ตอนที่ 43 เจ้าอ้วนกับจิ้งจอกน้อย
43
กลับมาปรุงยากันอีกครั้ง ในคราก่อนจางหมิงไม่สามารถสร้างยาเพิ่มปราณได้เนื่องจากมันเป็นของใหม่ที่ไม่เคยสร้างมาก่อน แต่อย่างน้อยความรู้ด้านสมุนไพรของมันก็มีมากพอที่จะเข้าใจหลักการปรุงยานี้ แต่ผลที่ได้ต้องมีการทดสอบเสียก่อนเพื่อไม่ให้ผิดพลาด
สาเหตุที่ทำให้เม็ดยาเพิ่มปราณมีราคาสูงเพราะสมุนไพรที่นำไปผสม สมุนไพรส่วนใหญ่นั้นหาได้ง่าย แต่ผลก่อกำเนิดที่เป็นส่วนผสมหลักต้องมีการควบคุมการเพาะปลูกที่เหมาะสมจึงจะเติบโตได้อย่างเต็มที่ โดยในธรรมชาติแล้วมันกลับหาได้ยากเย็น และด้วยเหตุผลนั้นเม็ดยาชนิดนี้จึงมีราคาสูง
การปรุงเม็ดยาเพิ่มปราณจำต้องใช้เพลิงปราณในการปรุงขึ้น แต่ด้วยมันไม่สามารถทำได้เพราะจะทำให้พิษในกายกำเริบขึ้นมา ฉะนั้นในการปรุงยาเม็ดนี้มันจึงไม่สามารถทำเช่นผู้อื่นได้
จางหมิงจำเป็นต้องปรุงยาตามคำสั่งของสำนักอยู่แล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรุงยาด้วยวิธีการดั้งเดิม แต่นั่นก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนสมุนไพรบางตัวเพื่อความเหมาะสมด้วย ผลที่ได้ออกมาจะมีผลข้างเคียงในรูปแบบใดนั้นก็สุดที่จะรู้
หากอย่างน้อยตอนนี้มันก็ผู้ร่วมทดสอบแล้วถึงสี่
แล้วนั่นจะกลัวอะไรเล่า
เจ้าอ้วนและสมุนอยู่ในขั้นกลางระดับสองและหนึ่งตามลำดับ ความจริงความสามารถของพวกมันถือว่าดีอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่ยังเด็กเกินกว่าจะคิดถึงผลได้ผลเสียอันใด นับวันจึงได้ทำตัวกร่างไปทั่วแบบนั้น แต่ที่จางหมิงได้สังเกตพวกมันมา พวกมันเหล่านั้นก็เป็นแค่เด็กๆที่กำลังหาเรื่องแกล้งคนก็เท่านั้น ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนเลวร้ายอะไรนัก
สุดท้ายจางหมิงก็ได้สร้างยาเม็ดเพิ่มปราณออกมาสี่รูปแบบตามจำนวนคนที่ต้องการ และการทดสอบเหล่านี้ได้ลดปริมาณผลก่อกำเนิดลงกว่าครึ่งอีกด้วย แต่ก็คาดว่าผลที่ออกมาคงดีกว่าไม่มากก็น้อย
“ศิษย์พี่ ช่วงนี้ข้านั้นต้องพยายามปรุงเม็ดยาให้ทันเส้นตายของสำนัก และต้องเจียดเวลาทำยาให้พวกท่านอีกด้วย การที่จะต้องพาหลิงหลิงไปหาอาหารนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ทราบว่าจะรบกวนท่านหรือไม่หากว่า...”
