ตอนที่ 45 ความเปลี่ยนแปลง(1)
45
ความเจ็บปวดที่มาจากภายในนั้นไม่ได้เกิดบนร่างกาย หากมันเกิดขึ้นภายในจิตวิญญาณและแกนปราณ ซึ่งทั้งสองล้วนเกี่ยวพันธ์กับการคงอยู่ของชีวิต เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามันผิดหลักธรรมชาติ ไม่แปลกที่ชีวิตที่เกิดบนพื้นฐานของโลกจะเสื่อมสลายและไม่อาจคงอยู่ได้
ถางเจียฉีรอเวลานี้อยู่ก่อนแล้ว มันสะบัดมือเพียงครั้งค่ายผนึกก็เกิดขึ้นใต้ร่างของจางหมิง
อักขระแปลกตาเรียงร้อยเป็นวงกลมพาดผ่านบนพื้นราวกับมีชีวิต จิ้งจอกน้อยที่อยู่ใกล้กระโดดหลบไปมุมห้องทันทีอย่างหวาดกลัว ก่อนที่อักขระเหล่านั้นจะจารจารึกไปทั่วทั้งห้อง จิ้งจอกน้อยที่หลบไปก็ไม่เว้นถูกสิ่งเหล่านั้นวาดผ่าน
บางสิ่งที่ไม่มีใครรู้
...แต่ถางเจียฉีผู้นี้รับรู้ได้อย่างชัดเจน
ชีวิตที่ยาวนานทำให้มันได้ครอบครองวิชายุทธ์ด้านดวงตาที่เห็นทุกสิ่งอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง นั่นไม่เว้นแม่แต่สายเลือดที่ถูกผนึกไว้ของจางหมิงก็เช่นกัน
ถางเจียฉีเป็นหนึ่งในผู้ร่วมคุมการทดสอบเข้าสำนักในด่านแรก ที่แห่งนั้นทำให้มันพบกับจางหมิงโดยบังเอิญ แต่ด้วยระดับพลังที่ต่างชั้นอีกฝ่ายจะไม่พบเห็นมันก็ไม่แปลกอันใด เป็นมันเสียเองที่พบกับสิ่งที่ตามหามามากกว่าหลายสิบปี
ความจริงแล้วอายุของมันก็...
อา... นั่นสินะ เท่าไหร่กัน
รูปลักษณ์ไม่ใช่ตัวบ่งบอกความสามารถและอายุของผู้ฝึกยุทธ์ที่มากประสบการณ์ ตัวมันจะมีอายุเพียงยี่สิบปีหรือสองร้อยปีก็ไม่ได้ต่างกันนักหากมองจากรูปกาย แต่ใครเล่าจะสนใจในเมื่อสายตาของมนุษย์ล้วนมองแค่สิ่งที่ต้องการจะเห็นเท่านั้น
อักขระสีดับขยับไหวไปมา ถางเจียฉีที่เห็นว่าทุกอย่างครอบคลุมไปทั่วแล้วจึงได้ใช้ปราณกระตุ้นพลังของค่ายผนึกอีกครั้ง
หากจะถามว่ามันวางค่ายกลไว้เมื่อใดล่ะก็ ต้องถามมันก่อนว่าการเป็นผู้คุมตำหนักแทนผู้อาวุโสนั้นต่างกับการเดินบนหลังบ้านตนเองอย่างไร มันจะแอบทิ้งค่ายกลไว้ทุกที่ก็ไม่มีใครตรวจสอบหรอก
จิ้งจอกน้อยเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงของจางหมิงไม่ใช่สัตว์ปีศาจที่ถูกตราด้วยเลือดผูกติดกับเจ้านาย เช่นนั้นผลของอักขระที่แสดงผลโดยมีจางหมิงเป็นศูนย์กลางจึงได้ดึงดูดพลังชีวิตของมันออกไปด้วยเนื่องจากผลคาบเกี่ยวของค่ายกลที่แข็งแกร่ง
ถางเจียฉีไม่ได้สนใจกับสัตว์ปีศาจตัวน้อยนัก มันมองดูแค่จางหมิงที่สลบไปแล้วเท่านั้น อักขระทุกตัวตอนนี้หมุนวนและหดตัวลงไต่ไปตามแขนขาจนกระทั่งทั่วร่างของจางหมิง จิ้งจอกน้อยจากมุมห้องก็โดนรัดพันจากอักขระที่อยู่ใกล้ก่อนถูกกระชากเข้าไปหาด้วยเช่นเดียวกัน
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! ...
