ตอนที่แล้วตอนที่ 39 ปรุงยา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 41 ลูกแก้ววิญญาณ

ตอนที่ 40 โรควิญญาณไม่สมบูรณ์


40

 

จูอี้เหลียงประหลาดใจกับคำตอบนั้น มันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีคนปฏิเสธข้อเสนอของมันที่ใครก็อยากได้แบบนี้ หากมันก็ไม่ได้บังคับอันใด เพียงแต่เสียดายความสามารถของเด็กน้อยคนนี้เท่านั้นเอง

 

“เด็กหนุ่มก็เป็นกันเช่นนี้ ต้องการเก่งกาจในด้านพลังจนมองข้ามความสามารถของตนเอง แต่ก็เอาเถอะ หากเจ้าไม่ได้คิดจะเอาดีในด้านการปรุงยาเจ้าก็ควรไปอยู่ในตำหนักอื่นเสีย แต่นี่ก็คงไม่ทันแล้ว เช่นนั้นมีอะไรก็มาถามข้าได้ ปีหน้าเจ้าค่อยเปลี่ยนตำหนักก็แล้วกัน” จูอี้เหลียงกลับไปปรุงยาของตนเองต่ออย่างรีบเร่ง แต่ก็ไม่ลืมส่งเข็มกลัดม่วงให้จางหมิง

 

กล่าวถึงเข็มกลัดม่วง มันคือตัวบ่งบอกระดับขั้นของการปรุงยา ตัวเข็มกลัดมีฐานเป็นวงกลมโดยด้านบนประดับด้วยอัญมณีสีม่วงบางชนิดที่แม้แต่จางหมิงก็ไม่รู้จัก

 

จางหมิงติดเข็มกลัดไว้บนอกเสื้อของสำนัก แต่ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องจูอี้เหลียงก็ได้เรียกมันไว้อีกครั้ง

 

“เจ้าหนุ่ม... ข้าให้ระดับของเจ้าสูงกว่านั้นไม่ได้ เพราะหากว่าไม่อาจใช้เปลวเพลิงปราณได้นักปรุงยาย่อมไม่ใช่นักปรุงยาที่แท้จริง”

 

จางหมิงไม่รู้ความหมายของคำกล่าวนั้นเท่าไหร่แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับ อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ยังพอมีความเมตตาต่อมันอยู่บ้าง ก่อนที่มันจะโค้งคับนับแล้วจากมา

 

พื้นที่กว้างใหญ่ของหอโอสถนั้นมากกว่าครึ่งไม่ได้ใช้งาน ก่อนหน้านั้นจางหมิงได้รับหน้าที่ให้ดูแลแปลงสมุนไพรจำนวนหนึ่งจึงไม่มีเวลาพอที่จะสำรวจพื้นที่ทั้งหมด แต่เมื่อมันได้เข็มกลัดมาแล้วงานจิปาถะทั่วไปก็ไม่ใช่ของมันอีกต่อไป หากมีเวลามันก็อยากที่จะสำรวจทั้งหมดอยู่เหมือนกัน

 

หลังจางนั้นจางหมิงได้รับห้องปรุงยาส่วนตัวมาหนึ่งห้อง มันคือห้องแคบๆแต่ก็กว้างกว่าห้องนอนมันถึงสองเท่า นั่นนับว่าไม่ได้น่าอึดอัดเท่าไหร่ และหลังจากนั้นสิ่งที่ตามมาคือภารกิจของสำนัก

 

ยาเม็ดเพิ่มปราณห้าสิบเม็ด และยาเม็ดรักษาอีกสามร้อย

 

สิ่งที่มันต้องทำก็ไม่ได้ยากเสียทีเดียว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นปัญหามันก็ยังมี

 

ระดับความเร็วในการปรุงยาของมันแม้จะมากจนน่าตกใจหากก็เพียงสำหรับเม็ดยาอย่างง่ายเช่นเม็ดยารักษาทั่วๆไปเท่านั้น แต่สิ่งที่มันกังวลเล็กน้อยคือการปรุงเม็ดยาเพิ่มปราณนั่น

 

ก๊อกๆ

 

เสียงเคาะประตูทำให้จางหมิงหลุดออกจากภวังค์ คนที่มานั้นคือหญิงสาวที่เพิ่งหลบหนีไปจากมันเมื่อเช้าและดูท่าว่าจะลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปแล้ว

 

“ศิษย์น้องจาง ข้ายินดีกับการทดสอบของเจ้าด้วย” จูลี่ถิงยิ้มแย้มยินดีออกมาจากใจ

 

“ขอบคุณขอรับศิษย์พี่จู ว่าแต่ตระกูลจูนี่มัน...”

