ตอนที่ 6 ดวงชะตาที่ไม่อาจตรวจสอบ
จีนผู้ที่อยู่ทางด้านนอกของห้องตลอดเวลา เขาได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากด้านในแต่เขาก็ไม่รนลานที่จะวิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
เพราะเขาเองก็ไม่รับรู้ได้ถึงไอสังหารออกมาจากทางด้านในแต่อย่างใด อีกอย่างด้านในก็มีนักเวทผู้มีฝีมือร้ายกาจของคนตระกูลฮิลล์อยู่ด้วย มันถือเป็นเรื่องปกติที่นักเวทจะสร้างเสียงดังเช่นนี้
"มันแตก" แคลร์พูดขึ้นขณะที่ดวงตาก็จ้องมองไปยังลูกแก้วคริสตัลที่เหลือเพียงเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนอยู่ในตอนนี้
"ใช่ มันแตก" ชายวัยกลางคนผู้นั้นตอบขึ้นอย่างแทบจะไม่เชื่อ ในขณะที่เขาพยามเรียกสติที่หายไปนั้นกลับมา
"จะลองอีกครั้งหรือไม่" แคลร์ออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าลูกแก้วคริสตัลพวกนี้นั้นมีราคาค่างวดไม่ใช่่น้อยๆ
"ไม่จำเป็นแล้วขอรับคุณหนู"
แม้ว่าในตอนแรกดวงตาของเขาจะตื่นตะหนกแค่ไหน หากในตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยปิติยินดีอย่างไม่ปิดบัง แทบอยากจะรับนางเอาไว้เป็นศิษย์ในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เวทมนต์นั้นถือเป็นเรื่องที่ล้ำลึก พวกเขาจะไม่ยอมสอนมันให้ใครง่ายๆ แต่ก็เช่นเดียวกันพวกเขาจะไม่ยอมให้มันลงหลุมถูกฝังไปกับพวกเขาอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนั้นแน่ๆ และวิธีที่จะสืบทอดสมบัติที่ล้ำค่าเช่นนี้ได้นั้นย่อมต้องหมายถึงการถ่ายทอดมันไปสู่ลูกศิษย์ที่พวกเขาพอใจ แต่จะหาคนมีพรสวรรค์ที่พวกเขาพอใจนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ถึงขนาดมีเหตุการณ์ที่บางครั้งเหล่านักเวทต่างต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวลูกศิษย์ผู้มีพรสวรรค์กันเลยทีเดียว แม้ว่าสถาบันซันไรส์จะสอนเวทมนตร์และพลังยุทธ์ แต่ก็เพียงสอนในพื้นฐานเท่านั้น ส่วนใหญ่ ก็จะมันได้กลายมาเป็นนักเวทขั้นต้น หรือไม่ก็นักดาบทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าว่าหากต้องการที่จะเป็นมากกว่านั้น พวกเขาจะต้องหาคนคอยชี้แนะ แนะนำส่วนตัวอีกที และจากการได้เหล่าผู้ชี้แนะมาค่อยช่วยเหลือทำถึงจะทำให้การฝึกฝนนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และสาวน้อยผู้นี้ก็มีความสามารถไม่น้อยไปกว่าลาเชียร์ผู้มหัศจรรย์คนนั้นแต่อย่างใด ไม่จริง อาจจะมากว่าด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าเขาอยากจะรับเธอมาเป็นศิษย์ของเขาแค่ไหน เขารู้ว่ามันเป็นเพียงจินตนาการของเขาเองเท่านั้น ไม่เพียงแต่เขาต้องทำให้เธอตกลง ไหนจะต้องผ่านการเห็นชอบของท่านดยุคเป็นสำคัญ ตัวเขานั้น เขาเป็นเพียงแค่นักเวทผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่งเท่านั้น ยังไม่ได้มีคุณสมบัติในการเป็นผู้ฝึกฝนของเธอคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าเขาได้
