ตอนที่ 44 จิ้งจอกมีเขา
44
“ศิษย์พี่ถางช่วยข้าด้วย!” ซื่อเก่อเหยียนตะโกนออกไปอย่าบ้าคลั่งก่อนจะเร้นหลบด้านหลังของผู้ถูกเรียกขาน
งูเขียวเกล็ดนิลเลื้อยมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเหยื่อที่มันไล่ล่าหยุดวิ่งหนีจึงได้โถมตัวฉกออกไปข้างหน้า และไม่ทันที่จะถึงตัวคนทั้งคู่มันก็ชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นหากแต่ปะทะก็สะท้อนแสงสีเขียวสดบ่งบอกถึงระดับของความชำนาญที่มากมาย
เกราะปราณขั้นปรมาจารย์ไม่ใช่เกราะคุ้มกายเพียงเท่านั้น มันราวกับโล่ที่กางออกไปด้านหน้าพร้อมกับสะท้อนการโจมตีออกไปด้วยเช่นกัน แล้วงูเขียวเกล็ดมรกตที่พุ่งเข้ามาอย่างผู้ชนะในตอนแรกนั้นมีหรือจะไม่เป็นอันใด
ตูม!
แรงดีดสะท้อนทำให้มันกระเด็นไปไกล แรงบีบอัดที่ส่งตรงกลับมายังทำให้เกล็ดที่ว่าแข็งนักหนานั้นแตกออกเป็นเสี่ยงและร้าวแทบจะทั้งตัว
“เจ้าอยากกินมันหรือไม่” ถางเจียฉีหันไปถามจิ้งจอกน้อยที่ยังคงเกาะติดบนศีรษะของเจ้าอ้วนอยู่
“กินๆ กินมัน” จิ้งจอกน้อยก็ตอบออกมาอย่างไม่ลังเล
“นั่นสินะ นี่ก็คงจะเป็นวิญญาณสุดท้ายในขั้นแรกแล้ว...” ถางเจียฉีพึมพำกับตนเองโดยไม่สนว่าทั้งสองด้านหลังจะได้ยินหรือไม่ หรืออาจเพราะแน่ใจแล้วว่าพวกมันไม่สามารถที่จะเข้าใจในความหมายนั้นได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
งูเขียวเกล็ดมรกตพยายามจะเลื้อยหนีไปแต่ก็ไม่ทันความเร็วของอีกฝ่ายที่พุ่งไปดักหน้า แค่เพียงสะบัดมือทีเดียวเข็มสีทองนับพันก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ แสงระยิบนะยับนั้นสวยงามหากก็มีความน่ากลัวซ่อนอยู่ งูเขียวที่รับรู้ได้จึงได้ตัวสั่นงันงกอยู่แบบนั้น
“อย่าได้กลัวไปเลย เจ้าจะได้เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มคนผู้นั้น นั่นคงเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำไป” ถางเจียฉีพูดอย่างอ่อนโยน หากความมันคงจะทำให้งูเขียวที่กำลังตื่นกลัวนี่สงบได้อยู่หรอกถ้าคำพูดเหล่านั้นไม่เต็มไปด้วยรังสีสังหารที่สัญชาตญาณในตัวมันร้องบอกให้หนีห่าง
แต่มันจะหนีไปที่ใดได้เล่า!
“พิรุณวิบัติ”
เข็มนับพันเหล่านั้นพุ่งลงไปหาอีกฝ่ายทันที เข็มเล็กๆสอดแทรกเข้าไปตามรอบแตกบนเกล็ดอย่างเหมาะเจาะพอดีทุกเล่ม เสียงกรีดร้องเล็กๆจึงดังไปทั่วทั้งป่าอย่างสุดแสนจะทรมาน นกโดยรอบตกใจแตกฮือจนเกิดเสียงสะบัดปีกมากมาย อีกทั้งเสียงสัตว์ใหญ่ทั้งหลายที่เหมือนจะวิ่งหนีไป
เลือดของสัตว์ร้ายเรียกสัตว์ที่ร้ายกว่ามาเสมอ แต่ก็คงไม่ใช่กับครั้งนี้ อย่างน้อยพวกมันก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าผู้ที่จัดการงูเขียวไปคงจะน่ากลัวไม่น้อย
โครม!
