ตอนที่ 5 มันเกิดอะไรขึ้น
นางจะไม่ออกมาพบข้า นางไม่มีเวลาว่างให้ข้าอย่างนั้นหรือ
ในหัวที่เต็มไปด้วยความสับสนงงงวยขององค์ชายรองแทบจะหยุดทำงานไปชั่วครู่ เขาจ้องมองไปที่สาวใช้ตรงหน้าที่นางเองก็มองมาอย่างนอบน้อมและไร้ซึ้งคำพูดใดๆ ออกมาที สาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่กล้าที่จะโกหกเขาอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นก็คงจะเป็นหญิงบ้าผู้ชายผู้นั้นที่ได้พูดมันออกมาแบบนี้จริงๆ เพราะเหตุใดกัน มันเป็นไปได้อย่างไร
ภายในหัวขององค์ชายรองนั้นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามมากมาย ทั้งที่เขานั้นได้เตรียมตัวมาอย่างดี พร้อมรับมือกับการจู่โจมโดยผู้หญิงบ้าผู้ชายคนนั้น แต่แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น นางบอกกำลังยุ่งอย่างนั้นหรือ
“คุณหนูของเจ้ากำลังยุ่งอย่างนั้นหรือ นางยุ่งมากถึงขนาดนั้นเชียว” องค์ชายรองถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เจ้าค่ะ คุณหนูนางได้เริ่มต้นศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจังเมื่อไม่นานมานี่เองเจ้าค่ะ ซึ้งท่านดยุคเองก็ถึงกับเชิญนักปราชญ์คามิลล์มาเพื่อเป็นผู้สั่งสอนด้วยตัวเองเจ้าค่ะ” สาวใช้ใบหน้าเริ่มขึ้นสีอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่เธอพูดขึ้น ด้วยคามิลล์นั้นเป็นชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งเมืองหลวง ไม่เพียงแต่จะฉลาดเฉลียวเขานั้นยังหล่อเหลา สง่างามเป็นอย่างมากอีกด้วย
นี่มันอะไรกัน องค์ชายรองยิ่งตื่นตะลึงไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ใครๆ ก็รู้ว่าคุณหนูผู้นี่ทั้งโง่เขลาและไร้ความสามารถเพียงใด ชอบทำตัวราวกับตัวตลกในทุกที่ที่นางไปเยือน แม้แต่ท่านดยุคเองยังสั่งห้ามในเวลาต่อมาไม่ให้นางไปร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังด้วยเพราะเหตุดังกล่าว แต่ในเวลานี้นางกลับหันมาให้ความสนใจในการเล่าเรียนอย่างนั้นหรือ
ในขณะนี้เสียงกลุ่มฝีเท้ามากมายได้ดังมาจากทางประตู
“ฝ่าบาท ฮ่า ฮ่า ยินดีต้อนรับพระองค์พะย่ะค่ะ” ผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่นั้นหาใช่ใครที่ไหนนอกจากดยุคกอร์ดั้นนั่นเอง
“ท่านดยุค” องค์ชายรองยืนขึ้นอย่างสุภาพต่อบุคคลตรงหน้าเขา ซึ้งแม้แต่องค์จักรพรรดิเองยังต้องให้ความเคารพนับถือต่อบุคคลผู้นี้ ท่านดยุคกอร์ดั้นผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงองค์ชายรองเช่นเขา
“ข้ามาเพื่อเยี่ยมเยียนคุณหนูแคลร์” องค์ชายรองพูดขึ้นน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย
“เพียงแต่ว่าดูเหมือนว่าคุณหนูแคลร์นั้นกำลังหมกมุ่นอยู่กับบางสิ่งบางอย่างอยู่”
“อ่า หมกมุ่นอย่างนั้นหรือ” กอร์ดั้นเป็นเชิงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองสาวใช้ที่ยืนอยู่ถัดไปจากองค์ชายรอง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น แคลร์กำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ”
