ตอนที่ 4 แคลร์ผู้แปลกไป
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ชีวิตของแคลร์จะเปลี่ยนไปตลอดกาล
กอร์ดั้นได้ว่าจ้างให้ลูกศิษย์คนแรกของนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงและความโดดเด่นให้มาเป็นผู้ฝึกสอนแก่แคลร์ เขาหนุ่มน้อยผู้มีความสามารถเหนือแม้แต่อาจารย์ของเขา คามิลล์ สุภาพบุรุษผู้อ่อนวัย รูปร่างหน้าตาของเขานั้นหล่อเหล่า ผู้มีผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้าอ่อน
“แคลร์ เขาจะมาเป็นอาจารย์ของหลานนับแต่นี้เป็นต้นไป เขาจะช่วยสอน วรรณกรรม ภูมิศาสตร์ และความรู้ในเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ให้แก่หลานในทุกวันตอนเช้า” กอร์ดั้นเป็นผู้เดินนำทางคามิลล์มาที่ห้องหนังสือด้วยตัวของเขาเอง หลังจากนั้นก็แนะนำตัวนำให้แคลร์รู้จัก เขาก็หันกลับไปที่คามิลล์
“คามิลล์ คงต้องรบกวนเจ้าแล้วจากนี้ต่อไป”
“ไม่จำเป็นจะต้องทำตัวเป็นทางการเช่นนั้นหรอกท่านดยุค มันไม่ได้เป็นการรบกวนแต่อย่างใด” คามิลล์ยิ้มขึ้นอย่างอบอุ่นและหันไปทางแคลร์
“คุณหนูแคลร์ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ”
แคลร์ที่ได้ยืนอยู่ก่อนมานานแล้ว พร้อมกับยิ้มทักทายกลับไป
“ท่านอาจารย์ ต้องรบกวนเวลาของท่านเพื่อมาสั่งสอนข้าแล้ว”
“อย่าได้เกรงใจหากต้องการสิ่งใดจากเหล่าคนรับใช้หรือพ่อบ้านของที่นี้ ตัวข้านั้นมีธุระที่ยังจะต้องไปจัดการอยู่อีกมาก” กอร์ดั้นหัวเราะขึ้น
“ตามสบายเถิดท่านดยุค” คามิลล์ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น ทั้งอ่อนโยนและสง่างาม
แคลร์เองก็ทำความเคารพและมองส่งกอร์ดั้นที่เดินจากไป
มีเพียงแค่พวกเขาสองคนที่เหลืออยู่ในห้องหนังสือที่กว้างใหญ่แห่งนี้ คามิลล์มองอย่างยุ่งยากใจไปยังสาวน้อยตรงหน้าของเขา เธอสวมใสชุดกระโปรงแบบเรียบง่าย และมีลายปักที่ดูธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ผมสีทองรวมขึ้นเป็นม้วนแบบง่ายๆ ที่ไม่มีแม้แต่เครื่องประดับซักชิ้นติดอยู่บนนั้น หากแต่สายตาที่ล้ำลึก จ้องมองมาอย่างเยือกเย็นด้วยนัยน์ตาประกายเขียวราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน เด็กสาวที่ดูบริสุทธิ์เช่นนี้ กลับเป็นผู้ไล่ล่าผู้ชายไปทั่ว คนโง่เขลาผู้นั้น และได้กลายเป็นความน่าอับอายของเมืองหลวงไปแล้ว
“ท่านอาจารย์เชิญนั่งลงก่อนค่ะ” แคลร์ยิ้มออกมา
คามิลล์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยในรอยยิ้มที่ไม่ยินดียินร้ายของแคลร์ เด็กสาวผู้นี้ช่างไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาได้ยินมาเสียจริง ข่าวลือได้พูดถึงนางเกี่ยวกับความสนใจในเพศตรงข้ามอย่างมากถึงมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงได้เตรียมตัวและคำพูดมากมายมาในวันนี้ หากไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากทำให้ดยุคเสียหน้า เขาก็คงจะไม่ยอมตกลงรับงานนี้เด็ดขาด แต่เด็กสาวที่อยู่ต่อหน้าเขาในเวลานี้กลับให้ความรู้สึก....จะให้เขาอธิบายอย่างไรดี....แม้ว่าเธอจะมีรอยยิ้มประดับใบหน้างามอยู่เสมอ แต่มันกลับให้ความรู้สึกจอมปลอม และให้ความรู้สึกเย็นชามาแทนที
คามิลล์หยุดความคิดสันสนของเขาทิ้งไป และตีสีหน้าจริงจังพร้อมกับรอยยิ้มของผู้มีประสบการณ์ขึ้นมาแทน ก่อนจะนำเอาหนังสือที่เขาได้เตรียมไว้ออกมา
“เช่นนั้นคุณหนูแคลร์ วันนี้เราจะเริ่มต้นเรียนวิชา....”
