ตอนที่ 42 คิดจะข่มขู่จางหมิง นี่คิดดีแล้วหรือ
42
โครม!
ประตูห้องของจากหมิงถูกเปิดเข้าไปอย่างแรง จางหมิงที่กำลังพูดคุยกับจิ้งจอกน้อยบนเตียงหลังจากกินลูกแก้ววิญญาณไปแล้วหันไปมอง สิ่งแรกในสายตาที่มันจับจ้องคือบานประตูที่เหมือนจะพังเพราะแรงกระแทก
บังอาจทำลายข้าวของของมัน!
จางหมิงจ้องเขม็งไปยังเหล่าคนที่ขวางหน้าประตูไว้ พวกมันเป็นเด็กหนุ่มสามคนและเด็กสาวอีกหนึ่ง หน้าตาท่าทางก็ไม่ได้บ่งบอกว่ามาดีแม้แต่น้อย
“เจ้าเด็กใหม่! เจ้าไม่รู้หรือไรว่าเมื่อเข้ามาแล้วต้องไปพบปะศิษย์พี่ของเจ้าทุกคนก่อนน่ะ” เด็กชายผู้ที่ดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่มพูดขึ้น ใบหน้าอวบอ้วนกับรอยกระไม่ได้ทำให้มันดูน่าเกรงขามเลย
จางหมิงยังคงไม่ได้ตอบกลับอะไรออกไป มือหนึ่งก็ยังคงลูบศีรษะของจิ้งจอกน้อย ส่วนอีกมือกำลังถือตำรายุทธ์เปิดอ่าน แม้มันจะไม่พอใจกับประตูที่เสียหายแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่มันหรือจิ้งจอกน้อยเป็นคนทำ กล่าวว่ากฎข้อหนึ่งของสำนักว่าด้วยผู้ใดที่ทำผิดต้องชดใช้ในความผิดของตนอย่างเหมาะสม ไม่แคล้วค่าบานประตูใหม่ของมันก็ต้องเก็บเอากับคนเหล่านี้
“ศิษย์พี่ ดูมันจะไม่ได้สนใจพวกเราเลย” สมุนหมายเลขหนึ่งพูดขึ้น
“ใช่ๆ ข้าว่ามันไม่เคารพศิษย์พี่แบบนี้คงเพราะมันคิดว่าอยู่ในความดูแลของศิษย์พี่จูแล้วจะปลอดภัยแน่ๆ” สมุนหมายเลขสองพูดสมทบ
“สั่งสอนมันเลยเจ้าค่ะศิษย์พี่” และสมุนหมายเลขสามก็ยังคงพยายามทำให้เกิดความแตกแยก
จางหมิงส่ายศีรษะกับความเป็นเด็กของคนเหล่านี้ ดูไปแล้วอายุน่าจะพอๆกับจางซิ่งหรือมากกว่าไม่มากนัก หากความสามารถทางความคิดกลับต่ำเตี้ยจนรู้สึกน่าสังเวช
“เหอะ! ย่อมแน่นอนว่าต้องสั่งสอนมันอยู่แล้ว” และแถมท้ายด้วยผู้นำที่หูเบาอีกคน
ความจริงแล้วสำหรับศิษย์สายนอกความสำคัญของคำว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้มีความหมายอะไรไปมากกว่าชื่อเรียก เพราะเมื่อความสามารถต่ำก็ไม่สมควรถูกเชิดชูใดๆทั้งสิ้น
มนุษย์เราก็แบบนี้... บูชาความสามารถมากกว่าคุณค่าชีวิต
เด็กชายตัวอ้วนในวัยสิบหกที่มากกว่าเหล่าสมุนเพียงหนึ่งปีนั้นไม่ได้น่าหวาดกลัวเลย จางหมิงรู้สึกขบขันเสียด้วยซ้ำกับเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ว่าที่ไหนๆก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเสมอ เมื่อคราที่มันเข้าร่วมกับเหล่าโจรก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนมันทำเช่นไรนะ...