“รบกวนอันใด เจ้าก็ทำยาต่อไปเถอะ เรื่องของจิ้งจอกตัวนี้ข้าจะจัดการเอง แต่จะไม่ดีกว่าหรือที่จะหาซื้อเอากับคนครัวของสำนัก” เจ้าอ้วนเสนอแนะเนื่องจากมันก็ใช้วิธีการนั้นซื้อหาจนมีขนาดตัวเช่นปัจจุบัน ส่วนมือก็ยื่นไปรับยาสี่เม็ดที่จางหมิงส่งให้
“ข้าต้องขอขอบคุณมากศิษย์พี่ แต่จิ้งจอกน้อยของข้าออกจะกินจุสักเล็กน้อย เนื้อในครัวนั่นคงไม่เพียงพอ อีกทั้งครั้งนี้ก็คาดว่าท่านคงต้องช่วยออกล่ามากเสียหน่อย”
“จะมากสักเท่าไหร่กันเชียว” เจ้าอ้วนไม่ได้สนคำเตือนนั้นก่อนจะติดตามจิ้งจอกน้อยที่วิ่งนำออกไป
จางหมิงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกลับเข้าห้องพักของตนเอง มันไม่ได้คิดจะปรุงยาต่ออย่างที่ได้บอกไปเพราะต้องรอผลจากยาที่เพิ่งสร้างขึ้นมาเหล่านั้นเสียก่อน หลังจากมีคนมาหาเรื่องคราวนี้มันจึงตั้งเป้าที่จะฝึกวิชายุทธ์ของมันให้เก่งกาจยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็เอาไว้ปกป้องตนเอง ยิ่งด้วยตอนนี้มันไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นต่อไปได้เช่นนี้ วิชายุทธ์ที่เชี่ยวชาญย่อมส่งผลดีกว่าในการต่อสู้
ตำราเคล็ดมีดสลักวิญญาณถูกนำมาเปิดอีกครั้ง ในขั้นแรกกวัดแกว่งฟ้านั้นมีเพียงเนื้อหาแค่ไม่กี่หน้าแต่จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จางหมิงเมื่อก่อนแม้แต่ขั้นไร้ฐานมันก็ไม่อาจฝึกสำเร็จ แต่ตอนนี้มีความแตกต่างจากก่อนหน้า เนื่องด้วยมีดไร้ประกายที่อยู่ในมือ มันมั่นใจกว่าแปดในสิบส่วนที่จะเข้าถึงระดับสามัญของขั้นกวัดแกว่งฟ้าได้
มีดไร้ประกายที่เคยแสดงอานุภาพเมื่อครั้งสู้กับหมียักษ์นั้น ครั้งนี้มันไม่ได้กวัดแกว่งไปมาเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว แต่ใช้พร้อมกับทักษะยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง
วี้ดดดด...
เสียงแหวกอากาศแหลมเล็กจากการแกว่งมีดตามเคล็ดในตำรา ความรวดเร็วนั้นทำให้อากาศถูกแหวกออกจนเกิดเป็นเสียงหวีดร้องแหลมสูงตามมา เสียงนั้นไม่ได้ต่างจากเสียงเพรียกของปีศาจเลย แต่แม้จะน่าหวาดกลัวอีกทั้งน่ากริ่งเกรงเพียงใดหากจางหมิงก็ไม่ได้ชอบมันเอาเสียเลย
คือมันหนวกหู!
คาดว่าวันหนึ่งมันคงหูหนวกก่อนที่จะฝึกสำเร็จแน่ๆ อีกทั้งจะมีโจรบ้านเมืองไหนที่ทำเสียงดังให้ผู้อื่นรับรู้ถึงตัวตนของมันกันเล่า
ในขณะที่จางหมิงกำลังหัวหมุนกับวิชาของมัน ทางด้านซื่อเก่อเหยียนนั้นดูจะเดือดร้อนยิ่งกว่า
จิ้งจอกน้อยที่ไม่ได้ตัวใหญ่โตนักนั้นสามารถกินจุเสียจนน่าตื่นตะลึง แม้แต่จิ้งจอกขาวที่มันซื้อให้ศิษย์น้องของมันเมื่อเย็นวานยังไม่กินล้างกินผลาญแบบนี้ทั้งๆที่ตัวโตกว่าเกือบสองเท่า ซื่อเก่อเหยียนกำลังเสียใจที่ไม่ได้พาพวกศิษย์น้องมาช่วยกันล่าด้วย จิ้งจอกน้อยไม่ยอมล่าเองนอกจากกินแล้วยังขี่คอมันราวกับลูกเล็กๆ
“ซื่อเหยียน ข้าจะกินอีก” หลิงหลิงพูดบอก
ตอนนี้ซื่อเก่อเหยียนกำลังทะยานไปตามแนวป่าทางใต้ของสำนักโดยมีจิ้งจอกน้อยเกาะอยู่บนหัว หากจะถามว่าทำไมคนเช่นมันจึงยอมให้จิ้งจอกน้อยเล่นหัวอยู่แบบนี้ล่ะก็คงต้องย้อนความไปตั้งแต่คราแรกที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาในแนวป่า แต่มันก็ไม่ได้อยากประจานตัวเองเสียเท่าไหร่ เอาเป็นว่าเมื่อเทียบกันในเชิงของความเก่งกาจแล้วมันย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ้งจอกน้อยเลย
อา... ฟันนั่นมันอะไรกัน!