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากจะขอความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้” แคลร์ไม่แม้แต่จะมองหนังสือที่มือของคามิลล์ กลับยกหนังสือที่ตัวเองถือขึ้นมาแทนที่ คามิลล์จ้องมองและรู้สึกประหลายใจอยู่ไม่น้อย เพราะหนังสือเล่นนั้นมันคือ ประวัติศาสตร์แอมพาร์คแลนด์
ในยามเช้าที่ผ่านไปอย่างสงบสุข โดยไม่มีการรบกวนรังควานใดๆ เกิดขึ้น อย่างเช่นที่เขาได้จินตนาการเอาไว้ แต่ในระหว่างคำถามที่ไม่มีที่สิ้นสุดของแคลร์ ทำให้คามิลล์รู้สึกตื่นตะลึงอย่างมาก เด็กสาวผู้นี้ราวกับฟองน้ำที่ว่างเปล่า พร้อมที่จะสูบเอาทุกสิ่งทุกอย่างของข้อมูล อย่างรวดเร็วโดยและไม่มีข้อตกหล่นแม้แต่น้อย คำถามของเธอนั้นก็ยิ่งตรงประเด็นทุกจุด และบางคำถามกลับยิ่งซับซ้อนขนาดที่ว่าแม้กระทั้งอาจารย์ของเขา แลนดิส เองยังไม่รู้ว่าจะสามารถตอบคำถามนี้ได้หรือไม่
ในยามเช้าพวกเขาต่างตั้งอกตั้งใจเล่าเรียน ส่วนยามบ่ายนั้นก็สามารถพักผ่อนได้ คามิลล์กลับไปพร้อมกับความรู้สึกที่เหน็ดเหนื่อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยังคงสับสนและตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก
จีน ผู้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอดเวลาด้วยความซื่อสัตย์ก็ได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านในอย่างชัดเจนเช่นกัน เขาเองก็สับสนมากกว่าคามิลล์เสียอีก ผู้หญิงที่เป็นนักไล่ล่าผู้ชาย กลับไม่แม้แต่จะก่อกวนอาจารย์ผู้หล่อเหลาที่อยู่ต่อหน้าของเธอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอกลับค่อยจะซักถามคำถามที่แสนจะลึกซึ้งออกไป บ้างคำถามนั้นกลับเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในยามบ่อยของวัน แคลร์นั่งทำตัวตามสบายอยู่ในเรื่องกระจบ อ่านหนังสือไปพร้อมกับจิบชาดำที่สาวใช้ได้นำมาให้ หนังสือเล่มหนาสองสามเล่นได้วางซ้อนทับกันอยู่ข้างๆ ทัดจากเธอไป เหล่าผู้รับใช้ที่ยืนอยู่ไกลออกไป กำลังซุบซิบกันในหมู่ของพวกเขา ต่างหวาดวะแวงสงสัยในตัวของคุณหนูของพวกเขาที่กลายมาเป็นคนเงียบขรึมแบบนี้
หรือที่นางทำทั้งหมดเพียงเพื่อที่จะทำให้ท่านดยุคพอใจเท่านั้น
ส่วนจีน ก็เป็นเช่นทุกครั้ง ยังคงยืนอย่างนิ่งเฉยและไร้อารมณ์ใดๆ หางออกไปไม่ไกลจากทางด้านหลังของแคลร์มากนัก แต่ครั้งนี้สายตาที่จับจ้องไปที่แผ่นหลังของแคลร์นั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเรียนรู้ถึงพื้นฐานของโลกใบนี้ได้ทั้งหมดแล้ว แคลร์จึงปิดหนังสือลงอย่างเบามือ เวทมนตร์ พลังยุทธ์ แนวคิดต่างๆ เหล่านี้มันพร่ามัวอยู่ในความทรงจำของเธอมาก่อนหน้าแล้ว และในตอนนี้เธอก็สามารถที่จะเข้าใจมันทั้งหมด หลังจากอ่านหนังสือพวกนี้
