ตอนที่ 38 ความลับ
38
แต่จางหมิงลืมไปแล้วว่าเลือดมักจะเรียกสัตว์อสูรตัวอื่นมา
เสียงคำรามและฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้มันอุ้มจิ้งจอกน้อยที่กำลังแทะกระดูกจนหักเป็นท่อนๆขึ้นมาแล้วทะยานออกไปไกล
“กิน!” หลิงหลิงมองเจ้านายตาละห้อยแต่ก็ไม่ได้ดื้อดึงขัดขืนอะไร
“เอาไว้ค่อยมาล่าอีกก็แล้วกัน”
จิ้งจอกน้อยง่วงนอนอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นานจางหมิงจึงได้เก็บมันเข้าอัญมณีผนึก ตอนนี้มันมีระดับสูงกว่าจางหมิงเสียอีก เพียงแค่กินและนอนก็สามารถเข้าสู่ขั้นต่ำระดับที่ห้า เจ้านายอย่างมันพอใจมากหากก็แอบอิจฉาอยู่บ้าง
ห่างมาไกลพอสมควรจางหมิงจึงได้หยุดตัวลง บริเวณนี้คือเขตของตำหนักเก่าที่ดูจะทรุดโทรมเนื่องจากไม่ได้ใช้งานมานาน ในอดีตมันคือตำหนักที่ห้านอกเหนือจากที่พักสี่ตำหนักที่เหลือ ศิษย์ปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าทำไมมันถึงถูกปล่อยร้าง มันวิ่งมาไกลขนาดนี้อย่างไม่รู้ตัว เพราะหากเดินทางไปอีกสักหน่อยจะเข้าสู่เขตตำหนักตะวันตกแล้ว
“เจ้าต้องนำมันกลับมาก่อนการแข่งขันในอีกสามปีจะเกิดขึ้น”
เสียงพูดคุยเบาๆที่ได้ยินนั้นทำให้จางหมิงแอบฟังอย่างสนใจ อย่างน้อยๆสิ่งที่ต้องแอบมาคุยกันในที่ลับแบบนี้คงไม่ปกติธรรมดา
“สามปีหรือ... ข้าไม่อยู่รอนานขนาดนั้นหรอก” อีกเสียงที่จางหมิงคุ้นเคยตอบกลับไป
“เหอะ! ได้แบบนั้นก็ดี ท่านเจ้าวังก็รอมานานหลายปีแล้ว” น้ำเสียงชราแต่ทรงพลังกล่าวขึ้นอย่างดูถูก หากแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก
“หึหึ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านเจ้าวังของเจ้าจะนำมันไปทำอะไร แต่ข้อตกลงเดิมคงต้องเพิ่มขึ้นเสียหน่อยหากต้องการมันเร็วขึ้น”
น้ำเสียงขี้เล่นบางเบาฟังดูอบอุ่นขัดกับคำพูดนี้ยิ่งได้ฟังจางหมิงก็ยิ่งคิดว่ามันคุ้นเคย กายาซ่อนเร้นถูกกระตุ้นใช้เพื่อกลบลบพลังของตนไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ ทั้งร่างกายของมันก็ยังอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร
“ให้เจ้านำมันมาได้ก่อนเถอะถึงค่อยตกลงกัน” ชายชรายิ้มเยาะขณะกล่าว มันดูจะไม่ค่อยไว้ใจอีกฝ่ายเสียเท่าไหร่
“เร่งร้อนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาน่า สิบแปดวงกตดารายังถูกปิดผนึกอยู่เช่นนี้คงทำอะไรตอนนี้มากไม่ได้อยู่ดี แต่การแข่งขันที่ใกล้เข้ามาเจ้าสำนักย่อมต้องเปิดมันออกในเร็วๆนี้แน่นอน”
จางหมิงแอบเฝ้าดูทั้งสองในที่สุดมันก็เห็นชายหนุ่มที่น้ำเสียงคุ้นเคยนั่น แต่เพียงแค่มองเห็นแวบเดียวคนทั้งคู่ก็หันขวับมาทางมัน
ทะยานข้ามภพถูกเรียกใช้ แสงสีเหลืองวูบไหวอย่างรวดเร็วใต้เท้าแต่ก็ไม่ทันที่จะได้ออกตัวร่างของชายชราผมขาวก็มาปรากฏตรงหน้า ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยพุ่งเข้ามาหมายจะหักลำคอของจางหมิงที่ไม่ทันตั้งตัว และคอของมันคงจะหักลงไปแล้วจริงๆหากไม่มีถางเจียฉีเข้ามาขั้นกลาง
ใช่แล้ว! อีกคนที่อยู่ที่นี่คือถางเจียฉีผู้มีหน้าตายิ้มแย้มตลอดเวลาผู้นั้น