“คุณหนู คุณหนูโปรดรอสักครู่” ชายวัยกลางคนได้สงบลงแล้วและเขาก็จำได้ว่าเขาจะต้องรีบได้รายงานการต่อท่านดยุคฮิลล์เป็นอันดับแรกเสียก่อน
“คุณหนู สิ่งแรกข้าจะสอนให้ท่านรู้จักวิธีการตรวจจับองค์ประกอบของธาตุ และวิธีการทำสมาธิขั้นต้น”
“ท่านกำลังพูดถึงนี้ละอองของสำแสงที่อยู่รอบๆ ตัวของข้าใช่หรือไม่”แคลร์ชี้ไปที่อากาศรอบตัวที่ว่างเปล่าทันที
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าความประหลาดใจขึ้นในทันใด
“คุณหนู นี่ท่านสามารถสัมผัสธาตุเหล่านั้นได้แล้วหรือ”
“หนังสือเล่มนี้มีรายละเอียดอยู่มากจริงๆ ข้าพึ่งจะสัมผัสมันได้เมื่อคืนนี้เอง” แคลร์เอาออกหนังสือที่สอนพื้นฐานของเวทมนต์ออกมา
ชายวัยกลางคนตกใจจนหาคำพูดของตัวเองไม่เจอ สัมผัสมันได้เมื่อวานนี้ เธอพึ่งจะเรียนรู้เรื่องเวทมนต์พื้นฐานเมื่อวานนี้เองเช่นกัน แต่เธอสามารถที่จะสัมผัสองค์ประกอบของธาตุได้แล้ว
“แล้วคุณหนูรู้ถึงขั้นต่อไปหรือไม่”ชายวัยกลางคนถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“กักเก็บละอองธาตุเหล่านั้น และนำเข้ามารวมไว้ในร่างกายเพื่อเก็บรักษาเอาไว้ แต่ว่าดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่ไม่น้อย เพราะหลังจากที่ข้ากักเก็บมาได้หนึ่งแสน มีเพียงหนึ่งพันเท่านั้นที่อยู่ในร่างกายของข้า”แคลร์พูดขึ้นอย่างขมขื่นเล็กน้อย
ฟุ่บ...ชายวัยกลางคนถึงกับเข่าอ่อนล้มลงไปที่พื้นทันที พร้อมกับจ้องมองไปที่แควร์ด้วยดวงตาที่เปิดกว้างแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กักเก็บมาได้หนึ่งแสนและเก็บรักษาไว้ในร่างกายได้เพียงหนึ่งพันเท่านั้น และดูเหมือนว่าคุณหนูผู้นี้จะไม่พอใจอีกด้วย นี่เธอไม่รู้หรืออย่างไรว่า เมื่อใครสักคนทำสมาธิเป็นครั้งแรก การจะกักเก็บได้เพียงสิบจากหนึ่งแสนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใดแล้ว
ลาเชียร์นั้นถูกเรียกว่าเป็นเด็กอัจฉริยะเนื่องจากเธอนั่งสมาธิครั้งแรก เธอจับรวมเอาไว้ได้หนึ่งแสนและกักเก็บรักษาไว้ได้หนึ่งร้อย นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับคนในเมืองหลวงแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าของเขาทำได้ดีกว่าถึงสิบเท่า โอ้ พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นบนโลก
เป็นเวลาที่เนินนานกว่าชายวัยกลางคนจะพาตัวเองลุกขึ้นได้อีกครั้ง ก่อนจะพูดเตือนเธอขึ้น
“คุณหนู ท่านจะต้องไม่บอกให้ใครได้ล่วงรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้อย่างเด็ดขาด”
“ค่ะ ข้าเข้าใจ” แน่นอนว่าแคลร์นั้นเข้าใจดีว่า ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเธอนั้นได้คิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว ดูเหมือนว่าการทดสอบประสิทธิภาพของเธอจะอยู่ในจุดที่สูงเกินไป เธอมากกว่าเข้าใจว่าต้นไม้สูงยอมต้องดูดลม1
