ตอนที่ 8 เพื่อนใหม่
แคลร์ไม่ได้มีคาบเรียนใดๆ ในยามบ่ายของวันนี้ ดังนั้นเธอจึงเดินสำตรวจไปมาอยู่ในเขตของสถาบันอย่างสงบ และความคิดแรกคือการไปเยี่ยมชมห้องสมุดของสถาบัน
“ขอโทษนะ ห้องสมุดไปทางไหน” แคลร์สุ่มถามจากเด็กหนุ่มที่เดินผ่านทางมาพอดี
โดยไม่ได้คาดคิด นักเรียนชายผู้นั้นได้จ้องมองมายังแคลร์ด้วยท่าทางราวกับว่าเธอนั้นเป็นวิญญาณร้ายที่โพ่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่ปาน จากนั้นก็รีบวิ่งหนีออกไปด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ระหว่างนั้นยังคงหันหลังกลับมาอยู่หลายรอบ ราวกับว่ากำลังกลัวว่าแคลร์นั้นอาจจะวิ่งไล่ตามเขาไป
แคลร์หาคำพูดของตัวเองแทบไม่เจอ คนๆ นี้ มองดูราวกับหมู และแม้ว่าจะเป็นแคลร์คนก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีทางที่นางจะนึกคลั่งไคล้ในตัวบุคคลที่หน้าตาแบบนี้ได้หรอก หรือว่าคนเหล่านี้พวกเขาไม่เคยส่องดูตัวเองในกระจกบ้างเลย พวกเขาช่างตีค่าตัวเองไว้สูงเสียจริง ดูถูกแม้แต่มาตรฐานของคำว่า ความงาม ของแคลร์คนก่อนหน้าได้อย่างไร
ริมฝีปากของแคลร์สั่นกระตุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่ละคนที่เธอเจอมานั้นต่างก็มีปฏิบัติกับเธอราวกับว่าเธอนั้นเป็นตัวอัตราย ราวกับงูพิษ หรือไม่ก็แมงป่อง ขนาดที่จะต้องวิ่งหลบหนีออกไปให้ไกลจากเธอ ในรูปทรงแบบตัวอักษร ซี1 เช่นนี้
จากระยะไกล สายตาคู่หนึ่งได้ส่องประกายและจ้องมองอย่างฉงนสงสัย มายังร่างของแคลร์ นี่น่ะหรือเด็กสาวผู้โง่เง่านักไล่ล่าผู้ชายที่น่าอับอายคนนั้น เธอไม่เห็นจะมองดูเหมือนอย่างเช่นที่ข่าวลืมได้บรรยายเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม เธอช่างมองดูมั่นคงและดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะท่าทีที่แสดงออกต่อเหล่าผู้คนที่ได้ผลักไสเธอเช่นนั้น ความเมินเฉยเช่นนั้น ทำให้เธอยิ่งดูโตกว่าอายุจริงขอเธอเสียอีก
ในตอนที่แคลร์กำลังตัดสิ้นใจระหว่างมองหาห้องสมุดด้วยตัวเอง หรือว่าไปหาอาจารย์สักคน และถามทางกับพวกเขาแทน น้ำเสียงที่อ่อนหวานเสียงหนึ่ง ก็ดังลอยเข้ามาเข้าหูของแคลร์ในทันที
“สวัสดี เจ้ากำลังมองหาห้องสมุดอยู่หรือ ถ้าเจ้ายินดี ข้าสามารถจะนำทางเจ้าไปที่นั้นได้”
แคลร์หันหัวน้อยๆ ไปมอง รู้สึกประหลาดเล็กน้อยใจเนื่องจากน้ำเสียงที่พูดนั้น ไม่ได้มีคำถากถางเสียดสี หรือแสร้งทำแต่อย่างใด หากแต่ฟังดูจริงใจอย่างมาก และคนผู้นั้นจะเป็นใครกันที่แสนดีขนาดเต็มใจที่จะมาพูดกับเธอได้
เมื่อเธอมองเห็นเด็กสาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง แคลร์ก็ถึงกลับต้องประหลาดใจเข้าไปอีก แม่ว่าเด็กสาวผู้นี้จะสวมใส่เพียงชุดกระโปรงเรียบง่าย สีม่วงที่แสนจะธรรมดา มันก็พอที่จะทำให้ร่างของเธอนั้นฉายชัดได้ถึงความงามสง่าแต่ก็ดูเป็นกันเองยิ่งนัก ลายปักดอกบัวสีทองคำ บนปกเสื้อนั้นก็ได้บ่งบอกถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของผู้สวมใสอยู่แล้ว