“เรียนท่านดยุค คุณหนูในตอนนี้ คือนาง นางกำลังอ่านหนังสืออยู่ในเรือนกระจกเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เช่นนั้นหรือ อ่า ฝ่าบาท เช่นนั้นก็ทรงเชิญเสด็จตามกระหม่อมมาเถิดพะย่ะค่ะ ฮ่า ฮ่า จากนั้นค่อยพักนั่งจิบน้ำชายามบ่ายสบายๆ ดัวยกันกับกระหม่อมเถิด” กอร์ดั้นหัวเราะออกมาด้วยความรื่นเริง
“ขอบคุณท่านดยุคมาก” องค์ชายรองพยักหน้าของเขา พร้อมกับแย้มยิ้มขึ้น ก่อนจะเดินตามหลังท่านดยุคออกไป เขาคงไม่กล้าไปขัดใจชายแก่ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ กระฉับกระเฉงว่องไว้ผู้นี้ได้ ผู้ที่ได้ควบคุมอำนาจกว่าครึ่งในกองทัพ แถมหลายชายของเขา เอริค ฮิลล์ ก็ได้เป็นถึงหัวหน้าของหน่อยองครักษ์กริฟฟิน ที่มีหน้าที่ปกป้องราชวงค์โดยตรงอีกด้วย
องค์ชายรองถึงกับตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ในเรือนกระจก ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่งดงาม มีเด็กสาวผู้งดงามผมสีบลอนด์เปล่งประกายกระทบแสงแดดอ่อนๆ กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับจิบชาดำด้วยท่าทีสบายๆ เมื่อเสร็จสิ้นนางก็ได้ว่างถ้วยชาลง ก่อนจะเอนกายไปยังเก้าอี้ที่ทำจากหิน และเริ่มเปิดหนังสือขึ้นอ่านต่อไป ในขณะที่เก้าอี้ได้นั้นได้โยกเอนไปหน้าหลังอย่างนุ่มนวล สำหรับภาพที่เห็นมันเกินจุดที่เรียนว่าผ่อนคลายไปแล้ว
นี่คือความหมายของคำว่า ไม่มีเวลา ของนางอย่างนั้นหรือ มุกปากขององค์ชายรองถึงกับสั่นกระตุกขึ้น
“แคลร์” กอร์ดั้นจ้องมองคร่าวๆ ไปยังหนังสือในมือของแคลร์ มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ มนุษย์ ซึ้งในความเป็นจริงแล้วมันเกี่ยวกับผืนดินที่ตระกูลฮิลล์ได้เป็นผู้ครอบครอง ที่มาจากศักดินาขุนนางต่างๆ นั้นเอง เด็นคนนี้ช่างตั้งใจเรียนรู้อย่างแท้จริง กอร์ดั้นรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก
“ท่านปู่” แคลร์ลุกขึ้นยืนในทันที ก่อนจะมองเห็นร่างขององค์ชายรองที่ยืนอยู่ด้วยอีกคน เธอโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทำความเคารพต่อเขา
“ทักทายยามบ่ายเพคะฝ่าบาท”
ทันใดนั้นเององค์ชายรองราวกับได้สูญเสียความเป็นตัวของเขาไปอย่างรวดเร็ว เด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้ การแสดงออกของเธอนั้นมันช่างเยือกเย็นราวกับธารน้ำแข็ง และลึกล้ำราวกับค่ำคืนที่มืดมิดที่สุด มันเป็นความเฉยเมย และความเฉยชาอย่างแท้จริง
“อ่ะ ..อืมมม” องค์ชายรองกลับมาเป็นตัวของตัวเองในที่สุด ก่อนจะตอบออกไป
“อืม เจ้ารู้สึกอย่างไร ดีขึ้นหรือยัง”
“ขอบพระทัยในความเป็นกังวลขององค์ชาย หม่อนฉันสบายดีเพคะ” แคลค์รับอย่างรวดเร็วพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้น
“นั่งลง นั่งลงก่อนเถอะ” กอร์ดั้นผู้ที่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่รื่นเริงเป็นพิเศษ ได้ทำสัญญาณให้ทุกคนนั่งบลง ก่อนจะรีบบอกให้สาวใช้ไปนำน้ำชามาเพิ่ม