 

“ฮิฮิ ปรมาจารย์ยาจูอี้เหลียงนั้นเป็นปู่ของข้าเอง เจ้าไม่ต้องแปลกใจอันใด”

 

“เช่นนั้นหรอกหรือ ว่าแต่เรื่องที่ข้าเคยถาม...” หากยังพูดได้ไม่จบประโยคจูลี่ถิงก็ร้องขึ้นมาก่อน

 

“นั่น! นั่น! นั่นมัน!” เธอชี้ไปที่เข็มกลัดของจางหมิงพร้อมกับดวงตาเบิกกว้าง น่าดีใจที่ใบหน้าที่งดงามนั้นไม่ได้ทำให้เธอดูน่าเกลียดแต่อย่างใด

 

“มีอะไรหรือศิษย์พี่จู” จางหมิงก้มดูเข็มกลัดแต่ก็ยังไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายตกใจจนเสียกริยาแบบนี้ได้

 

“เข็มกลัดม่วงระดับสาม! มันคือระดับที่สาม! ศิษย์น้องเจ้าช่างเก่งกาจนัก ข้าที่ศึกษามานานยังอยู่เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น” เธอพูดออกมาพร้อมกับจ้องมองเข็มกลัดนั้นอย่างไม่วางตา

 

“ระดับของเข็มกลัดม่วงนี่แตกต่างกันอย่างไรหรือศิษย์พี่” จางหมิงไม่เห็นความแตกต่างของมัน เพราะสิ่งที่มันเห็นจากเข็มกลัดนี้ก็เพียงแค่อัญมณีสีม่วงธรรมดา

 

“เจ้าสามารถตรวจสอบมันได้จากความเข้มของสี เริ่มจากสีม่วงที่อ่อนที่สุดจนเกือบขาวเช่นของข้าไปจนถึงระดับที่ห้าที่อัญมณีแทบจะกลายเป็นสีดำ หากนั่นไม่ใช่เพียงทั้งหมดของขั้นนักปรุงยา นักปรุงยานั้นมีทั้งหมดเก้าระดับ หากระดับที่หกเป็นต้นไปเจ้าต้องไปทดสอบที่เมืองหลวงมังกรทะยานเพื่อรับตรารับรองจากทางตำหนักเจ้าเมือง และนั่นจะทำให้เจ้ากลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของอาณาจักรด้วย” จูลี่ถิงกล่าวอย่างจริงจัง นัยน์ตาเป็นประกายนั้นบ่งบอกได้ชัดว่านั่นคือหนึ่งในความปรารถนาของเธอ

 

“อา... ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่ ขอบคุณที่ชี้แนะ”

 

“ไม่เป็นไรเลยศิษย์น้อง ข้าเต็มใจยิ่ง ปู่ของข้านั้นก็อยู่ที่ระดับเจ็ดเช่นกัน เจ้าลองสังเกตดูเถอะ อัญมณีของท่านช่างแตกต่างจากเรานัก”

 

ทำไมจางหมิงจะไม่รู้ว่าอัญมณีนั้นแตกต่าง เพราะสิ่งแรกที่กระทบสายตาเมื่อขอทดสอบก็คืออัญมณีสีม่วงสว่างราวกับเพชรนั่น หากมันทำได้ถึงขั้นนั้นก็จะได้มาเช่นนั้นน่ะหรือ

 

ก็น่าลองดูไม่น้อย...

 

“ว่าแต่ศิษย์พี่จู เรื่องเมื่อเช้า...”