เธอคือองค์หญิงใหญ่ และเป็นราชิกุลหญิงเพียงพระองค์เดียวแห่งอาณาจักรอัมพารค์แลนด์แห่งนี้ มอริซ อเดเลียน ด้วยเส้นผมสีน้ำตาลแดงเพลิงนั้นหยิกเป็นหลอนยาวสลวย นัยน์ตาสีฟ้ามีส่องประกายงดงาม
“องค์หญิง” แคลร์กำลังจะย่อตัวลงทำความเคารพ แต่มอริซก็ได้หยุดเธอไว้เสียก่อน
“ที่นี่คือสถาบันการศึกษา หาใช่เขตพระราชวัง พวกเราต่างก็เป็นเพื่อนร่าวสถาบัน ดังนั้นไม่จำเป็นจะต้องเคารพ” มอริซยิ้มออกมาในขณะที่กำลังขัดขวางการทำความเคารพของแคลร์
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้กลับได้สร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นในหัวใจของแคลร์ องค์หญิงผู้นี้ไม่ได้เย่อหยิ่งหรือจองหอง ทำตัวสูงส่งแต่อย่างใด โดยธรรมชาติแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะชื่นชอบ
“ขอบพระทัยเพคะ องค์หญิง” แคลร์ยิ้นตอบ
“ไม่จำเป็นต้องทำตัวห่างเหินเช่นนั้น เราจะเป็นคนนำทางเจ้าเอง” มอริซเองก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน เด็กสาวผู้นี้ช่างทำให้เธอรู้สึกฉงนสงสัยอย่างมากน่าสนใจจริงๆ เธอรู้สึกราวกับว่าเด็กสาวเบื้องหน้าของเธอนั้นไม่ได้สามัญธรรมดาเลยจริงๆ มันไม่มีเหตุผลใดประกอบความคิดนี้ของนาง มันเป็นความรู้สึกภายในที่บอกไม่ถูก
องค์หญิงมอริซได้เดินนำทางให้แคลร์ไปตลอดทางสู้ห้องสมุด และในระหว่างทางนั้นต่างมีผู้คนที่มองมาด้วยความฉงนสงสัย เป็นไปได้อย่างไรที่องค์หญิงผู้สูงส่งกำลังเดินอยู่กับนักไล่ล่าผู้ชาย ผู้โง่เง่าคนนั้น
ห้องสมุดนั้นช่างเงียบสงบโดยแท้จริง บรรณารักษ์ที่หน้าประตู ได้ปล่อยให้พวกเขาเดินเข้าไปทางด้านในหลังจากได้ทำการตรวจบัตรของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้ใช้งานในสามชั้นแรกเท่านั้น ส่วนชั้นที่สี่นั้นไม่ได้ร่วมเข้าไปด้วย
ในทันทีที่ทั้งสองคนได้เดินเข้ามาด้านใน พวกเขาก็เป็นที่จับจ้องจากสายตาที่มากมาย องค์หญิงผู้งดงามสูงส่งและสง่างาม กับตัวน่ารังเกียจนักไล่ล่าผู้ชายที่น่าอับอายและโง่เง่าของคนทั้งเมืองหลวง นี่มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกเขาได้เดินมาด้วยกันได้อย่างไร
“ลาเชียร์ ดูนั่น” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะก้าวขึ้นบันไดร้องเรียกลาเชียร์ออกมาเบาๆ
“มีอะไร” ลาเชียร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บอกว่ารำคาญ แล้วลาเชียร์ก็ได้หันไปมองตามทางที่สายตาของเด็กหญิงอีกคนกำลังมองไป สีหน้าของเธอกลายเป็นดำมืดอย่างกระทันหัน ช่างกล้าดีนักนังแคลร์คนโง่เง่า บังอาจไปวุ่นวายอยู่กับองค์หญิง ผู้สูงส่งผู้นั้นได้อย่างไร เพียงเพราะไม่มีใครสนใจ นางหญิงโง่งมผู้นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า นางจะสามารถไปวิ่งไล่ตามประจบองค์หญิงได้หรอกนะ ถ้าหากนางเกิดทำอะไรบ้าๆ ลงไป มันย่อมนำความอับอายขายหน้ามาสู้ตระกูลฮิลล์อย่างที่สุดแน่อนอน