ทำไมมันถึงได้คมจนกัดเกาะปราณแตกได้แบบนั้น
ทางที่ผ่านมาจิ้งจอกน้อยกินกวางตัวเต็มวัยไปหนึ่งและหมูป่าตัวเขื่องอีกสอง แต่ดูมันจะไม่ค่อยสะกิดน้ำย่อยในกระเพาะของมันเลย นั่นจึงเป็นหน้าที่ของซื่อเก่อเหยียนที่รู้จักเส้นทางดีในการนำทางไปยังแนวชายป่าลัดเลาะหาเส้นทางที่สัตว์แต่ละตัวอยู่ พอใกล้สัตว์ชนิดใดที่จิ้งจอกน้อยได้กลิ่นแล้วชอบมันจะทักขึ้น ไม่เช่นนั้นมันก็ต้องวิ่งหาต่อไปแบบนี้
“ความจริงแล้วข้าชื่อซื่อเก่อเหยียน มิใช่ซื่อเหยียน”
“ไปๆ ซื่อเหยียน ทางขวา” แต่มีหรือจิ้งจอกน้อยที่เลียนแบบนิสัยเอาแต่ใจของเจ้านายมาจะยอมฟังที่พูด
ซื่อเก่อเหยียนเปลี่ยนทิศทางเมื่อได้ยิน น่าแปลกใจที่มันพริ้วตัวได้อย่างรวดเร็วไม่เข้ากับขนาดตัวได้แบบนั้น หากไม่นานก็ต้องรีบหยุดตนเองลงเมื่อเผชิญกับสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า
“เจ้าคิดจะกินมันหรือหลิงหลิง” ซื่อเก่อเหยียนถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ
จิ้งจอกน้อยกระปริบตาปริบๆมองออกไป ด้วยตัวมันเองเพียงได้กลิ่นแล้วคิดว่ามันท่าทางน่าอร่อยดีจึงชี้ทางมาเท่านั้น แต่ถึงแม้มันจะอยากกินแต่จะทำอะไรกับตัวแบบนี้ได้หนอ
จิ้งจอกน้อยที่ว่ายังเล็กก็ยังรู้เลยว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าไม่อาจจัดการได้โดยง่าย
สัตว์อสูรงูเขียวเกล็ดมรกต
ความสวยงามของมันมีไม่แพ้งูเกล็ดนิลที่จางหมิงได้มา แต่ขนาดตัวนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเพียงแค่งูเขียวตัวนี้ชูคอมันกลับสูงถึงสองเมตรไปแล้ว ความน่ากลัวนั้นยังไม่รวมกับพิษร้ายแรงของมันอีก และความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของงูเกล็ดนิลกับงูเขียวเกล็ดมรกตคือ มันกินเนื้อ!
ซื่อเก่อเหยียนกำลังคิดว่าหากจิ้งจอกน้อยบอกว่าจะกินเจ้าตัวนี้จริงๆมันจะทำเช่นไรดี และไม่แน่ว่าพวกมันอาจกลายเป็นอาหารของงูเขียวตัวนี้เสียเองก็ได้
“วิ่งเร็วซื่อเหยียน!” จู่ๆหลังจากที่เงียบไปนานจิ้งจอกน้อยก็ตะโกนออกมา
“แล้ว... แล้วเจ้าไม่ได้คิดจะกินมันหรอกหรือ”
“คิด! แต่ข้ายังไม่เก่งกาจเพียงนั้น”
จบคำซื่อเก่อเหยียนก็วิ่งไม่คิดชีวิตทันที เพราะหากจิ้งจอกน้อยที่มีฟันอันแสนจะคมและพลังปราณเท่ากับมันยังไม่อาจต่อกร แล้วมันจะทำลายเกล็ดที่แข็งยิ่งกว่าเหล็กนั้นได้อย่างไร
“ซื่อเหยียน ซ้ายๆ” จิ้งจอกน้อยร้องบอกอีกครั้ง
ซื่อเก่อเหยียนไปตามทางที่บอกอย่างไม่ปริปากบ่น อย่างน้อยจากสัญชาตญาณของสัตว์กับการเดาทางสุ่มของมันสิ่งไหนดีกว่ากันมันย่อมตัดสินใจได้ ตอนนี้มันทำได้เพียงแค่วิ่งและภาวนาให้งูเขียวเกล็ดมรกตด้านหลังไม่ฉกมันตายไปเสียก่อน
ร่างใหญ่โตเทอะทะหากอย่างน้อยมันก็กลายพันธ์จากสัตว์ป่าที่เป็นงูเขียวธรรมดาจนกลายเป็นสัตว์อสูร ความสามารถทั้งหมดของมันย่อมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรวดเร็วอย่างที่สุดนั่น
ยิ่งวิ่งก็ยิ่งห่างไกลจากตัวสำนักเข้าไปทุกที เจ้าอ้วนเริ่มหอบเหนื่อยแล้วแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะพ้นจากงูตัวนี้เลย และมันก็กลั้นใจพุ่งทะยานไปในทิศทางที่จิ้งจอกน้อยบอกมาอีกครั้ง
“ซ้ายๆๆ”
พรุบ!
พวกมันทั้งสองพุ่งทะลุพุ่มไม้ออกไป สิ่งแรกที่ซื่อเก่อเหยียนเห็นในสายตาเกือบทำให้มันร้องไห้โฮด้วยความดีใจ จิ้งจอกน้อยที่อยู่บนหัวก็ตบเท้าแปะๆบนนั้นราวกับจะปลอบใจเช่นกัน
“ไม่เจอกันนานเลยศิษย์น้องซื่อ” คำกล่าวนี้มาพร้อมกับใบหน้าอันยิ้มแย้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว
+++