ตอนที่ 36 ณ สุดเขตแดนด้านใต้
36
บ้านเมืองมีกฎหมาย สำนักย่อมมีกฎของสำนักเช่นเดียวกัน
ศิษย์สำนักมีกฎปฏิบัติที่เคร่งครัดหลายข้อ หลักๆที่ต้องจำจริงๆได้แก่การไม่อนุญาตให้ศิษย์ออกไปภายนอกเขตสำนักโดยไม่จำเป็น หากไม่ก็ต้องมีการแจ้งให้ทราบเสียก่อน อีกข้อที่เน้นย้ำคือการไม่ให้ศิษย์ในแต่ละตำหนักก้าวก่ายซึ่งกัน นั่นรวมไปถึงการไปมาหาสู่กันด้วย
สำนักพยัคฆ์อัคคีแบ่งออกเป็นสี่ตำหนักยุทธ์และเจ็ดตำหนักพิเศษที่เกี่ยวข้องกับวิชายุทธ์รวมถึงศาสตร์แขนงอื่นๆ และตำหนักกลางที่แยกออกมาอีกหนึ่ง
จางหมิงเล็งเห็นข้อดีเพียงสองข้อของการเข้าร่วมสำนักเท่านั้น อย่างแรกคือการแจกเม็ดยาเพิ่มปราณระดับสูงทุกเจ็ดวัน อย่างที่สองคือข้อมูลความรู้ที่มากกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการอยู่ข้างนอกเสียเท่าไหร่ อีกทั้งค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายคือภารกิจที่จะตามมาทีหลัง
ตำหนักใต้ อาคารซ่อนพยัคฆ์
จางหมิงกำลังค้นหาตำราความรู้ที่อยู่นอกเหนือจากที่ตระกูลจางได้ครอบครอง แต่ความกว้างใหญ่ของมันก็สามารถทำให้อ่านได้ทั้งปีก็ไม่หมด ดีที่ว่าทุกเล่มล้วนแบ่งหมวดหมู่ชัดเจน
“ใต้สุดของเขตแดนด้านใต้หรือนี่” จางหมิงพึมพำออกมา
สิ่งที่มันอ่านคือตำราว่าเรื่องด้วยเขตการปกครองของอาณาจักรต่างๆ มันค้นพบแล้วว่าอาณาจักรมังกรทะยานที่มันอยู่เป็นเพียงแค่หนึ่งในเมืองหลวงของทวีปอันกว้างใหญ่นี้เท่านั้น และเพื่อให้สิ่งที่มันสันนิษฐานสมบูรณ์มันจึงต้องค้นหาเมืองเดิมที่มันเคยอยู่เมื่ออดีตว่ามีอยู่จริงหรือไม่
และมันก็คิดถูก
ดินแดนป่าใหญ่ เมืองฟ้าขจี เมืองขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่แทบจะเทียบเท่าอาณาจักรมังกรทะยานหากแต่การเดินทางกันดารจนไม่อาจเข้าถึงโดยง่าย อีกทั้งไม่มีวัตถุหรือสิ่งมีค่าอื่นๆที่จูงใจให้เดินทางไป เมืองแห่งนี้จึงราวกับถูกตัดขาดจากทวีปใหญ่จนเกือบถูกลืมเลือน
ย่อมไม่แปลกที่หลายสิ่งที่พบเห็นล้วนเหมือนกัน เพราะในเมื่อมันคือโลกใบเดียวกันจริงๆ
จางหมิงปิดตำราเล่มหนาลงก่อนจะถอนหายใจ มันเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น ไม่ได้ต้องการกลับไปใช้ชีวิตที่นั่นอีก ความทรงจำดีๆก็มี หากความทรงจำที่ไม่ดีออกจะมีมากกว่า สิ่งเดียวที่ต้องการจากที่นั่นก็คงจะเป็นการไปพบอาจารย์อีกครั้ง
“ศิษย์น้องจาง เจ้าก็ยังขยันหาความรู้เช่นเคยเลยนะ” เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้มันหันไปมองก่อนจะคำนับให้ตามความอาวุโส
คนผู้นี้คือ ถางเจียฉี ศิษย์พี่ที่อยู่ห้องใกล้เคียงกับมัน แถมยังเป็นคนแนะนำหลายๆอย่างในสำนักให้มันอย่างใจดี เหตุผลน่ะหรือ เหอะ!
เพราะหน้าตามันเหมือนน้องชายที่เสียไปแล้ว...
ไร้สาระสิ้นดี!