เจ้าคนสกปรกโง่งมผู้นี้นี่ ดูเหมือนมันคงจำเป็นที่จะต้องแสดงให้นางเห็นเสียแล้วว่าใครกันแน่ที่เหลือกว่า ไม่อย่างนั้นนางคงจะหลงระเริงลืมกำพืดเน่าของตัวเองไปเสียแล้ว
“อืม ไปกันเถอะ” ลาเชียร์ส่งเสียงฮึขึ้นอย่างเย็นชา และเดินขึ้นบันไดไป รอข้าก่อนเถอนังแคลร์ผู้โง่เง่า เมื่อถึงเวลาที่เจ้าอยู่ตามลำพังแล้วล่ะก็ ข้าผู้นี้จะสอนบทเรียนให้เจ้าทดแทนท่านปู่เอง ลาเชียร์เอ่ยคำสาบานเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไป
แคลร์รู้สึกได้ถึงสายตามุ่งร้ายและหันไปมองดู เธอมองเห็นแผ่นหลังของลาเชียร์ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวขึ้นบันไดออกไป ลาเชียร... หัวใจของแคลร์ถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอรู้ดีว่าเด็กน้อยที่แสนกระด้างผู้นั้นจะต้องมาอาเรื่องเธอในเร็วๆ วันนี้อย่างแน่นอน เธอจำเป็นที่จะต้องยกระดับความแข็งแกร่งของเธอให้ได้ในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด และต้องคิดแผนการค่อยรับมือเสียแล้ว
“แคลร์ หนังสือประเภทใด ที่เจ้ากำลังมองหาอยู่” องค์หญิงมอริซพูดขึ้นเสียงเบา
“หม่อมฉันเพียงมองไปเรื่อยๆ เพคะ” แคลร์พยักหน้านิดหน่อย และแย้มยิ้ม
“ต้องขอบพระทัยองค์หญิงมาก ที่นำทางหม่อมฉันมาที่นี่ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวไปมองหาหนังสือที่น่าอ่านดูก่อนนะเพคะ”
“ตามสบาย” องค์หญิงมอริซพยักหน้าน้อยๆ และเดินขึ้นบันไดจากไป
ห้องสมุดของสถาบันนั้นทั้งกว้างขวางและใหญ่โต มันอัดแน่นไปด้วยหนังสือที่มากมาย แคลร์หาหนังสืออยู่สองสามเล่มที่เธอสนใจได้อย่างรวดเร็ว และไปนั่งอยู่ตรงมุมที่ห่างไกลออกไปเพื่อเริ่มอ่านหนังสือ
เด็กสาวจอจ่ออยู่กับหนังสือในมือเป็นอย่างมาก จนกระทั้งได้ลืมกาลเวลาไปอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งห้องสมุดถึงเวลาที่จะต้องปิดลงแล้ว บรรณารักษ์ก็เดินมาเตือนเด็กสาว เมื่อมองดูจากสีของท้องฟ้าแล้ว ตอนนี้คงจะเลยเวลาเก้านาฬิกาไปนานแล้ว ท้องน้อยๆ ของแคลร์เองก็เริ่มร้องเสียงดังขึ้น
นี่คงจะเป็นเพราะเธอจดจ่ออยู่กับหนังสือเหล่านี้มากจนเกินไป กระทั่งตัวเธอเองลืมเลือนความหินไปได้ แคลร์หยิบยืมหนังสือมาสองเล่ม และเดินออกมา สำหรับเด็กนักเรียนเช่นเธอนั้น สามารถที่จะยืมหนังสือได้มากที่สุดเพียงแค่สองเล่มเท่านั้น ในขณะที่กลับเด็กอัจริยะอย่างลาเชียร์ผู้เป็นศิษย์เอกคนโปรด สามารถที่จะยืมหนังสือได้ถึงห้าเล่ม ไม่ต่างกับเหล่าอาจารย์เลยทีเดียว