ทั้งสามพูดกันในเรื่องทั่วไปอยู่ ตามจริงแล้วกอร์ดั้นมีความตั้งใจที่จะเชิญองค์ชายรองอยู่ร่วมรับประทานเมื่อค่ำ หากแต่องค์ชายรองนั้นก็มีธุระที่จะต้องกลับไปจัดการอยู่ก่อนแล้ว กอร์ดั้นจึงต้องทิ้งความตั้งใจของตนเองไป
ในขณะที่องค์ชายบอกว่าจะต้องไปแล้ว กอร์ดั้นได้บอกให้แคลร์ตามไปส่งเสด็จองค์ชายทันที
ทั้งสองคนต่างเดินตรงไปยังด้านหน้าของประตูทางออก อีกคนเดินนำหน้าอีกคน ไม่ไกลออกไป คือจีนที่เดิมตามมาด้วยท่าทางสงบเช่นเดิม ในฐานะที่เป็นองครักษ์ของแคลร์เขาจำเป็นจะต้องตัวติดนางตลอดเวลา
การเดินทางไปยังประตูทางออกไม่ได้ยาวนานมากนัก หากแต่พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว องค์ชายรองหรี่ตาพร้อมกับมองดูเด็กสาวที่เดินอยู่ทางด้านหน้าของเขาอย่างครุ่นคิด กับท่าทางที่ไม่น่าเชื่อของแคลร์ ดูเหมือนทุกอย่างมันจะผิดปกติไปหมด และในขณะเดียวกันจิตใจของแคลร์เองกลับจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นที่ต่างไป
“องค์ชายเพคะ เชิญทางนี้เพคะ”แคลร์หันกลับมาพร้อมกับพูดขึ้นเบา ๆ พร้อมกับยืนอยู่กับที่ ไม่มีแม้แต่สัญญาณใดๆ แสดงให้เห็นว่าเธอฝืนใจและพร้อมยอมให้เขาจากไปเลยแม้แต่น้อย
“อืม” องค์ชายรองยังคงอยู่ในอาการมึนงง ในขณะที่เขาได้ตอบรับขึ้น ก่อนจะเดินไปยังรถม้าที่จองอยู่ตรงทางเข้า
แคลร์เดินจากไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามองที่องค์ชายรองเป็นครั้งที่สอง ในใจของนางยังคงจดจ่ออยู่กับความน่าสนใจในหนังสือภูมิศาสตร์มนุษย์เล่มนั้นอยู่เลย
รถม้าขององค์ชายรองได้วิ่งออกไปจากปราสาทของดยุคในทันที องค์ชายรองนั่งพิงอยู่กับบานหน้าต่างของรถม้า คิ้วของเขาขมวดอย่างครุ่นคิด ในขณะที่รถม้าได้วิ่งมาถึงหัวมุม ซึ้งเป็นตรอกที่เวิ้งว้าง และในวินาทีต่อมา ก็มีเสียงที่ดังขึ้นอย่างชัดเจนจากภายในรถม้า
“ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร” บุคคลผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาภายในรถม้าที่ว่างเปล่าขององค์ชายรอง
“นางแปลกไปมากจริงๆ” องค์ชายรองขมวดคิ้วในขณะที่เขาพูดขึ้น
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” น้ำเสียงที่เย็นชานั้นมีความไม่แน่นใจแฝงอยู่
“ช่างเถอะ มาพูดถึงเรื่องอื่นกันดีกว่า ว่าแต่สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” องค์ชายรองถามขึ้นราวกับว่าก่อนนี้ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
“มีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับบัญชาบางอย่างมาจากพระเจ้า และกำลังยุ่งอยู่กับมัน แต่เหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบทำให้แผนการของพวกเราช้าลงอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ” น้ำเสียงที่เยือกเย็นนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าควรจะรีบกลับไปได้แล้ว ก่อนที่ผู้อื่นจะเริ่มสงสัย” สีหน้าขององค์ชายรองเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมากทันที
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท” หลังจากน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น แล้วร่างกายของเขาก็หายไปจากรถม้าทันที พร้อมกับที่คนที่ขับรถม้าก็ได้เร่งความเร็วของรถม้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะตรงไปยังพระราชวังทันที
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น แคลร์ก็ได้ค้นพบหน้าสือที่น่าสนใจอีกเล่มในหนังสือ แม้ว่ากอร์ดั้นจะนั่งอ่านรายงานอยู่ในห้องนั้นด้วยก็ตาม หากแต่เขาก็ยังคงอนุญาติให้แคลร์เข้ามาใช้งานได้ อย่างที่กรณีแบบไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน
แคลร์พลิกอ่านไปมาตรงหน้าหนังสือ และเริ่มกลายเป็นหลงใหลอยู่กับมันอย่างช่วยไม่ได้ หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับเวทย์มนตร์ขั้นพื้นฐาน มันช่างเป็นพื้นฐานที่นางกำลังต้องการอยู่พอดี ในนั้นกล่าวถึงวิธีการที่จะทำอย่างไรให้สามารถสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบรอบ ๆ ตัวที่มีธาตุเวทมนตร์ และวิธีการนั่งสมาธิเพื่อฝึกจิต
“อะไรหรือ นี่เจ้าสนใจมันด้วยหรือ” จู่ๆ กอร์ดั้นก็โผล่ออกมาจากทางด้านหลังของแคลร์และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สดใส
“ท่านปู่” แคลร์หันหลังกลับไปหาท่านปู่ของเธอ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย อย่างไม่คิดที่จะปิดบัง
“ใช่เจ้าค่ะ หลานสนใจมัน” ทั่วทั้งทวีปซีลอนแห่งนี้ เหล่านักเวทนั้นกลับมีจำนวนที่น้อยมาก และที่สำคัญพวกเขายังเป็นบุคคลที่สำคัญมากสำหรับทุกกอาณาจักร ไม่เพียงแต่นักเวทที่มีความแข็งแกร่งมากจะมีอำนาจมากไปด้วยแล้ว พวกเขายังเป็นบุคคลต้องห้ามอีกด้วย เพราะบุคคลเหล่านี้สามารถที่กวาดล้างกองทัพทั้งกองทัพหรือแม้กระทั่งเมืองสักเมืองได้เพียงตามลำพัง แต่ก็แน่นอนที่สุดว่าผู้ใช้เวทมนต์ระดับนั้นยอมต้องหายากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
ผู้ใช้เวทมนต์ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความรุ่งโรจน์ และความมั่งคั่ง ดังนั้นนักเวทที่ยังเป็นเด็กเช่นลาเชียร์ย่อมต้องถูกปรนนิบัติดูแลเอาใจใส่ในทุกอย่างเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
“เจ้าเคยทดสอบธาตุตามธรรมชาติไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่เจ้ายังเล็ก และผลที่ออกมาก็คือมันเป็นธาตุแห่งไฟ แม้ว่าพลังจิตวิญญาณของเจ้าจะยังอ่อนแออยู่ก็ตาม แน่นอนว่าข้ายอมต้องมีมากมายหลายวิธีที่จะช่วยเหลือให้เจ้าได้เรียนเวทมนต์”
กอร์ดั้นยิ้มแย้มก่อนจะนึกไปถึงครั้งที่แคลร์ยังเล็กอยู่ ตอนนี้พลังจิตวิญญาณของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ได้ครึ่งของพลังที่มีอนุภาพของลาเชียร์เลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้ย่ำแย่จนเกินไปด้วยเช่นกัน ปัญหามันอยู่ว่าที่เด็กคนนี้ไม่ได้มีความสนใจที่จะเรียนรู้ ในเรื่องของเวทมนต์มาก่อน นางยืนยันที่จะไม่ศึกษาไม่ว่าเขาจะพยายามหว่านล้อมนางเพียงใดก็ตาม ดังนั้นในตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่นางสนใจที่จะศึกษามันขึ้นมาแล้ว