ไม่นานงูเขียวเกล็ดมรกตก็ล้มตัวลงหายใจรวยริน ซื่อเก่อเหยียนจึงรีบกระโดดเข้ามาเตะมันไปเสียหลายทีด้วยความคับแค้น ส่วนจิ้งจอกน้อยตอนนี้กระโดดลงมาบนพื้นแล้วแต่มันก็ยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากจ้องมองถางเจียฉีที่อยู่เบื้องหน้า
“ข้าขอขอบคุณศิษย์พี่ถางที่ช่วยเหลือ หาไม่แล้วข้าคงได้กลายเป็นอาหารของมันเป็นแน่” เจ้าอ้วนโค้งคำนับให้ แววตาฉายประกายนับถืออยู่ในนั้นด้วย
“ไม่เป็นไร”
ทุกคนในตำหนักใต้ล้วนชื่นชมศิษย์พี่ผู้ดูแลตำหนักใต้คนนี้อยู่แล้ว เนื่องด้วยเพราะนิสัยใจคอที่เป็นกันเองและใจดีล้วนทำให้ทุกคนรู้สึกเคารพ อีกทั้งหากนับเรื่องพลังที่เก่งกาจด้วยแล้วความเคารพนั้นจึงกลั่นกลายเป็นความนับถือไปด้วย และแม้แต่ซื่อเก่อเหยียนก็ไม่มีข้อยกเว้น
แต่ศิษย์พี่ของมันจะไม่เก่งกาจเกินไปหน่อยหรือ...
ซื่อเก่อเหยียนแม้จะมีอายุถึงสิบหกปีแล้วนั้น แม้จะห่างไกลคำว่าเด็กเข้าไปทุกทีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความคิดของมันจะโตตามตัว ความเก่งกาจเกินพอดีที่ทำให้มันแปลกใจนั้นจึงไม่ได้สะกิดความไม่ชอบมาพากลออกจากความคิดของมันได้เช่นกัน
“เจ้าไม่กินหรือ” เจ้าอ้วนหันไปถามจิ้งจอกน้อยที่ตอนนี้นั่งจ้องศิษย์พี่ของมันอยู่ข้างหน้า
จิ้งจอกน้อยไม่ตอบคำหากแต่ยังคงเอียงคอมองอยู่แบบนั้น มันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เหมือนกับตัวมันในช่วงที่เข็มเหล่านั้นร่วงลงใส่อาหารตัวสีเขียวนี่ แต่ก็มองอยู่ได้ไม่นานเนื่องจากซื่อเก่อเหยียนอุ้มมันโยนใส่ร่างของงูเขียวเกล็ดนิล
กรร!
จิ้งจอกน้อยหันไปขู่คำรามใส่อีกฝ่ายที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เบาๆ ก่อนจะหันกลับมามองอาหารของมันด้วยดวงตาเป็นประกาย
จางหมิงตอนนี้ได้ทำความเข้าใจกับเคล็ดมีดขั้นกวัดแกว่งฟ้าอย่างจริงจัง มันพบจุดเล็กๆของข้อเสียของเคล็ดวิชา แต่ก็เฉพาะกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังปราณในขั้นต่ำเท่านั้น หากมันต้องการใช้วิชาไม่ให้เกิดเสียงมันก็ต้องก่อรูปปราณของตนเองให้ได้เสียก่อน และนั่นมันต้องอยู่ในขั้นกลางของการฝึกปราณจึงจะสามารถทำได้
มันถอนหายใจแล้วหงายหลังล้มลงไปบนเตียง สายตาเหม่อมองหลังคาเตียงอย่างจนปัญญา เพราะถ้าจะให้มันคิดหาวิธีที่จะทำได้ก่อนที่จะถึงขั้นกลางนั้นเป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นแค่โจรที่พอจะมีดีอยู่บ้างไม่ใช่บัณฑิตผู้ทรงภูมิ แล้วจะคิดวิธีการเหล่านั้นออกได้อย่างไร
โครม!