จางหมิงเหยียดยิ้มไม่พูดจาก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าฉับพลันเป็นหวาดกลัวอย่างสมจริง หลิงหลิงมองดูเจ้านายมันอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเลียนแบบบ้าง แต่ก็เพียงทำหูตกลู่ลงเท่านั้นสีหน้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
“อา... ศิษย์พี่ ข้าสำนึกผิดแล้ว แต่ข้าไม่ค่อยมีเวลาจริงๆ เพราะภารกิจจากหอโอสถนั้นช่างมากมายเหลือเกิน” มันแสร้งทำได้อย่างแนบเนียนแม้ว่าไม่ได้ลุกขึ้นมาจากที่เดิมก็ตาม
นี่ก็เป็นการละเล่นแก้เบื่อได้บ้าง
จางหมิงเห็นฝ่ายตรงข้ามที่ทำสีหน้างุนงงกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น มันจึงได้พูดเสริมขึ้นมาอีกเพื่อให้ดูแนบเนียนยิ่งขึ้น
“ศิษย์พี่ให้อภัยข้าด้วยเถอะ ต่อไปข้าไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว”
“อะ อะไรกัน เห็นว่าศิษย์พี่คนนี้ใจร้ายจนน่าหวาดกลัวไปไย ข้าไม่รังแกศิษย์น้องที่รู้ความเช่นเจ้าหรอก” มือป้อมๆของมันยกขึ้นกอดอกขณะพูด พร้อมกับสมุนทั้งสามที่ยิ้มเหยียดให้จางหมิง
เหมือนว่าจิ้งจอกน้อยจะเมื่อยแล้วจึงได้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมตามเคย คางพาดลงบนหน้าตักจางหมิงตามเดิมก่อนจะหาวแล้วหลับตาพริ้ม
มันคิดว่าการละเล่นเมื่อครู่ไม่ได้สนุกเอาเสียเลย
“จิ้งจอกของเจ้าดูน่าสนใจนะ ข้าขอยืมไปเล่นบ้างสิ” เด็กสาวเพียงคนเดียวในที่นี้พูดขึ้นมา สายตาพราวระยับเพราะความงามของขนสีทองนั่นช่างต้องตาเธอเหลือเกิน
กรร!
จิ้งจอกน้อยคำรามใส่หมายจะงับมือเล็กที่ยื่นเข้ามาหาแต่เคราะห์ดีที่จางหมิงกดหัวมันลงทัน มิเช่นนั้นมือข้างนั้นคงขาดออกจากตัว และสิ่งที่ตามมาคงเป็นปัญหาไม่รู้จบ
“เจ้าจิ้งจอกตัวนี้ช่างดุร้ายนัก!” เธอสะบัดหน้าหนีอย่างโกรธเคือง
“หากศิษย์น้องหญิงอยากได้วันหน้าศิษย์พี่จะหาจิ้งจอกเชื่องๆสักตัวมาให้เจ้าเล่นก็แล้วกัน แต่จิ้งจอกขาวน่าจะเหมาะกับความงามของเจ้ามากกว่าเป็นแน่” เจ้าอ้วนในสายตาของจางหมิงได้เข้าไปปลอบใจ ใบหน้างอง้ำแต่เดิมของเธอจึงเปลี่ยนเป็นแจ่มใสขึ้นโดยพลัน
จางหมิงคิดว่าทักษะการตลบตะแลงของมันที่คิดว่าดีแล้วนั้นก็ยังแพ้มารยาหญิงอยู่ดี
แต่ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่สิ่งเหล่านั้น หากแต่มันไม่เข้าใจว่าเด็กๆพวกนี้เข้ามาเล่นอะไรกันในห้องของมันกันแน่ อาการนึกสนุกในตอนแรกกลายเป็นเริ่มเบื่อหน่ายเสียแล้ว
“ศิษย์พี่ขอรับ ท่านยังคงไม่ลืมเป้าหมายแรกของเรากระมัง” ดีที่ว่าสมุนหมายเลขหนึ่งยังคงมีความรอบคอบอยู่บ้าง
“นั่นสินะ ข้าก็เกือบลืมไป” เจ้าอ้วนนั้นทำหน้าจริงจังมองไปที่จางหมิง แต่นั่นก็เกือบทำให้หน้ากากของคนขลาดเขลาที่จางหมิงสร้างขึ้นมาพังลง
สีหน้านั้นช่าง...
