นอน
แสงสีขาวบริสุทธิ์ใกล้เข้ามา และใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้น และร่างของมนุษย์ที่อยู่ในแสงนั้นก็เริ่มที่จะชัดเจนมากขึ้น และมากขึ้นด้วยเช่นกัน
และร่างนั้นก็ชัดเจนว่าเป็นผู้ชาย