“เจ้าทำอะไร!” ชายชราขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกับสิ่งที่ได้รับ เมื่อเกราะปราณที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นนั้นสะท้อนพลังของมันออกมาจนมือโชกเลือด แม้ในใจมันจะไม่ยอมรับแต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กตรงหน้ามันก็เก่งกาจจนน่ากลัว
“อา... ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่สมควร” ถางเจียฉีตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว รอยยิ้มบางๆที่ฉาบบนใบหน้ายิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามหงุดหงิด
“เรื่องนี้จะปล่อยให้หลุดออกไปไม่ได้เด็ดขาด! ข้าจะปิดปากมันผู้นั้นเดียวนี้เจ้าจงถอยไป”
“เรื่องนี้เห็นจะไม่ได้” รอยยิ้มนั้นยังคงประดับบนใบหน้า หากแต่สายตามันเริ่มแข็งกร้าวกว่าเดิม
จางหมิงหยุดมองเหตุการณ์นี้อย่างไม่เข้าใจ มันไม่รู้ว่าทำไม่ถางเจียฉีต้องปกป้องมัน หากจะบอกว่าเพราะสายสัมพันธ์ศิษย์ร่วมสำนักหรือความที่มันคล้ายผู้เป็นน้องชายก็ดูจะไร้สาระเกินไป
“ตัวเจ้านั้นช่วยผู้อื่นเป็นด้วยเช่นนั้นหรือ ช่างน่าแปลกใจจริง” ชายชราถอยออกไปเล็กน้อยก่อนจะค่อนแคะกระทบอีกฝ่าย
“ฮะฮะ ท่านก็พูดเกินไป ข้าก็ไม่ได้ใจร้ายถึงเพียงนั้น”
“แต่ถึงอย่างไร่เรื่องนี้ก็จะหลุดรอดออกไปไม่ได้!” ชายชราพูดพลางจ้องเขม็งไปยังจางหมิงที่อยู่ด้านหลัง
“หากข้าบอกว่าเรื่องนี้จะไม่ถูกเผยแพร่โดยศิษย์น้องผู้นี้ท่านจะเชื่อหรือไม่” ถางเจียฉีกล่าวออกมาอย่างใจเย็น แม้มันคิดว่าหากปะทะจะสามารถเอาชัยเหนือฝ่ายตรงข้ามได้แต่อย่างน้อยมันก็ยังไม่อยากทำให้เพื่อนร่วมงานบาดเจ็บเท่าไหร่
“หากข้าบอกว่าไม่เชื่อเจ้าจะปล่อยมันมาให้ข้าหรืออย่างไร เหอะ! เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าเห็นสมควรไปเถอะ หากมีสิ่งใดผิดพลาดนั่นคือความผิดของเจ้า และสิ่งที่เจ้าต้องการก็จะสูญสลายไปด้วย จำเอาไว้!” ชายชราเหลือมองจางหมิงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทะยานร่างจากไป
จางหมิงยืดตัวเต็มความสูงพร้อมกับกอดอกมองอีกคนที่กำลังหันมาเผชิญหน้า ระดับพลังในขั้นสูงระดับห้าที่ทางสำนักได้รับรู้ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่พลังปราณที่เป็นเท็จ ยิ่งเกราะปราณสีเขียวหยกในระดับขั้นปรมาจารย์ยิ่งบ่งบอกฝีมือที่เหนือล้ำของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“ข้าสงสัย” จางหมิงมองตรงไปก่อนจะถามออกมาสั้นๆ
“สงสัยสิ่งใดกันหรือศิษย์น้อง” ถางเจียฉียิ้มให้ดังเช่นเคย
“สงสัยว่าเจ้าเอาความมั่นใจอะไรมายืนยันว่าข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่พวกเจ้าพูดคุยกัน”
“อา... ข้าก็สงสัยเช่นกันศิษย์น้อง ข้าเพียงสงสัยว่าทำไมเจ้าไม่ถามว่าข้าคือใครมากกว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระนั่น”
ทั้งสองจ้องสบกันอย่างมีใครยอมใคร ตัวจางหมิงนั้นเริ่มสังเกตอารมณ์ที่ปะปนบนใบหน้านั้นออกบ้างแล้วแต่ก็ไม่ใช่จะเดาออกได้ทั้งหมด หากมีสิ่งหนึ่งที่มันมั่นใจว่าตาไม่ได้ฝาด...