เสียงของสายฟ้าปะทุขึ้นหลายครั้งทำให้ถางเจียฉีเริ่มหันไปมอง สิ่งเหล่านั้นเกิดจากตัวจิ้งจอกน้อยเอง
ขนสีทองตั้งชันฟูฟ่อง เขาเล็กๆงอกยาวขึ้นอีกนิดหน่อย ดวงตาของมันฉายประกายสีทองอย่างสวยงาม และมีกระแสไฟฟ้าสีทองกระจายออกรอบตัว ไม่นานอักขระที่พัวพันอยู่กับมันก็ถูกดีดออกแล้วพุ่งตรงไปยังจางหมิงต่อไป
“ข้าก็กำลังคิดอยู่ว่าหากเจ้าไม่สามารถกระตุ้นสายเลือดอีกครึ่งของตัวเองออกมาได้ก็สมควรตายเพื่อเพิ่มพลังให้เจ้านายของเจ้าเสีย แต่แบบนี้ก็ดี พลังของเจ้ายังคงเป็นประโยชน์ได้อีกมาก จิ้งจอกอัสนีสวรรค์เช่นนี้ย่อมเป็นคู่หูที่ดีได้” ถางเจียฉีหันไปพูดกับจิ้งจอกน้อยที่ตอนนี้ล้มฟุบไปบนพื้นเนื่องจากการระเบิดพลังออกมาเป็นครั้งแรก
จิ้งจอกอัสนีสวรรค์คือหนึ่งในสายพันธุ์โบราณของสัตว์ปีศาจทั้งแปดตนที่ว่ากันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ตามตำราได้กล่าวไว้ว่าเหลือเพียงสองสายพันธุ์เท่านั้นที่ยังคงอยู่ แต่นั่นไม่ใช่จิ้งจอกอัสนีสวรรค์ เมื่อเห็นการปรากฏตัวของมันครั้งแรกยังทำเอาถางเจียฉีแปลกใจไม่น้อย
ความสามารถของจิ้งจอกอัสนีสวรรค์คืออะไรล่ะ
กินชีวิต หลอมวิญญาณ บงการสวรรค์ หรือจะอะไรที่มากกว่านั้น หากนั่นก็ไม่ควรหวังกับสิ่งมีชีวิตที่มีสายเลือดเพียงครึ่งเดียว แต่แค่นั้นก็ยังคงพอใช้การได้มากอยู่
อักขระทุกตัวเลือนหายไปใต้ผิวหนังของจางหมิง ความจริงแล้วนั่นคือผนึกกระตุ้นพลังปราณที่ดัดแปลงมาเพื่อให้กระตุ้นสายเลือดที่ถูกปิดซ่อน แต่ถึงอย่างนั้นของเลียนแบบนี่ก็ยังคงมีพลังมากพอ
ปัง!
หากจู่ๆสิ่งที่คิดว่าง่ายดายกลับไม่ได้เป็นไปอย่างเช่นที่มันคิด
พลังที่จะนำไปกระตุ้นทั้งหมดถูกดูดกลับเข้าไปกลางหน้าผากของจางหมิง แสงสีเขียวสว่างปรากฏออกมาพร้อมกับพลังของค่ายกลอักขระที่รั่วไหล
ถางเจียฉีที่มักจะยิ้มแย้มตลอดเวลาก็ยังมีครั้งที่ต้องขมวดคิ้ว รอยยิ้มนั้นก็ชักจะฝืดเฝื่อนเต็มที แต่มันก็ยังคงยื้อกับพลังนั้นได้อยู่จึงไม่ได้เกิดเป็นปัญหาใหญ่มากนัก
“ใครกันนะที่ตราผนึกสะกดซ้อนทับกับผนึกที่อยู่ในสายเลือดนั่น ถึงจะเป็นผนึกที่อยู่ได้แค่ไม่กี่ปี แต่ก็ต้องยอมรับว่าพลังแค่นั้นแต่สามารถสร้างผนึกได้แข็งแกร่งเพียงนี้ก็นับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง” นานๆทีถางเจียฉีจะชื่นชมผู้อื่น นับว่าบิดาของจางหมิงที่เป็นคนทำย่อมเก่งกาจจริงๆ
แครก แครก เพล้ง!