เสียงของการทำลายประตูที่คุ้นเคยทำให้จางหมิงผุดลุกขึ้นมาดูแทบไม่ทัน
ประตูไม้บานใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อไม่นานตอนนี้กลับมาเอียงกระเท่เร่อีกครั้ง เส้นประสาทที่หางคิ้วมันเต้นตุบๆอย่างไม่พอใจ แม้มันจะไม่ได้เป็นผู้ออกเงินค่าซ่อมประตูก็จริง หากผู้ดูแลทรัพย์สินสำนักที่คิดว่าสนิทกันดีตอนนี้ก็เบื่อหน้ามันเต็มทนแล้ว
“เจ้าควรเคาะหรือไม่ก็เปิดเข้ามาดีๆ” ความไม่พอใจนั้นทำให้มันลืมเรียกขานศิษย์พี่อย่างสุภาพเช่นทุกที
“เจ้าดูนี่ๆ” ซื่อเก่อเหยียนอุ้มจิ้งจอกน้อยชูให้มันดูอย่างตื่นเต้นโดยไม่สนใจคำกล่าวรียกที่ผิดแปลกไป
ในสายตาของจางหมิงจิ้งจอกน้อยก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ นอกจากตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย มันจึงเลิกคิ้วส่งเป็นเชิงถาม
“ไม่ ข้าหมายถึงดูที่หัวมัน เห็นไหมๆ”
เจ้าอ้วนอุ้มจิ้งจอกน้อยเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม แถมพยักพเยิดไปทางส่วนที่มันต้องการให้มองจริงๆ
เขา?
จิ้งจอกน้อยมีเขา?
“นี่ท่านให้มันกินอะไรเข้าไปถึงได้กลายมาเป็นตัวประหลาดเช่นนี้” ไม่พูดเปล่ามันรับจิ้งจอกน้อยมาอุ้มเสียเองพลางจ้องมองเขาเล็กๆสีดำที่โผล่ออกมานั้น
“ข้าเปล่านะ มันก็กินกวาง หมูป่า แล้วก็สัตว์อสูร ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก อืม...”
“ศิษย์น้องซื่อเจ้าช่วยนำดีงูของงูเขียวเกล็ดมรกตไปส่งที่หอโอสถที” ถางเจียฉีที่ตามมาได้ส่งของที่อยู่ในกล่องให้อีกฝ่ายรับไป
“ให้ศิษย์น้องจางไปไม่ดีกว่าหรือ มันเป็นศิษย์ของหอโอสถอยู่แล้ว”
“ข้าเพียงต้องการคุยกับศิษย์น้องของเจ้าสักเล็กน้อย”
“อา... เช่นนั้นก็ได้ศิษย์พี่ ข้าไปแล้วนะศิษย์น้อง ...อย่าลืมยาเม็ดต่อไปล่ะ” ซื่อเก่อเหยียนหันมากระซิบกับจางหมิงก่อนจะคำนับศิษย์พี่ของมันแล้วทะยานร่างจากไป
พอเหลือเพียงสองคนและอีกหนึ่งตัวในห้อง บรรยากาศกลับมาเงียบกริบ ทั้งสองจ้องมองกันไปมาอย่างค้นหา แต่ก็ต้องถอนสายตาออกไปเมื่อจิ้งจอกน้อยดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของจางหมิงแล้วกระโจนขึ้นไปบนโต๊ะ
ลูกแก้วสีดำสนิทถูกคายออกมา แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือในครั้งนี้มันมีขนาดเท่าหัวแม่มือ ซึ่งถือว่าใหญ่กว่าในครั้งแรกพอสมควร
จางหมิงหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบ มันได้กลิ่นหอมหวานออกมาจากลูกแก้ววิญญาณเม็ดนี้ด้วยทั้งๆในคราก่อนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจิ้งจอกน้อยของเจ้าจึงให้ลูกแก้ววิญญาณเหล่านี้ไม่เท่ากัน ทั้งขนาดและจำนวน” จู่ๆถางเจียฉีที่เงียบไปนานก็กล่าวขึ้นมา
