ตอนที่ 35 ก้าวแรก
35
“...หมิง”
จางหมิงได้ยินเสียงเรียกที่ไม่ค่อยชัดคำก็พอจะเดาออกว่าคือจิ้งจอกน้อยหลิงหลิง มันกระพริบตาเพื่อเรียกสติก่อนจะคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
การทดสอบจบลงในช่วงเช้าของวัน แต่ตอนนี้เป็นเวลาย่ำค่ำแล้วเมื่อสังเกตจากแสงอาทิตย์อัสดง สีส้มแสดพาดผ่านฟ้าจนขมุกขมัว ดูสวยงามแต่ก็ทำเอาจิตใจไม่สงบสักเท่าไหร่
แกนปราณเกิดใหม่ในอกตอนนี้ยังคงอยู่ ทั้งยังสะกดข่มพิษได้เช่นแกนปราณไร้ลักษณ์ที่มีอยู่แต่เดิม สิ่งที่รับรู้ได้ในตอนนี้คือแกนปราณของมันไม่ได้ใสกระจ่างหากเป็นสีดำสนิทที่ดูจะแปลกอยู่บ้างแต่ก็มั่นคง
หนึ่งคือแกนปราณไร้ลักษณ์ที่อาจทำให้มันตายในวันข้างหน้าแต่ถูกอีกสิ่งทำให้ก่อรูปเป็นแกนปราณอันสมบูรณ์ อีกหนึ่งคือสิ่งแปลกปลอมที่พร้อมดูดกลืนพลังของชีวิตจนผู้ครอบครองตาย หากแต่เผลอดูดกลืนอำนาจอื่นเข้าไปจนเสถียร ทั้งหมดนั้นนับเป็นความบังเอิญอย่างถึงที่สุดจริงๆ
เมื่อมีแกนปราณพลังปราณในร่างของจางหมิงก็ควบคุมได้ง่ายขึ้น มันรู้สึกได้ว่าพลังของมันทะลุผ่านขั้นต่ำระดับสี่ไปอย่างง่ายดาย
“นายท่าน ...หมิง”
จิ้งจอกน้อยปีนขึ้นไปนั่งบนอกของเจ้านายที่นอนเหม่อลอย จางหมิงจึงยกมือขึ้นไปลูบไล้ไปบนเส้นขนนุ่มนั้นเบาๆ
“ขอบคุณที่เตือนก่อนหน้านั้นนะหลิงหลิง ว่าแต่มีอะไรอีกหรือ”
“...หิว” จบคำจางหมิงที่ได้ฟังก็เลิกคิ้วอย่างนึกขึ้นได้
“นั่นสินะ ตั้งแต่พบเจ้าก็หลายวันมาแล้ว ข้าก็ยังไม่เห็นเจ้ากินอะไรอีกหลังจากกระต่ายตัวนั้นจึงได้ลืมไปเสียสนิท เย็นแบบนี้หวังว่าเรายังคงหาอะไรกินได้นะ”
จางหมิงบอกให้จิ้งจอกน้อยรออยู่ในห้อง ก่อนจะก้าวไปไกลก็เหลือบไปเห็นกล่องไม้ที่แตกกระจายบนพื้น แต่ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อมีของบางอย่างที่คาดว่าอยู่ภายในหลุดออกมาด้วย
มีดประหลาดที่มีคมสีดำ!
จางหมิงหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอย่างสนใจ มันก็ไม่แน่ใจว่านี่คือต้นกำเนิดของสิ่งที่พุ่งเข้ามาในกายมันหรือไม่ แต่พอถือด้ามจับสีดำประดับทองนั้นได้อย่างถนัดมือจึงเก็บเข้ากระเป๋าทันที
ก็เหมือนว่ามันจะได้อาวุธของตัวเองแล้ว...
จางหมิงได้เนื้อมากว่าสามกิโลเนื่องจากไม่รู้ว่าจิ้งจอกน้อยนั้นตอนนี้ทานได้มากแค่ไหน แต่ตัวมันเองยังจำกระต่ายป่าที่จิ้งจอกน้อยกินได้อยู่ว่ามันตัวโตพอๆกันแต่ก็หายไปในพริบตา และเนื้อเหล่านี้มันไม่ได้มาเองเพียงแค่ขอหากแต่ใช้เงินซื้อมาจากคนครัวของสำนักอีกที
มันชอบเงิน?
