ตอนที่ 48 เปลี่ยน
48
นามของมันคือติงหรง ผู้มีศักดิ์เป็นเหลนของเจ้าสำนัก ด้วยตระกูลที่ดีและมีคนในตระกูลเป็นถึงเจ้าสำนักของหนึ่งในสำนักใหญ่ทั้งห้า มีหรือที่จะไม่มีคนรับมันเป็นศิษย์แต่มันก็ปฏิเสธเรื่อยมา ด้วยเหตุผลที่ว่ามันต้องชนะคนผู้หนึ่งให้ได้เสียก่อน
อาจารย์จากฝ่ายในพยายามตามตัวมันมาเป็นศิษย์หากก็ไม่มีใครหยุดความต้องการที่จะเอาชนะของติงหรงได้ ล่าสุดติงหรงได้ท้าประลองกับถางเจียฉีอีกครั้ง แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับมันจึงได้ผลักภาระให้คนอื่นไปเสีย และคนผู้นั้นก็คือจูลี่ถิงที่ถูกตามขึ้นไปบนเวที
“ข้าไปทำอะไรให้ท่านโกรธเคืองหรืออย่างไร” เธอถามขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“หึ! ก็ไม่ได้โกรธแค้นอันใดกับเจ้าหรอก แต่หนนี้เจ้าบัดซบถางเจียฉีมันตั้งเงื่อนไขที่จะประลองกับมันน่ะสิ หากข้าชนะเจ้าได้ เวทีวันนี้คือศึกของข้ากับมันในรอบต่อไป” น้ำเสียงนั้นช่างหยิ่งยโสและอวดดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็พอจะมีดีให้อวดบ้างจริงๆ
เมื่อฝ่ายตรงข้ามคือจูลี่ถิงผู้เป็นสตรีที่แสนจะเรียบร้อย ปฏิกิริยาที่ออกมาจึงเป็นเพียงแค่การขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น
เห... ใจเย็นกว่าที่คิด
นั่นคือสิ่งที่จากหมิงชอบใจในตัวของเธอ
เธอไม่ได้โกรธเคืองแม้จะถูกนำไปเป็นเหยื่อล่อแทน และไม่ได้วิตกกังวลกับการประลองที่อยู่เบื้องหน้า หากว่าติงหรงผู้นั้นมีดีให้อวด เธอคนนี้ก็คงมีดีเหมือนกัน
ผู้ที่ควบคุมดูแลการประลองคืออาจารย์สายในที่เรียกจูลี่ถิงขึ้นมา มันเป็นคนหนึ่งที่หวังจะได้ติงหรงเป็นศิษย์และเพื่อจะซื้อใจคนผู้นี้มันจึงได้ตอบรับคำขอในการเชิญตัวศิษย์สายนอกที่ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของมันได้ขึ้นเวที ตามจริงมันอยากเรียกถางเจียฉีมาเลยมากกว่า แต่ติดที่ว่าเจ้าตำหนักใต้ที่เป็นผู้ดูแลมันนั้นมีศักดิ์และสิทธิเหนือกว่าอาจารย์สายในธรรมดา
จางหมิงได้รู้แล้วว่าบุคคลบนเวทีอีกฝั่งคือศิษย์สายนอกคนสุดท้ายที่ใครๆก็บอกว่าเก่งกาจ นี่ก็นับว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าดูชมเป็นอย่างมาก
จูลี่ถิงได้โจมตีก่อนเบาๆเพื่อให้เกียรติอีกฝ่ายแต่ติงหรงเพียงแค่นยิ้มแล้วใช้ท่าประจำตัวทันที
พยัคฆ์ตัวสีเหลืองทองโจนทยานออกมาเป็นร่างเงาใหญ่โตพร้อมกับเสียงร้องคำรามอันบ้าคลั่ง จู่ลี่ถิงจึงได้ใช้เกราะปราณต้านรับไว้บ้างแต่ก็ต้องถอยร่อนไปหลายก้าว แต่นั่นก็ไม่อาจต้านทานพลังทั้งหมดของวิชายุทธ์อันทรงความแข็งแกร่งได้ เธอจึงเลือกที่จะปัดมันออกไปข้างตัว
ตูม!