“เหมือนข้าจะมองเห็นการบูชาในแววตาของเจ้า”
ใช่แล้ว... สิ่งที่วาบผ่านดวงตาสีดำของถางเจียฉีไม่ใช่ความห่วงใยในรูปแบบพี่น้องหรือศิษย์ร่วมสำนัก แต่มันคือความเคารพบูชาที่ไม่ควรมีให้กับเด็กวัยสิบสามปี
ถางเจียฉีผู้นี้มองเห็นสิ่งใดในตัวมัน!
“ฮ่าๆๆ...”
เสียงหัวเราะกึกก้องดังขึ้นมาอย่างยาวนานผสานไปกับสายลมที่พัดโหมของแรกเริ่มเหมันต์ เสียงใบไม้เสียดสีไปมาราวกับคนปรบมือให้กับเสียงกังวานนั่น
ถางเจียฉีจ้องตอบอย่างสมใจเมื่อหยุดเสียงหัวเราะของตนเองลง ริมฝีปากแสยะยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมราวกับคนวิกลจริตก่อนที่จะตะเบ็งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วทะยานจากไป
“ท่านไม่รู้หรอก ฮ่าฮ่า ไม่รู้ๆ ฮ่าๆๆๆ...”
เกิดบ้าอะไรขึ้นล่ะนั่น!
จางหมิงได้แต่งงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น คำถามมันก็ยังไม่ได้คำตอบ คนที่ดูจะใจดีเกินไปที่เคยพบตอนนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ถางเจียฉีคาดเดาได้ถูกต้อง นั่นคือเรื่องนี้จะไม่แพร่งพรายออกจากมัน
บางครั้งการรอดูอะไรสนุกๆก็น่าตื่นเต้นดี
นี่คือวันแรกของการเข้าร่วมตำหนักพิเศษของศิษย์ใหม่แต่ละคน พวกมันต่างแยกย้ายไปตามตำหนักที่ตนเองได้เลือกไว้ จางหมิงก็เช่นเดียวกัน หากติดปัญหาที่มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งตามติดมันไปไม่ยอมห่างก็เท่านั้นเอง
“ศิษย์น้องจางเจ้าไม่ควรใช้วิชาในขั้นชำนาญติดต่อกับแบบนั้น ร่างกายเจ้ายังเด็กนักอาจจะรับไม่ไหว” จูลี่ถิงเตือนคนที่ทะยานมุ่งตรงไปยังหอโอสถเบื้องหน้า
“อา... ศิษย์พี่จูข้ามีเรื่องจะสอบถาม” จางหมิงเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้เธอเลิกวุ่นวายกับตัวมันเสียที
“มีอันใดหรือ”
“ท่านอยู่ที่ตำหนักใต้มาตลอดท่านรู้จักศิษย์พี่ถางดีแค่ไหน”
“ศิษย์พี่ถางหรือ... นั่นเจ้าหมายถึงศิษย์พี่ถางเจียฉีหรือเปล่า” เธอเลิกคิ้วถามเพื่อย้ำกับอีกฝ่าย
“ขอรับ”
“เอ่อ... ข้าจำได้ว่าอาจารย์ต้องการให้ข้านำสมุนไพรไปให้ เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน แล้วเจอกันที่หอโอสถนะ” พูดจบเธอก็ทะยานร่างห่างออกไปไกล
จางหมิงที่ตอนแรกดูจะแปลกใจก็ต้องยิ้มออกมาหลังจากนั้น สองวันมานี้มันถามเรื่องนี้กับผู้คนที่ตำหนักใต้มาก็มาก หากทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าคนที่มันถามนั้นเป็นคนดีแค่ไหน มันรู้สึกคลื่นไส้แปลกๆกับเหล่าคำชมนั้น แต่ครั้งนี้ดูมันจะเจอคนที่พอจะรู้อะไรๆมาบ้างถึงได้เผ่นหนีคำถามไปเสียอย่างนั้น แม้มันจะแปลกใจที่คนอย่างจูลี่ถิงที่ไม่น่าจะรู้ที่สุดกลับเป็นคนที่รู้เบื้องลึกคนผู้นั้นก็เถอะ
+++