จินองครักษ์ตายด้านส่วนตัวของเธอนั้น ผู้ที่ค่อยอยู่ข้างกายเธอเสมอมานั้น เขาเป็นผู้ใช้พลังยุทธ์ ในขณะลาเชียร์น้องสาวผู้จงเกลียดจงชังเธอยิ่งกว่าสิ่งใดและยังได้พยายามทำร้ายเธอในวันก่อน เป็นผู้ใช้พลังเวทมนตร์ เป็นพลังสายฟ้า และการควบคุมมันของเธอนั้นถือว่าดีทีเดียว ลาเชียร์ทำให้เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ร้ายแรงได้โดยที่มีบาดแผลทางกร่างกายใดๆ ให้เห็นแม้แต่น้อย พลังธรรมชาติของแคลร์คือ พลังเปลวไฟ มันได้ถูกทำการทดทอบเมื่อนานมาแล้ว แต่เด็กสาวกลับไม่ให้ความสนใจใดๆ กับมันแม้แต่น้อย ไม่สนใจที่จะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย พลังจิตวิญญาณของเธอเองก็ธรรมาดาสามัญเป็นอย่างมาก เมื่อมีเด็กสาวผู้เป็นอัจฉริยะอยู่รอบ ๆ อย่างลาเชียร์ เกียรติยศและความสนอกสนใจทั้งหมดก็ตกไปอยู่น้องสาวของเธอแทน ดังนั้นแคลร์จึงเป็นเหมือนเงาของลาเชียร์มาตลอด
ไม่สิ ต้องผู้ว่าแคลร์คนก่อนนั้นไม่มีความสนใจต่อสิ่งอื่นใดนอกจากผู้ชายหล่อเหลาเหล่านั้น มุมปากของแคลร์ยกขึ้นเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น ก่อนจะกลายเป็นรอยยิมข่มขื่นขึ้นแทน เพราะเหตุใดเธอถึงได้มาอาศัยอยู่ในร่างของคนแบบนี้ได้
ในเวลาเดียวกัน สาวใช้ก็ได้เดินเข้ามา ก่อนจะทำความเคารพพร้อมกับพูดขึ้น
“คุณหนูเจ้าค่ะ องค์ชายรองได้เดิมทางมาเยียมท่านเจ้าค่ะ เวลานี้องค์ชายได้รอท่านอยู่ที่ห้องโถงใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
แคลร์ถึงกับขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย องค์ชายรองอย่างนั้นหรือ อ่าใช่แล้ว คนที่เป็นต้นเหตุให้แคลร์คนก่อนต้องตกจากหลังม้าเพราะไล่ล่าเขานั้นเอง และมันก็ทำให้เธอต้องมาอาศัยอยู่ในร่างนี้
“ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งอยู่ คงไปพบเขาไม่ได้” แคลร์พูดขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะว่าถ้วยชาในมือลง ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มอื่นขึ้นมาอ่านแทน
สาวใช้ถึงดวงตาเปิดกว้างและยืนนิ่งอย่างตกตะลึง ไม่สามารถที่จะขยับร่างกายของนางได้ แม้แต่จีนเองที่อยู่ไม่ไกลนักก็ยังหาคำพูดของเขาไม่เจอ หรือนี่มันจะเป็นแผนการใหม่เพื่อที่จะใช้จับองค์ชายรอง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่หญิงสาวผู้โง่เขล่าผู้นี้เปลี่ยนมาเป็นคนฉลาดเจ้าแผนการเช่นนี้ได้
สาวใช้นางนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อ แล้วเธอควรกลับไปแจ้งแก่องค์ชายรองว่าอย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูกันแน่ ทุกครั้งที่คุณหนูผู้นี้ได้รับรู้ว่าองค์ชายรองมาที่นี่ เธอมักจะวิ่งไปอย่างรวดเร็วราวกลับสายลม แต่ทำไมวันนี้กลับไม่ได้เป็นอย่างทุกครั้ง ไม่เหมือนกับนิสัยปกติของคุณหนูแม้แต่น้อย ทั้งยังบอกว่าจะไม่ออกไปพบองค์ชายรองอีกด้วย
“เจ้ากำลังบังแสงแดดข้าอยู่รู้หรือไม่” แคลร์พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาจ้องมองไปที่เงามืดบนหนังสือของเธอ ก่อนที่จะเงยหน้าที่หัวคิ้วกำลังขมวดของเธอมองไปที่สาวใช้ที่ยังคงยืนตะลึงอยู่กับที่อยู่ในตอนนี้