อย่าได้ให้มันบรรยายออกมาเป็นคำพูดเลย อีกทั้งการกลั้นหัวเราะบางทีก็ทรมานมากกว่าการโดนดาบแทงเสียอีก
“เจ้าชื่อจางหมิงสินะ ข้าได้ข่าวว่าเพียงแค่เข้าสำนักมาเพียงเดือนเดียวกลับได้เป็นผู้ปรุงยาระดับสามแล้ว และมองจากเข็มกลัดม่วงที่ติดตัวนั้นก็น่าจะจริงดังว่า เช่นนั้นข้าจึงมีสิ่งหนึ่งให้เจ้าทำ”
“หืม... อะไรหรือศิษย์พี่” จางหมิงเลิกคิ้วสูงอย่างคนสงสัยเสียเต็มประดา
“เจ้าเป็นศิษย์ใหม่คงยังไม่รู้ แต่ข้าจะบอกให้ก็ได้... อีกห้าเดือนจะมีการแข่งขันศิษย์สายนอก ทุกคนที่ได้รับคัดเลือกในหนึ่งร้อยอันดับแรกสามารถเข้าหอสมบัติสำนักได้ และสามารถเลือกของชิ้นใดชิ้นหนึ่งข้างในนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ ตำรา หรือยาต่างๆก็ย่อมไม่มีใครขัดขวาง อีกทั้ง...”
“มีสมุนไพรหายากด้วยหรือไม่!” จางหมิงถามออกมาเสียงดังจนเจ้าอ้วนนั้นชะงักไป แต่เมื่อยังคงเห็นสีหน้าขลาดกลัวไม่เปลี่ยนแปลงนั้นมันจึงได้ตอบคำถามออกมาง่ายๆ
“แน่นอนว่าย่อมมีอยู่แล้ว... ข้ายังพูดไม่จบ ภายในหอสมบัติที่มีข้าวของมากมายยังมีอาวุธวิญญาณที่หาได้ยากอีกด้วย”
“สิ่งใดคืออาวุธวิญญาณหรือศิษย์พี่ ต่างจากอาวุธทั่วไปเช่นไร”
“เจ้านี่ก็ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นี่เจ้าเข้าสำนักมาเพราะถูกบังคับหรืออย่างไรจึงไม่ได้ศึกษาเรื่องของสำนักมาบ้างเช่นนี้”
แต่ความจริงมันก็ถูกบังคับมาจริงๆนั่นล่ะ
“อาวุธวิญญาณคือศาสตราที่มีจิตวิญญาณของเหล่าสิ่งมีชีวิตโบราณสถิตอยู่ ว่ากันว่ามันมีจิตใจเป็นของตนเองและเลือกเจ้านายที่คู่ควรกับมันด้วยตนเองเช่นเดียวกัน แต่นอกจากท่านเจ้าสำนักก็ยังไม่มีใครอื่นอีกที่ได้ครอบครองอาวุธเลื่องชื่อเหล่านั้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรเอาไปคิดใส่ใจ เพราะศิษย์ใหม่เช่นพวกเจ้าคงไม่มีทางผ่านเข้ารอบไปได้” เจ้าอ้วนและสมุนต่างเหยียดยิ้มอย่างน่ารังเกียจตามเคย แต่จางหมิงมีหรือจะสนใจ เพราะตอนนี้สิ่งที่มันสนใจมากกว่าคือวิญญาณในอาวุธเหล่านั้น
ว่าแต่หลิงหลิงของมันจะกัดของจำพวกโลหะได้หรือเปล่าหนอ...