“จริงหรือเจ้าค่ะ” รอยยิ้มมีความสุขระบายไปทั่วใบหน้าของแคลร์อยู่ในตอนนี้ มีเพียงการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นที่จะทำให้เธอกลายเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง
“นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเรียนมนุษย์ศาสตร์และภูมิศาสตร์ในตอนเจ้า และเรียนเวทมนต์เบื้องต้นในตอนเย็น ส่วนเรื่องการสอบเข้าสถาบันซันไรส์นั้น เจ้าจำเป็นจะต้องสอบผ่านเวทมนต์ขั้นต้นให้ได้เสียก่อน แม้ว่าข้าจะสามารถทำให้เจ้าเข้าไปอยู่ที่นั้นได้โดยที่ไม่ต้องสอบใดๆ เลยก็ตาม แต่ถ้าเจ้ายังไม่รู้เวทเบื้องต้นใดๆ เลย ถ้าเจ้าเข้าไปอยู่ที่นั้นมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี”
กอร์ดั้นลูบศีรษะของแคลร์เบาๆ ก่อนจะยิ้มขึ้น
“ปู่รู้อยู่แล้วว่าหลานของกอร์ดั้นคนนี้ จะต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน”
“หลานคนนี้จะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวัง” แคลร์ตอบขึ้นอย่างจริงจัง
“เช่นนั้นก็ดี” กอร์ดั้นมีความสุขอย่างมาก ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้
ในคืนนั้น แคลร์นั่งเงียบๆ อยู่บนเตียงของเธอ ภายในหัวกำลังตื่นเต้นไปกับวิธีการฝึกจิตและการสัมผัสพลังเวทที่มีอยู่รอบๆ ตัวของเธอตามที่ได้อ่านมาจากในหนังสือ เด็กสาวหลับตาลง พยายามลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้าๆ แล้วแคลร์ก็สามารถรับรู้ได้ถึงแสงสว่างมากมากที่อยู่รอบตัวของเธอ
ถึงแม้ว่าดวงตาของเธอจะปิดอยู่ แต่เธอก็สามารถ มองเห็นแสงสว่างเหล่านั้นได้ ละอองของแสงเหล่านั้นเป็นสีแดง มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เป็นสีอื่นต่างออกไป
แคลร์จำได้ว่ากอร์ดั้นเคยบอกเอาไว้ว่า ร่างกายตามธรรมชาติของเธอนั้นเป็นธาตุไฟ ดังนั้นละอองสีแดงเหล่านั้นต้องเป็นธาตุไฟของเธออย่างแน่นอน และธาตุอื่นๆ ที่เธอไม่สามารถที่ตรวจสอบได้มันคงจะเป็นธาตุที่ต่างออกไป
นี่คงจะเรียกว่าอาณาจักรแห่งเวทมนตร์ใช่ไหม แคลร์รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เธอค่อยๆ ทำตามที่ได้อ่านมาจากในหนังสือ เริ่มต้นด้วยการจับเอากลุ่มแสงสีแดงเหล่านั้นเอาไว้
ถ้าหากว่ามีนักเวทคนใด ได้ร่วงรู้ว่าแคลร์สามารถนั่งสมาธิได้อย่างราวกับผู้ที่มีความชำนาญเช่นนี้ และยังจับสัมผัส และกักเก็บละอองของธาตุในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ พวกเขาคงจะตื่นตะลึงราวกับความตายได้อยู่ตรงหน้าของพวกเขาอย่างแน่นอน มันเกินกว่าคำว่าอัจฉริยะไปแล้ว
ในเช้าวันถัดมาทุกอย่างก็ได้เป็นไปตามเช่นทุกครั้ง คามิลล์ได้เข้ามาสอนแคลร์ถึงเรื่องของศาสตร์วรรณกรรมและเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมายอย่างจริงจัง
ภายในห้องหนังสือที่มีความสว่างไสว แคลร์ได้นั่งฟังคำบรรยายของคามิลล์อย่างตั้งอกตั้งใจ