เวทีที่เกิดจากการต่อกันของแผ่นหินขนาดใหญ่กลายเป็นหลุมกว้างอย่างง่ายดาย แต่จูลี่ถิงที่ควรจะหวาดวิตกกลับไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เธอยังคงโจมตีด้วยวิชาของตนเองแต่ก็เพียงเบาหวิวเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามโจมตีเข้ามาก็ไม่อาจแตะได้แม้แต่ชายผ้าของจูลี่ถิงเช่นกัน
“ศิษย์พี่ติงนั้นเด่นในเรื่องการทำลาย ส่วนศิษย์พี่จูเด่นในเรื่องความรวดเร็ว คงต้องรอดูว่าพลังปราณของฝ่ายใดจะหมดก่อนเสียแล้วกระมัง” เจ้าอ้วนวิเคราะห์แบบชิดติดขอบเวที
“แต่ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะมีดีกันแค่นี้”
“อาจจะถูกของเจ้าศิษย์น้องจาง แต่ข้าก็ยังไม่เห็นว่าพวกมันจะตั้งใจต่อสู้กันเท่าใดเลย”
จางหมิงเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น แม้การต่อสู้ดูจะดูรุนแรงอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ดุเดือนให้รู้สึกตื่นเต้น ราวกับว่าพวกมันไม่อยากแสดงฝีมือจริงๆของตนเองสักเท่าใด
แบบนี้ดูไปก็รังจะทำให้เบื่อหน่ายเสียเปล่าๆ
จางหมิงได้ขอตัวกลับที่พัก ความรู้สึกหนึ่งคือสิ่งที่เห็นนั้นน่าเบื่อเกินไป และอีกความรู้สึกคือความกระหายภายในที่ท่วมท้นขึ้นมาอีกครั้ง
ปัจจุบันเหล่าสรรพสัตว์เขตใต้เริ่มหายากขึ้น จึงมีหลายครั้งที่จางหมิงแอบเข้าไปในป่าของเขตตะวันตก แม้จะมีกฎห้ามแต่เมื่อความอยากในตัวมันหิวกระหายแล้วมันจะอดใจที่จะไม่เข้าไปในเขตที่มีสัตว์ป่าเหลืออยู่มากกว่าได้อย่างไร
ออกจากที่พักมาถึงสุดเขตชายป่าทางใต้ซึ่งคาบเกี่ยวกับชายป่าฝั่งตะวันตกที่มันคุ้นเคย จิ้งจอกน้อยบัดนี้เลิกรออาหารที่มันล่าให้แล้วกลับไปล่าเสียเองเป็นส่วนมาก ก็ดูมันจะสนุกไม่น้อยกับการต่อสู้ หากไม่นับรวมเวทมายาที่ติดตัวแต่กำเนิด แค่ฟันของมันก็กินขาดพวกสัตว์อสูรระดับธรรมดาแล้ว
“เจ้าอ้วนเคยบอกว่าชายป่าทางฝั่งตะวันตกนั้นอันตรายที่สุด เหมือนจะมีคนตายกับสัตว์อสูรบางชนิดด้วย ...หรือเปล่านะ” จางหมิงพึมพำกับตนเองหากมีเสียงตอบกลับมาด้านหลังทำให้มันหันขวับไปมอง
“ก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก เพราะทางฝั่งนั้นมีกฎห้ามศิษย์ที่มีขั้นต่ำกว่าระดับสูงเข้าป่าด้วยซ้ำ” เป็นถางเจียฉีนั่นเองที่ตามมันมา
“อา... มีอะไรหรือเปล่าศิษย์พี่”
“ข้าแค่จะมาเตือนว่าการที่เจ้าเข้าไปที่ฝั่งตำหนักตะวันตกนั่นผิดกฎตำหนักเรา” มันพูดออกมายิ้มๆเช่นเคย
“แค่นั้นจริงหรือ” จางหมิงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยที่จะถามคำถามนั้นกลับไป
“แค่จะบอกว่าหากข้าไปด้วยนั่นย่อมไม่ผิดกฎ เพราะการที่ผู้ดูแลตำหนักนั้นๆไปตำหนักอื่นก็เพียงเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยของสำนักเท่านั้น การจะมีคนติดตามก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต”
จางหมิงรู้ดีว่านั่นก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์จริงๆอีกเช่นกัน หากว่าถางเจียฉีผู้นี้จะตักเตือนตอนมันผิดกฎจริงคงออกมาเสียตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ไม่ใช่การออกมาห้ามปรามในวันนี้
แล้วอะไรคือผู้ติดตามล่ะ!
