ตอนที่ 7 สงสัย ตรวจสอบ
ในยามค่ำคืน ปราสาทของท่านดยุคยังเต็มไปด้วยความสว่างไสว รวมทั้งคฤหาสน์ของผู้มั่งมีทั้งหลายในเมืองหลวงต่างมีแสงสว่างไปทุกที่ มีเพียงบ้านเรือนของประชาชนคนทั่วไปเท่านั้นที่ไม่สามารถเสียเงินไปกับการชื้อเทียนไขมาสร้างความสว่างได้ จึงต้องทนอยู่ในความมืดมิดต่อไป ทางด้านของแคลร์ตอนนี้เธอกำลังนอนทอดร่างอยู่บนเตียง พร้อมกับเล่นลูกบอลไฟที่นางเรียนรู้วิธีเรียกมันจากท่านอาจารย์ในวันนี้ ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่กอร์ดั้นได้กล่าวเตือนเธอในห้องหนังสือ
เจ้าจะต้องปกปิดความสามารถที่พิเศษที่ร้ายกาจนี่ของเจ้าเอาไว้ให้ดี อย่าได้เผยแสดงมันออกมาให้ง่ายๆ หากมีเหตุฉุกเฉินที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ถึงจะใช้มันได้ ที่สำคัญอย่าให้เหล่าสาวกของวิหารแห่งแสงล่วงรู้ถึงความ สามารถของเจ้าอย่างเด็ดขาด และเมื่อเจ้าได้เข้าไปยังสถาบันศึกษาแล้ว จงเก็บกัดเอาพลังส่วนหนึ่งของเจ้าเอาไว้ เผยเพียงส่วนหนึ่งออกมาเท่านั้น
เมื่อแคลร์ถามว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าหากนางจะไม่ต้องไปยังสถาบันศึกษา เพียงอยู่ที่นี่ให้เอ็มเมอรี่มาสอนนางเพียงคนเดียวเท่านั้น กอร์ดั้นรีบปฏิเสธขึ้นทันที ดูเหมือนว่ากอร์ดั้นนั้นได้เชื่ออย่าหมดใจแล้วว่าเอ็มเมอรี่นั้นไม่สามารถที่จะมาเป็นอาจารย์ของเธออย่างแน่นอนที่สุด
“บุคคลเพียงผู้เดียวที่จะสามารถเป็นอาจารย์สอนเจ้าได้คือคนผู้นั้นเท่านั้น หากแต่การที่เจ้าจะได้พบกับคนผู้นั้น เจ้าจำเป็นจะต้องเดินทางไปยังสถาบันศึกษา และเมื่อใดที่เจ้าได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเขาคนนั้น เจ้าจะไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับวิหารแห่งแสงอีกต่อไป”
หลังจากพูดประโยคที่ลึกล้ำเหล่านั้นจบลง กอร์ดั้นก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก เขาไม่บอกเธอด้วยซ้ำว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่แน่นอนที่สุดว่าหากแคลร์ได้เป็นลูกศิษย์ของเขา วิหารแห่งแสงก็จะเลิกมายุ่งกับเธอ เห็นได้ว่าระหว่างเชื้อพระวงศ์และกลุ่มของพลังศักดิ์สิทธิ์มีความขัดแย้งกันอยู่ แคลร์จ้องมองไปที่ลูกบอลไฟในมือของเธอ ก่อนจะนึกไปถึงคาถาเวทที่เอ็มเมอรี่ได้สอนเธอในคืนที่ผ่านมา มันคือโล่ไฟ เห็นได้ชัดว่าคาถาเวทบทนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก มันคงจะเป็นทาถาเวทที่เอ็มเมอรี่คิดค้นขึ้นมาเอง คงจะเป็นคาถาเวทที่เขาห่วงแหนอย่างมากด้วย แต่เขากลับยอมสอนให้แคลร์อย่างง่ายดาย
โดยเริ่มต้นจากการรวมเอาองค์ประกอบของธาตุที่มารวมไว้รอบๆ ตัวก่อนจะรายคาถาเวทเรียกโล่ไฟออกมา ประการแรกเพื่อที่จะสร้างเกาะป้องกันจากการโจมตีจากคู่ต่อสู้ แต่ดูเหมือนว่าแคลร์จะยังไม่สามารถเรียกโล่ไฟออกมาได้เลย แคลร์ยังจำได้อย่างชัดเจนว่าเอ็มเมอรี่เคยบอกเอาไว้ว่าเราต้องมีความอดทน หลังจากทดลองเรียกคาถาเวทบนนี้อยู่สองสามครั้ง แคลร์ก็ต้องล้มเลิกความพยายามนี้ไปก่อน ความแตกต่างระหว่างผู้ใช้เวทและคนทั่วไปคือบุคคลทั่วไปไม่สามารถที่ตื่นอยู่ได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยได้ ในขณะที่นักเวทนั้นสามารถที่จะฟื้นฟูทั้งพลังเวทและพลังกายได้จากการฝึกจิตของพวกเขา