“ข้าก็กำลังคิดอยู่ว่าเพราะเหตุใด”
“ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความไป ลูกแก้ววิญญาณเกิดขึ้นจากความแข็งแกร่งทางวิญญาณขนาดจึงขึ้นอยู่กับมันด้วย และสีสันของมันจะเข้มหรือจืดจางขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของกายเนื้อ อีกทั้งลูกแก้ววิญญาณจะสร้างได้ก็ต่อเมื่อสิ่งที่มันกินเข้าไปยังคงมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปไม่นาน ไม่ใช่เพียงศพที่จืดชืด ทั้งหมดมันก็มีเท่านี้”
“เหตุใดจึงต้องช่วยข้า และเหตุใดจึงบอกให้ข้าฟัง” จางหมิงรวบกำลูกแก้ววิญญาณชิ้นล่าสุดไว้ในอุ้งมือไม่ได้กินเข้าไปเหมือนทุกที
“นั่นสินะ หากบอกว่าเพราะเจ้าเหมือนน้องชายข้าเจ้าจะเชื่อหรือไม่”
“ไร้สาระ!” จางหมิงตอบกลับในทันที
“ฮ่าๆๆ ข้าก็คิดไว้อยู่แล้ว แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้คิดร้าย ทุกอย่างที่บอกไปนั่นล้วนแต่เป็นผลดีกับเจ้าทั้งสิ้น” ถางเจียฉีไม่ได้ทุกร้อนกับการที่จางหมิงไม่สนใจเลยสักนิด
“เหอะ! ตอนนี้ก็บอกข้าแล้ว เช่นนั้นเชิญท่านออกไปเถอะ”
“ไม่ได้หรอก ข้าต้องรอให้เจ้ากินสิ่งที่อยู่ในมือนั้นลงไปเสียก่อน”
“ทำไม?” จางหมิงเริ่มที่จะระแวงกับลูกแก้ววิญญาณในมือนี่เสียแล้ว
ปัง!
ประตูห้องปิดลงทั้งๆที่เสียหายอยู่ก่อนแต่พลังปราณที่ครอบคลุมรอบห้องทำให้มันไม่ร่วงหล่นลงมา จากหมิงที่เห็นกลับยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันมากกว่าเดิม
“เจ้าคิดว่าการกระตุ้นเปิดปราณด้วยวิธีที่ไม่ปกติจะง่ายดายปานนั้นเชียวหรือ กินมันเข้าไป ขั้นตอนการเลื่อนระดับขั้นของเจ้าดูจะ ‘เสียงดัง’ ไม่น้อยข้าจึงจำต้องปิดผนึกรอบๆกันไว้ก่อน”
จางหมิงไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก หากมันไม่กินอีกฝ่ายก็ดูท่าจะไม่ยอมไปไหนแน่ๆ และกระทั่งอาจจับบังคับให้มันกลืนลงไปเสียด้วยซ้ำ
ลูกแก้วสีดำวาววับในมือสะท้อนเงาเข้าสู่สายตาก่อนที่จางหมิงจะกลืนมันลงไป
ความอุ่นซ่านแผ่กระจายอยู่ภายในช่องท้องก่อนจะลุกลามออกไปทั่วทั้งตัว หัวใจเต้นตุบในอกอย่างรุนแรง มือไม้สั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม และมันได้ยินเสียงบางอย่างแตกหักภายในก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นเป็นริ้วๆ
อ๊ากกกกก...
ความรวดร้าวเหล่านั้นแม้แต่มันที่คิดว่าอดทนอดกลั้นกับความเจ็บปวดได้ดียังต้องขอยอมแพ้ เสียงดังที่ถางเจียฉีหมายถึงก็คงจะเป็นเสียงร้องของมันเอง
+++