นั่นผิดแล้ว...
มันชอบสิ่งของที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้ต่างหาก สำหรับมันแล้วเงินก็เป็นเพียงตัวแปลอย่างหนึ่งที่จะได้มาซึ่งสิ่งของเหล่านั้น และบางครั้งสมบัติของมันก็เป็นสิ่งมีชีวิต เช่นจิ้งจอกน้อยตนนี้
“เจ้าต้องกินให้มากหน่อย โตขึ้นจะได้ไปหาสมบัติด้วยกัน” ยังไม่ทันขาดคำเนื้อจำนวนมากก็หายไป
จางหมิงได้แต่กระพริบตาปริบๆมองสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้มันชักไม่แน่ใจว่าคุ้มแล้วหรือไม่กับการเลี้ยงดูจิ้งจอกมายาตนนี้ เพราะดูจะกินล้างกินผลาญเสียเหลือเกิน
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูทำให้จางหมิงเก็บจิ้งจอกน้อยที่มีทีท่าว่าจะหลับไว้ในอัญมณีผนึกอีกครั้งก่อนจะเดินไปเปิดประตู และคนที่มาก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจางซิ่งนั่นเอง
“ข้ามารบกวนหรือไม่ขอรับ”
“ก็ไม่หรอก ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว มาสิ” จางหมิงอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง
ห้องของศิษย์สำนักพยัคฆ์อัคคีแม้จะดูคับแคบไปบ้างแต่ก็มีเตียงตู้และโต๊ะเก้าอี้ครบพร้อม จางหมิงจึงได้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวในห้องนั้นโดยมีจางซิ่งที่ตามเข้ามายืนด้านข้าง
“ว่ามาสิ”
การมาขอเข้าพบยามค่ำคืนเช่นนี้แปลได้ว่าอีกฝ่ายต้องมีเรื่องบางอย่างที่อยากคุยด้วยเป็นการส่วนตัว และตัวมันก็ว่างพอที่จะรับฟัง
“เมื่อกลางวัน คือ... เอ่อ...”
“ถึงข้าจะว่างอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีเวลามาฟังเจ้าทั้งคืนหรอกนะ”
จางซิ่งมีท่าทางกระอักกระอ่วนกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา สีหน้าท่าทางเป็นกังวลมากเสียจนจางหมิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆแต่มันก็ยังใจเย็นพอที่จะรอฟังได้อยู่
“นายน้อยคงทราบแล้วว่ามีการคัดเลือกศิษย์บางคนไปเป็นศิษย์ส่วนตัวของเหล่าผู้อาวุโส” ในที่สุดจางซิ่งก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วพูดออกมา
“ทำไม? เจ้าจะบอกว่าเจ้าได้รับคัดเลือกเช่นนั้นหรือ” จางหมิงเอ่ยถามอย่างไม่ใคร่สนใจนัก ในมือจับๆลูบคลำชุดชาที่อยู่บนโต๊ะอย่างประเมิน
“เอ่อ... ขอรับ”
“แล้วอย่างไร” มันคิดว่าชุดชานี้เป็นแค่ของถูกๆที่มีขายทั่วไป
“ข้าเป็นผู้ติดตามของท่าน หากว่าต้องไปเช่นนั้นออกจะไม่สมควร...”