ในเขตของสถาบันนั้นถูกปกคลุมไปด้วยความมืดของราตรี สายลมอ่อนๆ โบกพัดไปเรื่อยๆ มันช่างเย็นสบายและสดชื่นเสียจริง
จะกลับปราสาทหรือจะไปที่ห้องพักดี แคลร์จ้องมองไปบนท้องฟ้า แล้วจึงตัดสินใจเลือกทีจะกลับปราสาทแทน เธอยังคงมีคำถามบางประการเกี่ยวกับเวทมนต์ที่เธอนึกอยากจะถามกับเอ็มเมอรี่ กอร์ดั้นอาจจะปฏิเสธที่จะยอมรับเอ็มเมอรี่ในฐานะอาจารย์ของเธอ แม้แต่ตัวเอ็มเมอรี่เองก็ยังไม่คิดว่าตัวเองนั้นเหมาะสมที่จะมาเป็นอาจารย์ของเธอ แต่ในหัวใจของแคลร์นั้น เอ็มเมอรี่เป็นดั่งผู้ที่ค่อยชี้แนะของเธอไปเรียบร้อยแล้ว
เพียงแค่เดินตัดผ่านป่าเหล่านี้ไป จากนั้นก็ต้องข้ามผ่านสนามไป ไม่นานก็จะถึงประตูหน้าของสถาบันแล้ว
เมื่อเด็กสาวก้าวเข้าไปในป่า สายลมก็โบกพัดแรงขึ้นอีก แคลร์หยุดนิ่ง สายตาหันกลับไปจับจ้องอยู่ทางด้านหลังของเธอ ด้วยความเยือกเย็น ก่อนจะพูดขึ้น
“ออกมา”
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมีเพียงเสียงของสายลมและเสียงใบไม้พลิ้วไหวเท่านั้น
ดวงตาของแคลร์เย็นชาและแข็งกร้าวขึ้นอีก ช่างน่าสงสารเด็กอัจฉริยะคนนี้เสียจริง ต้องมารอเธออยู่ทางด้านนอกของห้องสมุดได้นานถึงเพียงนี้
“ฮึ เจ้าคนโง่เขลา”
ในเวลาถัดมา เสียงเย็นยะเยือกก็ดังมาจากทางด้านในของป่า แล้วทันใดนั้นเองลาเชียร์ก็ได้ปรากฏตัวออกมาจากทางด้านหลังของแคลร์ มองดูราวกับภูตผีในชุดกระโปรงสีขาว
แคลร์หันกลับไปอย่างช้าๆ มองอย่างเย็นชาไปยังใบหน้าที่กระอักกระอวนที่อยู่ตรงหน้าของเธอในเวลานี้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่ายอมจำนน เด็กน้อยผู้แสนดื้อรั้น และวู่วามผู้นี้ช่างเริ่มแผนการของเธอได้รวดเร็วเสียจริงฃ
“รีบๆ ใส่หัวออกไปจากสถาบันแห่งนี้ และเก็บตัวอยู่ที่บ้านอย่างเจียมตัวซะ และอย่าได้ออกมาทำให้ตระกูลของเรานั้นเสื่อมเสียอีกเด็ดขาด” ลาเชียร์กัดฟันของเธอด้วยความโกรธ
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านปู่คิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้ส่งคนเขลาเช่นเจ้ามายังสถาบันอันสูงส่งเช่นนี้ หรือกลัวว่าเจ้าจะยังทำให้พวกเราอับอายไม่มากพออีก”
“แล้วจะเป็นเช่นไร ถ้าหากว่าข้าปฏิเสธ” รอยยิ้มประหลาดระบายอยู่เต็มบนใบหน้าของแคลร์ เธอไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับเจ้าเด็กหัวดื้อคนนี้นักหรอก
ในสายตาของลาเชียร์นั้น รอยยิ้มนี้ของแคลร์ช่างอวดดียิ่งนัก
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะแสดงให้เจ้าได้เห็น ว่ามันจะเป็นเช่นไรหากเจ้ากล้าที่จะปฏิเสธ” ลาเชียร์ยื่นมือของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอนั้นเต็มไป ด้วยความเกลียดชัง และแล้วปากของเธอก็เริ่มร่ายคาถาเวททันที
1 รูปตัว C ประมาณว่าถ้าแคลร์ไปที่ไหน ทุกคนจะเว้นที่เอาไว้คลายรูปตัวซี