ผนึกกลางหน้าผากแตกออกเป็นชิ้นๆลอยฟุ้งกลางอากาศก่อนจะเลือนหายไป เมื่อนั้นพลังของค่ายกลอักขระก็รุนแรงขึ้นอีกครั้ง บางอย่างในตัวของจากหมิงดิ้นพล่านอยากออกมาสู่ภายนอกอย่างบ้าคลั่ง
แต่ทุกอย่างก็หยุดลงฉับพลัน
“นี่มันอะไรกัน!” ใบหน้าที่ควรประดับรอยยิ้มตอนนี้กลับมานิ่งเรียบและฉายประกายความไม่พอใจเต็มเปี่ยมในแววตา
พลังของค่ายกลที่ถางเจียฉีเตรียมไว้ควรจะปลุกพลังของสายเลือดดั่งเดิมในตัวจางหมิงออกมา แต่ผลปรากฏว่าพลังของอักขระถูกสูบเข้าไปในแกนปราณของจางหมิงอย่างรวดเร็ว และเข้าไปภายในนั้นทั้งหมดในเวลาเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะหายไปสิ้นราวกับไม่มีอะไรเกินขึ้นมาก่อนหน้า
บัดซบ!
ทำไมถึงมีเจ้านั่นอยู่ด้วย!
ถางเจียฉีกัดฟันแน่นเมื่อสำรวจดูแกนปราณของจางหมิงอย่างละเอียด สำหรับมันพิษทั้งสองนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่พลังก้อนสีดำที่อยู่ในแกนปราณนั้นต่างหากที่ไม่ควรที่จะมีอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแค่ค่ายกลหยาบๆมีหรือจะทำอะไรกับสิ่งนั้นได้
กว่าที่ถางเจียฉีจะทำใจยอมรับผลได้ก็ใช้เวลาไปร่วมหลายนาที ก่อนที่มันจะถอนหายใจออกมาแรงๆและประดับรอยยิ้มไว้บนใบหน้าตามเดิม
สายลมกวาดตัวของจางหมิงและจิ้งจอกน้อยลอยขึ้นจากการใช้พลังปราณ พวกมันลอยขึ้นไปบนที่นอนเบาๆก่อนที่ถางเจียฉีจะคลายผนึกรอบห้องแล้วจากไป
อย่างน้อยตอนนี้มันก็ได้ใช้วิญญาณของชีวิตอื่นเล็กน้อยเพื่อเปิดขั้นปราณขั้นแรกไปแล้ว นั่นนับว่าผลลัพธ์สำเร็จไปมากกว่าครึ่งอยู่ดี
เมื่อเป็นเช่นนั้นตอนนี้จางหมิงก็ไม่ใช่จางหมิงคนเดิมอีกต่อไป
มันจะรอคอยการก้าวข้ามระดับอีกครั้งก่อนก็แล้วกัน นั่นก็ไม่ได้นับว่าสายเกินไปที่จะดำเนินการ
แต่หลังจากที่ถางเจียฉีออกไป ผลลัพธ์ที่ไม่ควรจะเกิดก็ได้เกินขึ้นมา
การจารอักขระลงในสายเลือกจะถูกปกป้องจากพลังประหลาดสีดำที่เคยอยู่ในมีดไร้ประกายก็จริง แต่นั่นหมายถึงแกนปราณนั้นเป็นของคนปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้วแกนปราณของจางหมิงคือแกนปราณไร้ลักษณ์ที่ไม่เสถียร ดังนั้นพลังสีดำที่รวมตัวกับมันนั้นจึงไม่เสถียรตามไปด้วย แล้วมีหรือที่การป้องกันนั้นจะสมบูรณ์
เลือดในกายของจางหมิงไหลวนเป็นสีส้มสว่าง มันฉีดพล่านบนหัวใจก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วร่างตามการไหลเวียนโลหิต สีสันประหลาดเหล่านั้นเห็นได้ชัดออกมานอกผิดหนังเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไป
ไม่มีใครรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่สิ...
มีจิ้งจอกน้อยที่ลืมตาขึ้นมาดูแวบหนึ่งเห็นสิ่งเหล่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ใส่ใจก่อนจะหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย
+++