 

“อ๊า! ข้ายังปรุงยาให้สำนักไม่เสร็จเลย ศิษย์น้องข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว หากเจ้าได้ภารกิจปรุงยาก็ไปรับสมุนไพรได้ที่โถงยากลาง แล้วเจอกันใหม่นะ” แล้วเธอก็ทะยานออกไปด้วยวิชาตัวเบาขั้นสามัญที่ขับเคลื่อนโดยพลังปราณระดับสูง

 

คนในสำนักนี้ช่างลึกลับกันเสียจริงๆ

 

ด้วยวัยเพียงสิบเก้าปี เธอถึงกลับแทบฝึกปราณได้เกือบถึงขั้นมนุษย์ บรรยากาศที่ปล่อยออกมาคล้ายบิดาของมันเสียเหลือเกิน ช่วงอายุที่น้อยกว่าพี่ชายคนโตของมันถึงสามปีหากกลับทำได้มากกว่า นี่ย่อมนับเป็นหนึ่งในอัจฉริยะคนสำคัญของสำนักโดยแท้ ที่มันเคยกล่าวว่าหญิงสาวคนนี้อ่อนแอนั้นผิดไปเสียแล้ว จะเรียกว่าเป็นการห่มหนังแกะก็ว่าได้

 

แต่เธอเป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอกเท่านั้น!

 

นั่นเป็นไปได้อย่างไร... ในเมื่อพี่รองของมันที่เพิ่งกำลังจะเข้าสู่ระดับสูงกลับได้เป็นศิษย์สายในแล้วด้วยซ้ำ

 

ทำไมกันนะ

 

จางหมิงได้แต่ถามตัวเองซึ่งก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาเลย บางครั้งมันก็คิดว่าอายุวิญญาณมันที่มากกว่าเด็กเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้มันมีวัยวุฒิมากกว่าเอาเสียเลย เรื่องราวหลายอย่างสำหรับมันแล้วคือมือใหม่ เป็นไปได้ว่าหากเทียบกับเด็กในรุ่นเดียวกันบางคนมันก็เป็นได้เพียงแค่เด็กอมมือ

 

นั่นช่างน่าขัดใจเสียจริงๆ

 

 

 

 

 

 

เวลาร่วมเดือนที่มันได้มาอยู่ในสำนักพร้อมกับแกนปราณอันใหม่ ระดับของมันนั้นพุ่งไปถึงสามระดับอย่างน่าตกใจ เรื่องนี้มีเพียงสองคนที่ดูจะเก่งกาจเกินพอดีที่มาป้วนเปี้ยนใกล้ตัวเท่านั้นที่มองออก ส่วนคนอื่นๆไม่มีแก่ใจมาดูระดับพลังของเด็กใหม่เท่าใดนักมันจึงได้รอดตัวไปกับคำถามที่ว่าทำไมมันจึงได้เพิ่มพลังรวดเร็วปานนั้น

 

จางหมิงได้ลองกินเม็ดยาเพิ่มปราณที่เก็บไว้ ผลปรากฏว่าแทบไม่มีผลกับตัวมันเอง ถึงแม้เม็ดยาจะเก็บไว้ได้นานก็จริงแต่ก็มีวันเสื่อมคุณภาพ ดังนั้นมันจึงนำเม็ดยาทั้งหมดป้อนแก่หลิงหลิงที่นับวันยิ่งกินมากกว่าเดิม ยังดีที่ว่าตอนนี้จิ้งจอกน้อยเลิกที่จะกัดแทะของในห้องไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่ไปทำลายสิ่งอื่น เพราะหากต้นไม้ในป่านั้นพูดได้ก็คงมีเสียงโอดครวญอย่างน่าเวทนาเต็มไปหมดเป็นแน่

 

หลิงหลิงนั้นอยู่ในขั้นกลางระดับสองแล้วตอนนี้ ตัวของมันโตขึ้นมากตามระดับพลังของมันเอง จางหมิงคิดว่าจิ้งจอกน้อยอาจกลายเป็นจิ้งจอกยักษ์ได้เมื่อพลังมันเกินกว่าขั้นมนุษย์ เพราะตอนนี้มันโตพอๆกับสุนัขตัวย่อมๆเสียแล้ว

 

ส่วนจางหมิงยังติดอยู่ในขั้นต่ำระดับเจ็ดโดยที่ไม่สามารถก้าวไปในขั้นต่อไปได้

 

“นี่หลิงหลิง เจ้าข้ามระดับชั้นจากต่ำไปกลางได้อย่างไร จำได้หรือไม่” จู่ๆจางหมิงก็ถามขึ้นเมื่อกำลังลูบหัวจิ้งจอกที่ตัวเริ่มไม่น้อยที่พาดหัวกับหน้าตักมันบนเตียง

 

“ก็ขึ้นไปเรื่อยๆตามปกติขอรับ”

 

จะว่าไปแล้วจิ้งจอกน้อยพูดได้ชัดคำจนแทบไม่ติดขัดแล้วเหมือนกัน

 

“อ่า นั่นสินะ ในตำราก็บอกเช่นนั้น เพราะระดับพลังที่ยังไม่ถึงขั้นมนุษย์จะไม่มีขีดแบ่งที่ห่างชั้นมากนัก”

 

แล้วตัวมันเป็นอะไรไปอีกล่ะ!