“ผู้ติดตาม? ใครให้สถานะนั้นกับเจ้ากันล่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือว่าพวกท่านพี่ หรือเจ้าจะบอกว่าเป็นข้า เพราะหากจำไม่ผิดเจ้าก็คือบุตรบุญธรรมที่ท่านพ่อรับไว้ในอุปการะ ฐานะนั้นไม่ได้ต่างไปจากพี่ชายของข้าเลย แล้วเจ้าจะกังวลอะไร” พูดจบมันก็ละสายตาจากถ้วยชามายิ้มให้อีกฝ่ายน้อยๆ
จางซิ่งรู้สึกซึ้งใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก ตัวมันนั้นดีใจที่อยู่ในตระกูลจางนี้ ความรู้สึกอบอุ่นไหลวาบในอกราวกับครอบครัวของมันกำลังปลอบโยน และมันสัญญาว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นในวันข้างหน้ามันจะถวายชีวิตเพื่อให้นายน้อยและตระกูลปลอดภัย
“นายน้อย... ขอบคุณขอรับ”
ซึ้งใจได้ไม่นานจางหมิงก็ได้เปลี่ยนเรื่องไปคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนที่มันหลับ มีอยู่หลายเหตุการณ์ที่น่าสนใจ อย่างเช่นเกาหงลี่ที่ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในศิษย์ของเจ้าสำนัก หรือเรื่องเล่าที่ว่าวงกตพลังปราณมีช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้คนเสียชีวิตไปสองสามคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ และเรื่องเล็กน้อยอย่างหลินเย่ถงที่จะกลายเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกับจางซิ่งด้วย
“นายน้อยอยู่ที่นี่ต้องดูแลตนเองให้ดีนะขอรับ ข้าได้ข่าวว่าการแข่งขันของศิษย์สายนอกนั้นรุนแรงอยู่พอสมควรเลยทีเดียว”
“สายนอก?”
“ขอรับ เนื่องด้วยสำนักพยัคฆ์อัคคีแบ่งศิษย์ออกเป็นสี่ระดับ ระดับแรกสุดคือศิษย์สายนอกก่อนจะกลายเป็นระดับที่สองที่เรียกว่าศิษย์สายใน ระดับที่สามคือเทียบเท่าศิษย์สายในหรืออีกชื่อว่าศิษย์มีอาจารย์ และระดับสุดท้ายคือศิษย์พยัคฆ์ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงที่ได้รับการฝึกวิชาต้องห้ามประจำสำนัก” จางซิ่งกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ อย่างน้อยมันก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะเข้าสำนักนี้มาแต่แรก หากจะมีความรู้มาบ้างก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจ
“ศิษย์มีอาจารย์นี่คือพวกเจ้าสินะ แต่ก็เอาเถอะข้าก็คงขึ้นไปเท่าเจ้าได้สักวัน”
“แน่นอนขอรับนายน้อย หากท่านไม่บาดเจ็บแล้วเข้าทดสอบต่อ ข้าเกรงว่าท่านคงได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนักอย่างแน่นอน!”
จางหมิงไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน ทั้งๆที่ตัวมันคิดว่าแค่สิบชั่วโมงที่ผ่านมานั้นก็สาหัสสากรรจ์พอแล้ว
“หากไม่มีสิ่งใดแล้วเจ้าก็ไปเถอะ อย่าลืมสอนมารยาทหลินเย่ถงบ้างก็แล้วกัน”
“ข้าน้อยก็หวังว่านางจะเปลี่ยนตัวเองได้บ้างเช่นกัน”
ตอนนี้จางซิ่งได้จากไปแล้ว จางหมิงที่มองตามอย่างไม่ใส่ใจได้ผุดรอบยิ้มร้ายกาจขึ้นมา หากถามว่ามันไม่อิจฉาจางซิ่งเลยหรือ นั่นก็คงตอบได้ว่าไม่ การเป็นคนพิเศษบางครั้งก็กดดันตัวเองเกินไปและดูจะยุ่งยาก มันดีใจมากกว่าที่อีกฝ่ายออกไปไกลๆตัวได้เสียที อย่างน้อยวันข้างหน้ามันจะได้ทำอะไรได้สะดวกขึ้น อีกทั้งนั่นจะเป็นการทำให้อีกฝ่ายถวายหัวให้อย่างสุดหัวใจอีกด้วย
เอาเป็นว่า... นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น
“จะว่าไปที่สำนักเหมือนจะมีช่างทำอาวุธฝีมือดี หวังว่ามันจะนำหนังงูเกล็ดนิลไปทำเป็นแส้ให้ข้าได้” จางหมิงรำพันกับตัวเอง สายตาจ้องมองพระจันทร์ภายนอกอย่างเหม่อลอย
พลังของมันเพิ่มขึ้นทีละนิดแต่ก็เป็นไปได้อย่างง่ายดายกว่าเดิม ทั้งการขับเคลื่อนและความมั่นคง แม้จะไม่เสถียรดังปราณในขั้นกลางหากก็นับว่าดีมากแล้ว
การมีแกนปราณมันเป็นแบบนี้นี่เอง...
จางหมิงยิ้มราวกับค้นพบสมบัติอีกชิ้นหนึ่ง
+++