แคลร์ลุกขึ้นนั่งและไขว่ขาของเธอก่อนจะเริ่มนั่งสมาธิ เธอเริ่มจัดรวมเอาเหล่าธาตุที่มีอยู่รอบๆ เข้ามากักเก็บไว้ในร่างกายของเธออีกครั้ง หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง เธอเปิดเปลือกตาของเธอขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่สดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ มันดียิ่งกว่าการนอนสามชั่วโมงเสียอีก
หลังจากสามวันผ่านไป แคลร์ก็ได้ผ่านการทดสอบความสามารถของเธอพร้อมกับใช้พลังในการทดสอบแค่เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น ในตอนนี้เธอสามารถเข้าไปศึกษาที่สถาบันซันไรส์ได้แล้ว และจีนเอง ที่เป็นถึงองครักษ์ที่ต้องค่อยปกป้องเธอตลอดเวลาก็ได้ติดตามเธอไปด้วย แต่เป็นเพราะจีนนั้นได้กลายเป็นนักดาบผู้มีมือที่เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยมแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถติดตามเธอเข้าไปเป็นนักเรียนในสถาบันได้ จึงต้องค่อยแอบตามปกป้องแบบลับๆ เท่านั้น
ตัวอักษรของชื่อสถาบันศึกษาซันไรส์นั้นโดดเด่นออกมาจากหน้าประตูใหญ่ทางเข้า ตัวอักษรที่ดูหยิ่งทะนงที่สว่างขึ้นอย่างงดงามไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือในความมืดจากการไร้แสงใดๆ ก็ตาม แน่นอนที่สุดมันจะต้องเป็นการลงคาทาเวทบ้างอย่างเอาไว้
“คุณหนู ข้าจะคอยคุ้มครองคุณหนูอย่างลับๆ นะขอรับ” จีนพูดขึ้นอย่างรวดเร็วในยามที่แคลร์ได้เดินผ่านประตูทางเข้าไปแล้ว ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่แคลร์ได้รับบัตรประจำตัวนักเรียกจากสถาบัน เธอก็เดินตามหลังอาจารย์สอนไปยังห้องเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของธาตุแห่งไฟ ทันทีที่เธอเดินเข้าไปถึงด้านในห้องเรียนเธอก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาด้วยความประหลาดใจจากคนในห้อง และลึกเข้าไปทางด้านหลังห้องกลับเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยงงงวยที่จ้องมองมาที่เธอ และคนๆ นั้นก็คือองค์ชายรอง เขาเป็นหนึ่งในนักเรียกธาตุแห่งไฟด้วยหรือ
“วันนี้เรามีนักเรียนใหม่มาด้วย แคลร์ ฮิลล์ ดังนั้นวันนี้เราจะมาทบทวนถึงบทเรียนพื้นฐานกันอีกครั้งนะทุกคน” คนที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องเรียนพื้นยกสูงคืออาจารย์สอน เอมิลี่ เป็นหญิงวัยกลางคนผู้มีท่าทีอ่อนโยนและเป็นอาจารย์สอนประจำห้องแห่งธาตุไฟ เพื่อที่จะทำให้แคลร์สามารถไล่ตามเพื่อนๆ ในห้องได้ทัน เธอจึงได้หยิบยกเอาบนพื้นฐานเกี่ยวกับธาตุไฟ ขึ้นมาสอนอีกครั้ง