ถ้าวิญญาณเหล่านั้นกินได้ก็คงจะดี
“เอาเป็นว่าข้าต้องการให้เจ้าสร้างเม็ดยาเพิ่มปราณให้พวกข้า” ในที่สุดเหล่าคนที่บุกห้องมันก็เผยสิ่งที่ต้องการออกมาจนได้
“ทางสำนักก็แจกให้พวกศิษย์พี่มิใช่หรือ”
“มันจะไปพออันใด! อีกทั้งพวกนักปรุงยาก็ขโมยยามาขายออกบ่อย นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลย และข้าต้องการให้เจ้าทำมันเช่นกัน!”
เห... การขโมยอะไรแบบนั้นมันก็ลืมนึกถึงไปเลย
การจดจ่อกับแปลงสมุนไพรทั้งเดือนทำเอาสันดานโจรทื่อไปหมดแล้วหรือยังไงกัน
“อา... ข้าจะพยายามศิษย์พี่ แต่ข้ายังสามารถนำเม็ดยาอีกหลายประเภทมาให้ท่านได้ด้วยนะหากท่านต้องการ”
“จริงหรือ ได้เช่นนั้นก็ดี” เจ้าอ้วนพยักหน้ารับอย่างสมใจก่อนจะพาเหล่าสมุนทั้งสามออกไปจากห้อง แต่จางหมิงได้ตะโกนเรียกเอาไว้ก่อน
“ศิษย์พี่! ข้ายังไม่รู้จักชื่อท่านเลย!”
“ข้านั้นใครๆต่างก็เรียกว่าศิษย์พี่ซื่อ ด้วยนามเต็มที่แสนไพเราะว่าซื่อเก่อเหยียน” มันทำหน้าราวกับภูมิใจหนักหนาแล้วหัวเราะอย่างดีอกดีใจก่อนจากไป
ส่วนจางหมิงนั้นกำลังจำชื่อคนที่ทำประตูห้องมันพังคนนี้ไว้เพื่อไปแจ้งแก่คนดูแลตำหนักที่เดี๋ยวนี้ค่อนข้างที่จะสนิทกันดี
จิ้งจอกน้อยแหงนมองเจ้านายของมันที่ค่อนข้างจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษอย่างไม่มีเหตุผลหลังจากคนเหล่านั้นจากไป มันจึงได้เอ่ยถามออกมา
“นายท่านหมิง ข้าสงสัย” เหมือนมันจะติดคำว่านายท่านหมิงแทนคำว่านายท่านจางหมิงไปเสียแล้ว
“สงสัยสิ่งใด”
“ข้าไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะทำให้อารมณ์ดีได้เลย น่าเบื่อ แถมยังพูดมาก แต่เหตุใดท่านจึงยังคงยิ้มอยู่”
จางหมิงก็ยังคงยิ้มให้มันน้อยๆเช่นเคย สายตาเหม่อมองไปยังประตูที่เอียงกระเท่เร่เสียด้านหนึ่งนั้นก่อนจะหันกลับมามองจิ้งจอกน้อยที่ยังคงจ้องมองมันอยู่
“หอสมบัติสำนักนั้นมีสมุนไพรหายากและมันอาจมีสมุนไพรที่ข้าต้องการ อีกทั้งข้าไม่ควรดีใจหรือที่จะมีหนูลองยา แถมมาเสนอตัวด้วยตนเองเสียด้วยสิ”
จิ้งจอกน้อยเอียงคอมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามต่อ เพราะจะอย่างไรนั่นก็ไม่ได้เกี่ยวกับมัน มันจึงละความสนใจไปในทันที
เจ้านายและสัตว์เลี้ยงชักจะเหมือนกันเข้าไปทุกทีแล้วจริงๆ
+++