มันคือการเดินทางร่วมกัน?
เหอะ! ก็เพียงแค่ข้ออ้างที่จะให้ไปด้วยก็เท่านั้น มันก็หาอาหารของมันเองอยู่ทุกวัน ไม่รู้วันนี้ศิษย์พี่ผู้นี้นึกอย่างไรจึงได้ออกมาร่วมด้วย
“แล้วศิษย์พี่ก็คงจะบังคับให้ข้าไปทางที่ท่านต้องการใช่หรือไม่”
“อย่าได้พูดเช่นนั้นศิษย์น้อง ตัวข้านั้นย่อมทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเจ้าเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว”
จางหมิงรู้สึกเกลียดใบหน้าที่ได้แต่ยิ้มนั่นจริงๆ
“ศิษย์พี่ข้าจะไม่ไหวแล้ว!”
“อย่ายอมแพ้ศิษย์น้อง! เราต้องหนีจากมันได้อย่างแน่นอน”
“มันเก่งเกินไป อ๊ากกกกก!”
...
ความอลหม่านเหล่านั้นอยู่ในสายตาของคนทั้งสองและสัตว์ปีศาจอีกหนึ่งตัว แต่พวกมันก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปช่วยเหลืออันใด
“ศิษย์พาข้ามาดูอะไร” จางหมิงขวมดคิ้วกับสิ่งที่เห็นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวอย่างจริงจังนัก
“อา... มันเป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้น”
“บังเอิญว่าท่านพาข้าตรงดิ่งมาเจอโดยตั้งใจน่ะหรือ”
“ความบังเอิญย่อมเกิดจากความไม่ตั้งใจสิถึงจะถูกต้อง ...แต่ดูเหมือนใกล้จะสิ้นสุดแล้วล่ะ”
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเหล่าศิษย์สายนอกสี่คนกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรที่มีรูปลักษณ์ของเสือดาว ความเร็วของมันนั้นพัวพันจนคนทั้งหมดไม่อาจหลบหนีออกไปได้ ซึ่งตอนนี้มีคนล้มไปแล้วสองคน และดูท่าว่ายังไม่ตาย
“คิษย์พี่ไม่เข้าไปช่วยหรือ” จางหมิงถาม แม้มันจะไม่ได้แปลกใจก็ตามที
“เอ๋! ทำไมต้องช่วยด้วยล่ะ” ใบหน้าคมหายนั้นหันมามองตื่นๆเหมือนตกใจเสียเต็มประดาอย่างสมจริง แต่จางหมิงที่พอจะแกะสีหน้านั้นออกก็รู้สึกอยากจะเข้าไปทุบหน้ากากนั้นให้แหลกหากไม่ติดที่ระดับฝีมือมันนั้นห่างชั้นเกินไป
“แล้วนี่ต้องการจะให้ข้ามาดูพวกมันตาย?”
จางหมิงเคยพบเห็นคนตายมามากตั้งแต่พวกเลวชาติไปจนถึงคนบริสุทธิ์ เรื่องพวกนี้ไม่ได้ทำให้มันหวั่นไหวอันใดหรอก แต่ที่ถามไปเพราะความสงสัยจริงๆ
มันไม่คิดว่าคนผู้นี้จะพามันมาเพื่อเหตุผลแค่นั้น
“นั่นสินะ ข้าแค่กำลังคิดว่า เมื่อวิญญาณสัตว์เติมเต็มได้ไม่นาน หากเปลี่ยนเป็นวิญญาณมนุษย์จะเป็นเช่นไรหนอ...”
จางหมิงขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน ดวงตาจ้องมองไปที่ถางเจียฉีที่ยังคงยิ้มแย้มราวกับพูดถึงเรื่องอากาศธาตุไม่ใช่ชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้
มันผู้นี้คิดจะทำให้ข้าจางหมิงกลายเป็นปีศาจไปจริงๆหรืออย่างไร!
+++