“แคลร์ เจ้าสามารถหาที่นั่งได้ตามสบาย” เอมิลี่แน่นอนที่สุดว่าเธอได้รู้ประวัติความเป็นมาของแคลร์ดังนั้นเธอจึงได้สุภาพเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณค่ะ ท่านอาจารย์” แคลร์พยักหน้าน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะเดินไปทางที่นั่งด้านหลัง
ถึงแม้ว่าแคลร์จะรู้สึกถึงการจ้องมองมาที่เธออย่างแปลกๆ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เดินไปนั่งทางหลังห้องและรับฟังอาจารย์เอมิลี่สอนไปอย่างตั้งใจ มันกลายกับที่เขียนไว้ในหนังสือที่เธอเคยอ่านมากหลังจากที่ได้ฟังมาจากอาจารย์ องค์ชายรองซึ้งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก มองมาอย่างสำรวจเป็นบางครั้งมาที่เธอ
เพียงเวลาในการเรียนของแคลร์ในคาบเดียวเท่านั้น ทุกคนในสถาบันต่างรู้ถึงการมาถึงของแคลร์ ผู้หญิงที่โง่เขลาแห่งตระกูลฮิลล์ที่บ้าครั่งในการไล่ล่าผู้ชายกลับได้ผ่านการทดสอบจากสถาบันซันไรส์ พวกเขายอมรับในการทดสอบและยอมรับเธอเข้ามาในสถาบันอย่างเต็มใจ และเธอก็ได้อยู่ในห้องเรียนเดียวกันองค์ชายรองผู้ที่เธอได้ไล่ล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อสองสามวันก่อน
หลายคนต่างสันนิฐานว่าแคลร์ได้ใช้อำนาจเส้นสายจากครอบครัวของเธอในการเข้ามาศึกษาอยู่ในสถาบันแห่งนี้ และที่เธอต้องทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะได้ตามมาไล่ล่าองค์ชายรอง และแคลร์ในตอนนี้ก็ราวกับว่าได้ทำเรื่องที่น่าอับอายมากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ในขณะเดียวกัน ในห้องเรียนของธาตุแห่งสายฟ้า
“อะไรนะ นางมาที่นี่อย่างนั้นหรือ” ลาเชียร์ทันทีเต็มไปด้วยความโกรธหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผู้ที่นำขาวนี้มาบอกลาเชียร์หมอบลงเล็กน้อยด้วยความขลาดกลัว ลาเชียร์ผู้งดงาม ใบหน้าที่ไร้เดียงสาในตอนนี้กลายเป็นบูดเบี้ยวเต็มไปด้วยอารมณ์ ความเกลียดชังที่มีต่อแคลร์นั้นแทบจะทะลุไปถึงขอบฟ้าอยู่แล้ว นางคนปัญญาอ่อนคนนั้น คงจะมาทำให้ตระกูลฮิลล์ได้ต้องอับอายจนแทบจะไม่มีที่ยืนในแผ่นดินอย่างแน่นอน เหตุใดท่านปู่ถึงได้ยอมให้นางคนโง่งมไม่มีหัวคิดเช่นนั้นเข้ามาทำให้ตระกูลต้องเสียหน้าเช่นนี้ได้ หรือว่าท่านปู่คิดว่าตระกูลฮิลล์ยังอับอายขายหน้าคนอื่นไม่พอ อืม..แคลร์นางผู้หญิงบ้าผู้ชาย คนปัญญาสมองแค่หางอึ่ง ข้าจะทำให้เจ้าต้องตกนรกจนแทบจะร้องไห้ออกไปจากสถาบันแห่งนี้แทบไม่ทันเลยคอยดู ลาเชียร์ตัดสิ้นใจเรียบร้อยแล้วอยู่ในใจของเธอ มือน้อยกำแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อของเธออย่างข่มกลั้นอารมณ์
“เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไปลาเชียร์” ผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้น รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
“ไม่ว่าจะอย่างไร แคลร์ก็เป็นพี่สาวของเจ้า เจ้าไม่ควรที่จะ...”