 

แม้ไม่อยากทำแต่มันก็พอจะรู้ว่าใครที่จะตอบคำถามของมันได้ มันเกลียดสายตาที่บูชาราวกับมันไม่ใช่คนนั่น มันยอมอยู่กับแววตาเคารพอย่างเสแสร้งกลับกลอกของเหล่าสมุนโจรมากกว่า

 

แต่ถ้าหากมันอยากเก่งขึ้นก็จำเป็นต้องถามออกไป

 

“นี่หลิงหลิง หากคนที่เจ้าไม่ชอบหน้ามาอยู่ตรงหน้า แต่เจ้าต้องขอความช่วยเหลือจากมันเจ้าจะทำเช่นไร”

 

“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ”

 

“อืม... ข้าก็ไม่น่าถามเลย”

 

 

 

 

 

 

จางหมิงหยุดอยู่หน้าห้องของถางเจียฉี มันสูดหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมสติก่อนจะเรียกขานบุคคลภายในแต่ประตูจู่ๆก็เปิดออกมาราวกับรู้ว่ามันอยู่ตรงนี้ หากก็ไม่ได้แปลกใจในเมื่อระดับพลังของอีกฝ่ายสูงจนวัดไม่ได้ปานนั้น หากไม่สามารถสังเกตถึงมันได้นั่นสิน่าแปลกกว่า

 

“มีอันใดหรือศิษย์น้องจาง เข้ามาก่อนสิ”

 

“คารวะศิษย์พี่ถาง ข้าไม่ได้เจอท่านเสียหลายวันเลย” จางหมิงคำนับก่อนจะมองสำรวจห้องของอีกฝ่าย

 

ห้องที่กว้างกว่าของมันไม่มากหากดูเรียบร้อยเป็นระเบียบราวกับไม่ได้ใช้งานมาก่อน แต่มันก็ไม่ได้นึกสงสัยอันใดเพราะคนผู้นี้น่าสงสัยเกินไปอยู่แล้ว

 

“นั่นสินะ ไม่ได้เจอกันนานจนข้าแอบคิดว่าเจ้าหลบหน้าข้าเสียอีกศิษย์น้อง” ถางเจียฉีกล่าวออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย

 

“ท่านคิดมากเกินไปแล้วศิษย์พี่”

 

“อา... นั่นสินะ ข้อคงจะคิดมากไปจริงๆ”

 

ถึงแม้จะคิดถูกก็เถอะ...

 

“ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าศิษย์น้อง”

 

จางหมิงขัดใจกับแววตาที่เหมือนรู้อยู่แล้วนั่นเหลือเกิน จนมันอดคิดไม่ได้ว่าคนผู้นี้อาจจะรู้จักตัวมันมากกว่ามันเองที่เป็นเจ้าของร่างเสียอีก

 

“พอดีว่าข้าติดปัญหาในการเพิ่มระดับพลังอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าศิษย์พี่พอจะช่วยข้าไขปัญหาในข้อนี้ได้หรือไม่”

 

“พลัง อา... พลัง เด็กๆมักโหยหาพลังเช่นนี้เสมอ พูดมาเถอะศิษย์น้อง หากข้าช่วยได้ข้าจะไม่ปิดบังเลย”

 

ชายหนุ่มที่อายุเพียงแค่ยี่สิบสองพูดจาราวกับตนเองเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดา จางหมิงนั้นแอบค่อนแคะอีกฝ่ายในใจ แต่ที่ผิดไปนั่นคือตัวมันเองก็มักชอบทำแบบนั้นเช่นกัน

 

“ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดพลังของข้าจึงก้าวผ่านไปในระดับกลางไม่ได้เสียที ศิษย์พี่มีทางแก้หรือไม่”

 

“เรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหา ยืนคุยกันก็กระไรอยู่ เชิญเจ้านั่งก่อนศิษย์น้อง”

 