“ถ้าเช่นนั้น วันนี้ข้าจะสอนคาถาเวทธาตุไฟให้คุณหนูในหลักพื้นฐานที่ง่ายๆ ก่อนก็แล้วกัน จงแจ้งให้ข้ารู้เมื่อใดที่ท่านสามารถควบคุมพวกมันได้”ชายวันกลางคนแทบจะทนรอไม่ได้ที่จะไปรายงานแก่ท่านดยุด
“ได้” แคลร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
“ลูกบอลไฟเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ง่ายที่สุด คุณหนูจะต้องรวมเอาองค์ประกอบของธาตุภายในร่างกายมาบรรจบกันไว้ที่จุดๆ เดียว จากนั้นก็สวดคาถาเวทเพื่อทำให้มันลุกเป็นไฟขึ้น” ชายวัยกลางคนคิดทบทวนในข้อระมัดระวังต่างๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“แต่คุณหนู ท่านต้องจำเอาไว้ว่าในพื้นฐานของเวทมนต์มันไม่มีทำว่าทางลัดเพื่อความรวดเร็ว ท่านจะต้องก้าวไปทีละก้าว ตามพื้นฐานที่ได้เรียนรู้อย่างมั่นคง ไม่ว่าท่านจะมีความสามารถพิเศษขนาดไหน ต้องการผลลัพธ์ในทันทีทันใด มันจะนำมาซึ้งอันตรายต่อตัวเองได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ตักเตือน” แคลร์ได้เห็นความจริงใจอย่างชัดเจนจากดวงตาของชายวัยกลางคน เธอก็โค้งคำนับให้อย่างจริงจังเช่นกัน
“ไม่คุณหนู ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นอาจารย์สอนท่านได้” ชายวัยกลางโบกมือปฏิเสธซ้ำ ๆ ไปมา
“ท่านพึ่งจะสอนข้า ดังนั้นท่านก็คืออาจารย์ของข้าแล้ว ไม่ว่าท่านหรือคนอื่น ๆ จะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม แต่ในเวลานี้ ท่านได้กลายมาเป็นอาจารย์ของข้าแล้ว” แคลร์พูดขึ้นด้วยความนับถือ
“เป็นอาจารย์ของข้าหนึ่งวัน ก็เท่ากับเป็นอาจารย์ของข้าตลอดไป” คำพูดเหล่านี้เกือบจะทำให้ชายวัยกลางคนน้ำตาไหลออกมา
“คุณหนู ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นอาจารย์ของคุณหนูแต่อย่างใด ด้วยความสามารถของท่าน แม้แต่นักเวทที่มีประสิทธิภาพที่สุดของอัมพาร์คแลนด์ ก็ไม่สามารถที่จะมาสอนท่านได้ แต่ว่าข้า เอ็มเมอรี่คนนี้ ขอสาบานว่าจะสอนท่านทุกอย่างที่ข้ารู้ทั้งหมดด้วยหัวใจของข้า” นักเวทผู้เชี่ยวชาญเอ็มเมอรี่ ถึงกับสาบานออกมาด้วยอารมณ์มากมายที่เกิดขึ้น เขามองเห็นว่าเด็กสาวผู้นี้จะต้องส่องประกายสว่างไสวอย่างมากในอนาคนภายหน้าอย่างแน่นอน
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
“คุณหนู ท่านจงตั้งใจฝึกฝนคาถาเวทของท่านอยู่เสียที่นี่ ข้าจำเป็นจะต้องไปรายงานทุกอย่างต่อท่านดยุค จงจำเอาไว้ อย่าได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้” เอ็มเมอรี่พูดเตือนเธอขึ้นอีกครั้ง ถ้ามีใครล่วงรู้ถึงความสามารถที่พิเศษเช่นนี้ล่ะก็ ใครรู้ว่ามันจะเป็นพรหรือคำสาปกันแน่
“ข้าจะจำเอาไว้” แคลร์ให้สัญญาอย่างจริงจังพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากที่เอ็มเมอรี่ได้เดินออกมา เขาก็พบเข้ากับองครักษ์จีนที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางตกตะลึง นักเวทหน้าตายผู้นี้ไม่เคยตอบสนองต่อสิ่งใด แต่วันนี้ใบหน้าของเขากลับแดงก่ำ และเขาดูเหมือนมีอารมณ์ที่มากมายแสดงออกมา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากที่เอ็มเมอรี่ได้ไปพบกับกอร์ดั้นที่อยู่ในห้องโถงทหารและได้รายงานความลับต่างๆ จบลง ปฏิกิริยาเริ่มต้นของกอร์ดั้นถึงกับตกตะลึง
“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ เจ้าแน่ใจหรือ” หลังจากนั้นเขาก็มีความปลาบปลื้มเหนือเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง ถ้าลาเชียร์เป็นคนอัจฉริยะที่ไม่ค่อยมีให้ได้เห็นในร้อยปี สำหรับแคลร์คงจะถือว่าเป็นผู้มหัศจรรย์ที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในพันปีเลยทีเดียว นี่คือของขวัญจากสวรรค์ที่ส่งมาให้กับตระกูลฮิลล์ของเขาอย่างแท้จริง หลังจากที่ได้รับความยินดีอย่างมากมายแล้วนั้น กอร์ดั้นก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมเอ็มเมอรี่ถึงได้รีบมารายงานเขาด้วยตัวเองอย่างเป็นความลับเช่นนี้ มันคงจะเป็นเพราะวิหารแห่งแสงอย่างแน่นอน ถ้าวิหารแห่งแสงรู้ถึงความสามารถพิเศษของแคลร์แล้วละก็ พวกเขาต้องทำทุกวิธีทางที่จะดึงตัวแลคร์ให้ไปเป็นหนึ่งในพวกของเขา แล้วเธอก็จะถูกล้างสมองกลายเป็นคนของวิหารแห่งแสงอย่างเต็มตัว ความสัมพันธ์ระหว่างวิหารแห่งแสงและราชวงศ์นั้นเป็นอะไรที่บอบบางและละเอียดอ่อนมาก ตระกูลฮิลล์จะไม่อาจยอมให้คนที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยอำนาจในอนาคตไปเป็นพวกของวิหารแห่งแสงได้อย่างเด็ดขาด กอร์ดั้นเองก็ไม่อยากจะให้หลานสาวของเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อมาต่อต้านเขาเช่นกัน
“เรียกท่านดยุค ทุกคำพูดของข้าล้วนเป็นความสัตย์จริง” เอ็มเมอรี่พยักหน้าด้วยความจริงจัง
“ดีมากเอ็มเมอรี่ เจ้าทำได้ดีเยี่ยมจริงๆ” กอร์ดั้นตบไหลเอ็มเมอรี่เบาๆ อารมณ์นั้นเต็มไปด้วยความปิติยินดี
“ก่อนที่แคลร์จะโตเต็มวัย เรื่องนี้จะต้องเก็บความลับไม่ใครได้รู้เด็ดขาด”
“ขอรับท่านดยุค” เอ็มเมอรี่พยักหน้ารับ
กอร์ดั้นรูปคางของเขาอย่างพิถีพิถัน ครุ่นคิดอยู่ซักพัก ก่อนจะตัดสินใจ
“เอ็มเมอรี่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด”กอร์ดั้นที่สุดท้ายสติของเขาก็กลับมา ก่อนจะหัวเราะในขณะที่พูดขึ้น
“ข้าจะให้คนเอาลูกแก้วคริสตัลที่แคลร์ทำแตกไปส่งคืนให้เอง”
“โอ้ ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้ ท่านดยุค” เอ็มเมอรี่โบกมือไปมาเป็นเชิงปฏิเสธด้วยความอับอาย