“หุบปากซะ” ลาเชียร์ตะโกนขึ้นราวกับฟ้าผ่า ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“ข้าไม่เคยมีพี่สาวประเภทนั้น” น่าขายหน้าที่สุด คนประเภทนั้นหรือจะมาเป็นพี่สาวของคนประเภทเธอ ลาเชียร์ผู้เป็นอัจฉริยะ ช่างเป็นความอับอายที่เกินจะทนจริงๆ
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ลาเชียร์ต่างพากันเงียบไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกหลังจากที่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์เดือดพล่านของเธอ ทุกคนต่างรู้ว่าลาเชียร์ไม่ได้เป็นหลานสาวของผู้ที่มีอำนาจที่สุดอย่างดยุคฮิลล์เท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์ที่ล้ำค่าของสถาบันแห่งนี้อีกด้วย ใครจะกล้าคิดที่จะไปหาเรื่องเธอได้
สถาบันศึกษาซันไรส์เป็นสถาบันแบบเต็มเวลา มันมีอาคารที่พักสำหรับอาจารย์ สถานที่บันเทิงทั้งหลาย และหอพักสำหรับนักเรียนอีกด้วย ในฐานะที่เป็นถสาบันแห่งเดียวที่เปิดสอนเกี่ยวกับเวท์มนต์และพลังยุทธ์ในอัมพาร์คแลนด์แห่งนี้ ทั้งเหล่าขุนนางและสามัญชนต่างสามารถเข้าศึกษาในสถาบันแห่งนี้ได้หากพวกเขามีความสามารถ ท่านสามารถที่จะพักอาศัยอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ก็ไปกลับหลังจากศึกษาเสร็จก็ได้เช่นกัน
หลังจากเสร็จคาบเรียน แคลร์ก็เดินออกมาจากห้องเรียน และรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นที่ตอนรับของเจ้าของร่างกายคนเก่านี้มากเพียงใด พวกผู้หญิงจะมองมาด้วยสายตารังเกียจและหลบหนีราวกับว่าเธอเป็นงูพิษหรือไม่ก็แมงป่องอย่างไรก็อย่างนั้น ส่วนพวกผู้ชายที่คิดว่าตัวเองนั้นดูดีหน่อยก็หลีกหนีไปให้ไกลถึงไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แคลร์ไม่รู้ว่าเธอควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เธอนั้นแทบจะหาคำพูดของตัวเองไม่เจอในตอนนี้
ในตอนบ่าย แคลร์นั่งอยู่ตรงหัวมุมของโรงอาหารและนั่งกินอาหารเที่ยงของเธอไปอย่างสงบ ในเวลาเดียวกันเธอนึกไปถึงคำพูดของกอร์ดั้น เธอสามารถที่จะพบบุคคลผู้นั้นได้ในสถาบันแห่งนี้ หรือเขาจะเป็นอาจารย์ หรือว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมกอร์ดั้นถึงได้ไม่พูดออกมา แบบนี้ก็คงจะหมายถึงว่าบุคคลผู้นี้จะต้องมีพลังอำนาจที่มากและสำคัญยิ่งกว่าอาจารย์ใหญ่เสียอีก แล้วจะเป็นใครไปได้
ตรงโรงอาหารต่างเต็มไปด้วยบรรยายกาศของความรื่นเริงมีชีวิตวายกเว้นแค่พื้นที่รอบๆ บริเวณที่แคลร์นั่งอยู่เท่านั้น ความเงียบและเยือกเย็นรอบๆ เธอนั้นยิ่งทำให้เป็นที่น่าจับตามองมากที่สุด
และแล้วบรรยากาศก็กลับกลายเป็นเสียงดังวุ่นวายขึ้นทันที แคลร์เงยหน้าขึ้นก่อนจะมองเห็นลาเชียร์ที่เดินเข้ามาในโรงอาหารราวกับนางพญานกยูงผู้เย่อหยิ่ง รายล้อมไปด้วยเหล่าขุนนางผู้อ่อนเยาว์ ไม่ว่าลาเชียร์ผู้นี้จะย่างก้าวไปที่ใดเธอก็มักจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอ
แล้วลาเชียร์ก็มองตรงมาที่แคลร์ แต่แคลร์ก็กลับไปจัดการกับอาหารของเธออย่างไม่แยแสต่อสิ่งใด ความโหดร้ายอำมหิตฉายอยู่ในดวงตำล้ำลึกของลาเชียร์ จากนั้นลาเชียร์หันกลับไปทันที และไม่คิดที่จะชำเลืองมองมาที่แคลร์เป็นครั้งที่สองอีก
เจ้าเด็กเหลือขอที่เอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ แคลร์ถึงกลับถอนหายใจกับตัวเอง สำหรับแคลร์ตอนนี้ยังไม่ใช้คู่ต่อสู้ของเธอ ดวงตาที่โหดเหี้ยมเช่นนั้นไม่ควรที่จะมีอยู่ในเด็กอายุเพียงสิบสองปีเช่นนีได้จริงๆ
ถ้าเธอจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากเจ้าเด็กเหลือขอลาเชียร์คนนี้จริงๆ แล้วเธอจะทำอย่างไรได้ เธอรู้สึกกังวลนิดหน่อย
ในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป
“จีน เจ้าช่างได้รับมอบหมายงานที่ดีเยี่ยมเสียจริง” บุคคลที่มีสีผมสีน้ำตาลแก่ของลูกเกาลัดพูดแซวขึ้นต่อจีนผู้ที่กำลังเอนหลังผิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
“ได้โปรดเถิดฝ่าบาท ได้โปรดหยุดความรื่นเริงของพระองค์ในความโชคร้ายของกระหม่อนเถิดพะย่ะค่ะ” จีนถึงกับถอนหายใจเบาๆ ขึ้น
“ฮ่า ฮ่าๆ โทษทีมันช่วยไม่ได้” คนที่พูดขึ้นก็คือองค์ชายรองนั้นเอง
“แต่จริงๆ นะ ใครจะไปคิดว่าท่านดยุคจะส่งนางมาที่สถาบันแห่งนี้ นางจะสามารถเป็นนักเวทได้หรือ” ในคำพูดของเขานั้นมีคำสบประมาทซ่อนอยู่
“อันนี้ก็ยากที่จะพูดพะย่ะค่ะ” จีนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเคร่งเครียดทันที
“พระองค์ทรงทราบหรือไม่พะย่ะค่ะ ว่านางนั้นได้ผ่านการทดสอบจริงๆ ไม่ได้เป็นเพราะความช่วยเหลือจากท่านดยุคแต่อย่างใด”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” คราวนี้เป็นองค์ชายรองบ้างที่ต้องเป็นฝ่ายตื่นตระหนก เด็กสาวผู้ด้อยปัญญาผู้นั้นนะหรือที่ได้ผ่านการทดสอบจริงๆ โดยที่ไม่ได้เป็นความช่วยเหลือจากท่านดยุดแต่อย่างใด
“อย่าทรงสงสัยในตัวกระหม่อนเลยฝ่าบาท นี่คือความจริง” ใบหน้าของจีนในตอนนี้เต็มไปด้วยความจริงจัง
“ในตอนนี้กระหม่อมรู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถที่จะมองนางออกอีกต่อไป”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน เพราะแคลร์ในตอนนี้เมื่อเทียบกับแคลร์คนก่อนแทบจะเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้” องค์ชายรองขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด
“ในตอนแรก กระหม่อมคิดว่านางเพียงแกล้งทำ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ท่านตายใจเท่านั้น หากแต่ในตอนนี้มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น” จีนพูดขึ้นในหัวเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร” องค์ชายรองถามขึ้น
“ในตอนนี้ เพียงแค่จับตาดูนางไปก่อนพะย่ะค่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาของจีนยิ้มออกมาอย่างมีความนัย
“ยังมีบางคนที่คันไม้คันมือแทบจะทนไม่ไหวที่จะทำอะไรบ้างอย่างอยู่แล้วพะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองคิดสับสนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเข้าใจในทันที
“เจ้าหมายถึงลาเชียร์อย่างนั้นหรือ”
“ถูกแล้วพะย่ะค่ะ” จีนพยักหน้ารับพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เยือกเย็นออกมา
“ไม่ว่าเจ้านายนักไล่ล่าผู้ชาย ผู้งี่เง่าของกระหม่อนคิดจะทำอะไร กระหม่อมคิดว่าอีกไม่นานคงจะมีคนออกมาช่วยพวกเราตรวจสอบแล้วพะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องคอยปกป้องนางหรอกหรือ” องค์ชายรองยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ปล่อยให้นางได้เจ็บตัวบางเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรหรอกพะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่จะไปถึงช้าหน่อยก็เท่านั้นเอง ในฐานะที่ต้องปกป้องนางแล้วแน่นอนว่ากระหม่อมย่อมไม่ปล่อยให้นางตาย มันเป็นเพียงการล้อเล่นระหว่างสองพี่น้องเท่านั้น ไม่ใช่หรือพะย่ะค่ะ” จีนยักไหล่ราวกับว่าเขากำลังพูดเล่นไม่ได้จริงจังแต่อย่างไร ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นราวกับว่าเขากำลังรอดูการแสดงดีๆ สักเรื่องอยู่
องค์ชายรองพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะขึ้น หากแต่ในหัวราวกับมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมันทำให้เขารู้สึกประหลาด มันเป็นความไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
มันจะเป็นไปได้จริงๆ หรือที่จะตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น