“วิหารแห่งแสงสว่างคือตัวแทนของการดำรงอยู่พระเจ้า และสถานที่แห่งนี้ก็ได้ทำตามความปรารถนาของพระเจ้า โดยการทำลายความชั่วร้ายที่คงอยู่ เพื่อค่อยค้ำจุนแสงอันดีงามเหล่านี้ มันเป็นวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ส่องแสงสว่างแห่งความดีงาม และยังเป็นสถานที่หลบภัยให้แก่ของทุกคนอีกด้วย” วันนี้คามิลล์ได้บรรยายเกี่ยวกับวิหารแห่งแสง ซึ้งเป็นสถาบันที่ทรงอำนาจที่สุดในทวีปแห่งนี้
แคลร์มองดูคามิลล์ที่เต็มไปด้วยความอารมณ์ความรู้สึกด้วยท่าทางสงบ เธอสังเหตุเห็นแม้ว่าคามิลล์นั้นจะได้พูดยกย่องเกี่ยวกับวิหารแห่งแสง หากแต่เขากลับไม่ได้มีความเชื่อถือในวิหารแห่งนั้นแม้แต่น้อย ช่างน่าสนใจจริงๆ แคลร์พึมพำกับตัวเอง บางทีนักปราชญ์คามิลล์ผู้นี้อาจจะไม่ได้เป็นเคยเรียบเฉยอย่างที่เขาแสดงออกมาก็ได้
ในยามบ่ายของวัน นักเวทที่อยู่ภายในกลุ่มของตระกูลฮิลล์ก็ได้มาถึงอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายแรกที่จะทำการทดสอบของแคลร์ในวันนี้ก็คือ พลังทางจิตวิญญาณ นับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานทีเดียว หลังจากที่แคลร์ได้ทำการทดสอบไป พลังทางจิตวิญญาณนั้นจะเป็นตัวตัดสินว่าบุคคลคนนั้นจะสามารถกลายมาเป็นนักเวทได้หรือไม่ บุคคลผู้นั้นอาจจะไม่สามารถกลายมาเป็นนักเวทได้ถ้าหากว่าว่าพลังจิตวิญญาณนั้นอ่อนแอ่เกินไป หากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่า แคลร์จะไม่สามารถผ่านการทดสอบบทแรกนี้ไปได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงการที่แคลร์จะกลายมาเป็นนักเวทได้อีก
ผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบพลังจิตวิญญาณของแคลร์นั้นเป็นชายวัยกลางคนผู้ที่สวมใส่ชุดคลุมแห่งเวทมนต์ ใบหน้าสีทองสองใบเล็กๆ ที่ติดอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายของเขานั้นบ่งบอกว่าคนผู้นี้ได้กลายมาเป็นนักเวทระดับของผู้เชี่ยวชาญไปเรียบร้อยแล้ว โดยปกติแล้วผู้คนประเภทนี้ถือว่าหาได้ยากมาก แต่มันก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีบุคคลประเภทนี้อยู่ที่ตระกูลฮิลล์ เพราะตระกูลฮิลล์ก็เป็นตระกูลที่โดดเด่งอยู่แล้ว ดังนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ตระกูลฮิลล์จะมีผู้มีอำนาจมากมายร่วมอยู่ด้วยเช่นนี้
ชายวัยกลางคนได้นำเอาลูกแก้วคริสตัลออกมาอย่างไร้อารมณ์ใดๆ ปรากฏออกมา ก่อนจะว่างมันลงตรงหน้าของแคลร์ พร้อมกับพูดขึ้นอย่างรวบรัด
“คุณหนู โปรดวางมือของท่านลงมาบนสิ่งนี้ และตั้งสมาธิให้ดี”
แคลร์ยื่นมือของเธอออกไปช้าๆ ก่อนจะวางมันลงไปที่ลูกแก้วคริสตัลตรงหน้า และหลับตาของเธอลงเพื่อทำสมาธิ
ในเวลาต่อมา เสียงดังราวกับระเบิดก็ได้สนั่นไปทั่วบริเวณห้องทันที
ชิ้นส่วนของคริสตัลแตกกระจายออกไปทั่วพื้นห้อง และชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าราวกับหินผาคนก่อนหน้านี้ ก็กำลังจ้องมองไปที่เศษซากของลูกแก้วคริสตัลด้วยปากที่เปิดออกกว้าง เต็มไปด้วยความงงงวย สันสับอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขอบคุณทุกกำลังใจและคอมเม้นท์ค่ะ