“ค่ะ...เจ้าค่ะคุณหนู” ราวกับว่านางพึ่งจะรู้สึกตัวจากความฝัน ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังห้องโถงใหญ่ทันที
ในห้องโถงใหญ่ องค์ชายรองกำลังนั่งอย่างเฉยชา ความรู้สึกของเขานั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ มันเป็นความผิดของหญิงบ้าผู้ชายคนนั้นต่างหาก ที่ทำให้นางต้องตกจากหลังม้า และเจ็บตัวแบบนี้ หากแต่พระบิดาของเขาองค์จักรพรรดิกลับทรงตำหนิเขา และสั่งให้เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนหญิงบ้าผู้นั้น
ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด ไม่ว่านางจะน่ารำคาญมากแค่ไหน หรือไม่ว่านางจะไม่เป็นที่โปรดปรานจากท่านดยุคฮิลล์แค่ไหน แต่สุดท้านนางก็ยังคงเป็นหลานของท่านดยุคอยู่ดี
จะอย่างไรก็ตาม ที่นางต้องตกลงมาจากหลังม้าเช่นนั้น ต้นเหตุก็มาจากเขา เขาจึงต้องเดินทางมาเยี่ยมเยียนอย่างเช่นเวลานี้ เพียงแค่นึกถึงความบ้าผู้ชายของนางที่มีมากจนเกินจะทน องค์ชายรองถึงกับสั้นไปทั้งตัว เขาจะแกล้งทำเป็นว่านางนั้นคือแมลงวันที่น่ารำคาญตัวหนึ่งเท่านั้น แค่อวยพรให้นางหายไว้ๆ และจากไปอย่างรวดเร็วน่าจะดีที่สุด
องค์ชายรองพยายามสงบจิตสงบใจตัวเองลง รอคอยให้สาวน้อยแคลร์บินออกมาจากประตูราวกับผีเสื้อแสนสวย และในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาทางประตู องค์ชายรองจ้องมองไปอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะมองเห็นสาวใช้ผู้มีใบหน้าท่าทางออกจะประหลาดผู้หนึ่ง นางไม่ใช่ผู้หญิงบ้าผู้ชายอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้
องค์ชายเต็มไปด้วยประหลาดใจ มองไปยังสาวใช้ผู้มีท่าทางเสียหวัญที่กำลังทำความเคารพเขาอยู่ในตอนนี้
“ฝ่าบาทเพคะ คุณหนู คือว่าคุณหนู...”
“นี่นางเจ็บหนักถึงขนาดนั้นเลยหรือ” องค์ชายรองถามขึ้นด้วยทันที รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ใช่ว่าทุกคนต่างรู้แน่ชัดแล้วอย่างนั้นหรือ แม้ว่านางจะตกจากหลังม้า แต่หมอก็ได้บอกแล้วว่านางไม่ได้เป็นอะไรมาก
“คือ..ไม่ใช่เพคะ” สาวใช้ได้แต่อ้ำอึ้งไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เธออยากจะพูดไปตามความต้องการของเธอ ว่าคูณหนูนั้นเจ็บหนักจงไม่สามารถมาพบองค์ชายรองได้ แต่จะอย่างไรเธอก็เป็นเพียงแค่สาวใช้ หากยังรักชีวิตตัวเองอยู่ก็จงเงียบเอาไว้เสีย
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” องค์ชายรองถามขึ้นอีก ความอดทนของเขาเริ่มจะหมดลงไปทีละนิดๆ มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน หญิงบ้าผู้ชายเช่นนั้น มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับนางกันแน่
“คือว่า คุณหนู คุณหนูให้เรียนต่อองค์ชายรองว่า ไม่ว่างมาพบองค์ชายเพคะ” และในที่สุดสาวใช้ก็กล้าพูดทุกอย่างออกไป
“ให้เรียนว่าเธอคงจะไม่ได้ออกมาพบพระองค์ ให้ทรงกลับไปก่อนได้เลยเพคะ” หลังจากรีบพูดทุกอย่างออกไปหมดแล้ว เธอก็ถึงกับถอยหายใจเฮือกใหญ่ขึ้นทันทีอย่างโล่งอก
สีหน้าขององค์ชายรองนั้นเป็นแข็งค้างไปโดยฉับพลัน