“เช่นนั้นก็ตามใจ ท่านกลับไปเถิด ช่วยบอกให้แคลร์มารอพบข้าหลังจากที่ข้ากลับมาถึงแล้วในห้องหนังสือคืนนี้ด้วย” กอร์ดั้นนั้นเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยอารมณ์ที่รื่นเริง ก่อนจะตบไปที่ไหล่ของเอ็มเมอรี่พร้อมกับหัวเราะขึ้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงท่านดยุค ข้าจะทำให้แน่ใจว่าท่านจะได้รับสิ่งตอบแทนอย่างเหมาะสมที่สุด”
ทางด้านตะวันออกของเมืองหลวงในอาคารที่ตกแต่งงดงามหรูหรา มีไม่กี่คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ โต๊ะประชุมที่ทำจากหยกขาวในห้องยาวและเงียบสงบ ผู้ที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะคือชายชราผู้สวมชุดเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตา ปักลายทองที่ขอบของเสื้อคลุมของเขา เพื่อระบุว่าเขานั้นเป็นสมาชิกของวิหารแห่งแสง และสถานะของเขานั้นก็สูงเกินกว่าผู้ใด
“เป็นอย่างไรบ้าง ค้นพบอะไรใหม่ๆ บ้างหรือไม่” ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาถามคนที่นั่งอยู่ใกล้เขาที่สุด คนที่อยู่ในเสื้อคลุมสีขาวและมีลักษณะของหญิงสาวที่สวยและสง่างาม นั่งตัวตรงเต็มไปด้วยความสง่า ผมสีเขียวยาวจนแทบจะสัมผัสถึงพื้น ใบหน้าของเธอนั้นงดงามจนสามารถทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องอ้าปากค้างในความตื่นตะลึง แต่ดวงตาของเธอนั้นกลับไม่มีดวงตาดำอยู่ข้างใน ดวงตาทั้งสองข้างของเธอนั้นขาวราวกับวิญญาณ แปลกประหลาดจริงๆ
“ท่านผู้เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของข้า ไม่มีการค้นพบใดๆ เกิดขึ้นเลยเจ้าค่ะ” ผู้หญิงผมสีเขียวผู้แปลกประหลาดส่ายหัวของเธอเล็กน้อย
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าผู้มีดวงตาแห่งทิพย์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่เจ้ากลับไม่สามารถค้นหาบุคคลที่เทพเจ้ากำลังมองหาอยู่ได้อย่างไรกัน” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะถามขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจ
“มันไม่ใช่ว่าข้าไม่ได้พยายาม เพียงแต่ข้าไม่สามารถอ่านชะตาเกิดเกี่ยวของคนผู้นั้นได้ก็เท่านั้น” ผู้หญิงผมสีเขียวผู้แปลกประหลาดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจนัก มันเป็นครั้งแรกที่ตาทิพย์ของเธอทำงานไม่สำเร็จ
“เอาเถอะ ๆ หยุดถกเถียงกันได้แล้ว” สมเด็จพระสันตะปาปาถอนหายใจเงียบ ๆ
“บุคคลที่เป็นเทพเจ้าต้องการตามหานั้นจะต้องไม่เหมือนคนทั่วไปอยู่แล้ว เราเพียงต้องออกประกาศศักดิ์สิทธิ์ออกไป เพื่อให้พวกเขานำทางผู้ที่ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถมาที่นี่ก็พอแล้ว”
“มันไม่มีทางอื่นแล้ว ก็คงต้องทำเช่นนั้น”
ทุกคนต่างเห็นชอบในความคิดนี้
1.ยิ่งรวยหรือมีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ เสียงวิจารณ์ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น