“ศิษย์พี่ถางก็เช่นกัน”
“ฮ่ะๆ ความจริงข้าเพียงมาตามหาเจ้าเท่านั้น” อีกฝ่ายยิ้มให้แล้วเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม
“ตามหาข้า? มีอะไรหรือขอรับ”
“ตอนนี้เหลือเพียงเจ้าคนเดียวที่ยังไม่ได้เลือกว่าจะศึกษาในตำหนักไหน ข้าจึงได้มาถามไถ่เพราะนี่ก็ใกล้เวลาส่งข้อมูลไปให้ทางแต่ละตำหนักแล้ว”
ถางเจียฉีเป็นเหมือนศิษย์พี่ใหญ่แห่งตำหนักใต้ มันได้รับหน้าที่ดูแลศิษย์ทั้งใหม่เก่าและความเป็นไปทั้งหมดของที่นี่ซึ่งเป็นรองเพียงแค่เจ้าตำหนักเท่านั้น แม้มีข้อสงสัยว่าบุคคลที่มีอายุเพียงยี่สิบสองทำไมถึงเป็นที่ไว้วางใจเช่นนี้ หากใบหน้ายิ้มแย้มใจดีที่จางหมิงเห็นก็ไม่ได้บ่งบอกอะไรเลยจริงๆ
“อ่า... ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท”
ศิษย์ภายในสำนักนอกจากต้องฝึกปรือวิชายุทธ์ของตนแล้วจำเป็นต้องเลือกขึ้นกับตำหนักพิเศษหนึ่งแห่ง แต่ละแห่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความพอใจและจะเปลี่ยนได้เมื่อครบปีเท่านั้น
ตำหนักพิเศษแบ่งออกเป็นเจ็ดแห่ง หอโอสถ ตำหนักอสูร ตำหนักปีศาจ ค่ายมายา ทัพสำรวจ กองป้องกัน และตำหนักยุทธ์กำเนิด
การเข้าร่วมตำหนักพิเศษแต่ละแห่งนั้นย่อมต้องช่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตำหนักนั้นๆด้วย จางหมิงไม่ได้อยากเข้าร่วมตำหนักใดเป็นพิเศษ หากแต่จะให้เลือกล่ะก็...
“ข้าอยากไปที่หอโอสถขอรับ คงไม่เป็นไรกระมัง”
“จะเป็นไรได้ ดีๆ เห็นเจ้ามาหาตำราอ่านบ่อยๆ ข้าแน่ใจว่าตำราสมุนไพรต่างๆคงไม่อาจทำอะไรเจ้าได้ ฮ่าๆ”
อีกนิยามหนึ่งที่นอกเหนือจากรอยยิ้มจริงใจนั้น จางหมิงได้เรียกอีกฝ่ายอย่างลับๆว่าปีศาจหน้ายิ้ม
ก็ดูเอาเถอะ... ตัวมันอายุได้หกสิบหากจะมองคนก็ถือว่าแทบขาด หากเด็กตระกูลถางคนนี้มันมองไม่ออกว่าทั้งหมดนั้นเสแสร้งหรือไม่ ออกจะเป็นคนที่น่ากลัวกว่าที่คิดเสียอีก ถ้าไม่จำเป็นมันก็เลี่ยงคนแบบนี้ดีกว่า
“ข้าขอตัวก่อนนะขอรับศิษย์พี่ ข้าลืมว่าวันนี้หลิงหลิงยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“นั่นสินะ เจ้าเลี้ยงสัตว์ปีศาจไว้ตัวหนึ่งนี่นา ว่าแต่เข้าร่วมตำหนักปีศาจไม่ดีกว่าหรืออย่างไร” ถางเจียฉีถามอีกครั้งเพราะตัวมันเองก็อยู่ในตำหนักนี้เช่นกัน
“ไม่ดีกว่าขอรับ”
และกว่าจะออกมาจากอาคารซ่อนพยัคฆ์ได้ก็ต้องเปลืองน้ำลายไปอีกมากทีเดียว
“ศิษย์น้องจางรอก่อน”
นี่ก็อีกคน
“อา... ศิษย์พี่จู มีอะไรหรือ” จางหมิงทักทายหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาหา
จูลี่ถิง สตรีแสนบอบบางที่มันเจอในวันทดสอบจากการไปขอเม็ดยา หลังจากที่รู้ว่าแผลของมันไม่หายเสียทีก็ตามราวี... ไม่สิ ตามมาถามไถ่อยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าตอนนี้จะหายสนิทแล้วก็ตาม
“ร่างกายเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ข้ามียาบำรุงอยู่เล็กน้อยคิดว่าจะให้เจ้าอยู่พอดีเลย”
“ข้าหายดีแล้วจริงๆศิษย์พี่ ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากอีก” มันพยายามปฏิเสธแต่ก็ถูกยัดเยียดขวดยาใส่ในมืออยู่ดี
ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่ได้ของมาเปล่าๆ แต่มันไม่อยากมีปัญหาตามมามากกว่า เพราะดูแล้วจะมีคนไม่ชอบใจกับการที่เธอมาเกาะติดเขาอยู่มากทีเดียว
“ไม่เป็นไรๆ ข้าเต็มใจ หากว่าเจ้าต้องการอีกก็ไปหาข้าได้ หรือไม่ก็ไปหาข้าที่หอโอสถนะ” เธอยิ้มให้ก่อนจะจากไป
จางหมิงถอนหายใจเบาๆ มันลืมไปเสียสนิทว่าที่นั่นมีจูลี่ถงอยู่ หากเข้าร่วมกับหอโอสถคงได้พบกันอีกหลายครั้งเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรผู้หญิงคนนี้ก็ดูออกง่ายกว่าถางเจียฉีมากนัก
จางซิ่งออกไปจากชีวิตชั่วคราว หากมันกลับได้คนที่เหมือนกันมาอีกถึงสองคน
ถือว่าชาตินี้ดวงเรื่องมิตรสหายของมันดูจะแย่เอามากๆ
+++