จางหมิงนั่งลงตามคำเชิญ น้ำชาถูกรินให้ตรงหน้าแต่มันไม่ได้คิดแตะต้อง ตอนนี้เพียงไม่ให้ตัวเองลุกหนีออกไปไกลก็เต็มกลืนแล้ว

 

“เจ้ารู้จักโรควิญญาณไม่สมบูรณ์หรือไม่”

 

จางหมิงขมวดคิ้วแต่ก็ตอบไปตามความจริงว่าไม่ อีกฝ่ายยกน้ำชาขึ้นจิบครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อไป

 

“ก่อนอื่นเริ่มเรื่องจากพื้นฐานพลังปราณของคนเราก่อน ที่พวกเราได้ศึกษากันมานั้นลมปราณเกิดได้สองรูปแบบ หนึ่งนั้นคือเกิดจากลมหายใจแห่งชีวิตทั้งเจ็ดขั้น และต่อไปเป็นลมหายใจแห่งจิตวิญญาณ ทุกสิ่งเริ่มจากจิตวิญญาณไปเป็นชีวิตและปลดปล่อยออกมาเป็นปราณ แต่เจ้ารู้ไหม... หากวิญญาณเสียหายจะทำให้รูปแบบการเพิ่มพลังนั้นพังทลายตามไปด้วยเช่นกัน และข้าจะขอถามอีกหนึ่งประโยค

 

เจ้าเคยได้รับความเสียหายทางวิญญาณมาก่อนหรือไม่”

 

จางหมิงนิ่งไป มันกำลังคิดทบทวนไปถึงเหตุการณ์ที่วงกตพลังปราณ ครั้งที่วิญญาณมันถูกกระชากออกไปบางส่วน ความเสียหายนั้นจนถึงตอนนี้มันก็ยังรับรู้ได้ มันเป็นความรู้สึกเหมือนจะแตกสลายหากมีสิ่งใดมากระทบ

 

ราวกับตัวมันเป็นดังแก้วบางๆ

 

ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกลึกๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่มันก็รับรู้ได้เช่นกัน

 

“เอาเถอะ ข้าจะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หากแต่เจ้าก็ยังอยากเพิ่มพลังปราณใช่หรือไม่” ถางเจียฉีถามอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป

 

“ถ้าทำได้ข้าก็อยากที่จะทำ”

 

“ดี ดี ความจริงเรื่องนั้นไม่ได้ยากเย็น เพียงเจ้าหาวิญญาณอื่นมาเติมเต็มในส่วนนั้นก็เท่านั้นเอง”

 

ประโยคที่พูดออกมาง่ายๆนั้นไม่ได้แปลว่ามันจะง่ายตามไปด้วยเลย

 

“ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร” จางหมิงปฏิเสธออกไปทันที

 

“อะไรกันศิษย์น้อง นี่เจ้าเป็นห่วงวิญญาณผู้อื่นจะเสียหายแทนหรือว่าเพียงแค่ไม่รู้วิธีทำมันกันล่ะ” ถางเจียฉียิ้มกว้างกว่าเดิม ยิ่งพูดคุยด้วยความวิกลจริตที่มีอยู่ในตัวก็เริ่มเผยออกมาที่ละน้อย และจางหมิงคิดว่ามันไม่ควรที่จะอยู่นานกว่านี้

 

“ท่านมีวิธีเช่นนั้นหรือ”

 

“ข้าไม่มี แต่จิ้งจอกน้อยของเจ้าอาจจะมี รู้สึกมันจะเป็นสายพันธุ์ผสมเสียด้วยสิ อีกครึ่งหนึ่งของสายเลือดของมันจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้”

 

“หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ย่อมดี และขอขอบคุณศิษย์พี่สำหรับคำตอบเหล่านี้ ข้าขอตัว” จางหมิงคำนับลวกๆทีหนึ่งก่อนจะรีบทะยานจากไป เสียงแว่วๆที่ตะโกนตามมานั้นทำเอามันหันไปมองจนได้

 

“เจ้าต้องกินให้หมดนะศิษย์น้อง กลืนกินทั้งหมดของวิญญาณ เพราะเพียงแค่เล็กน้อยนั้นไม่อาจเติมเต็ม” รอยยิ้มใจดีที่ตอนนี้กลายเป็นการแสยะยิ้มทำให้คนที่อยู่ไกลๆขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ตอบรับคำพูดเหล่านั้น

 

+++

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด