ตอนที่ 32 กล่องปริศนา
32
ตำหนักเจ้าสำนัก
ชายชราผู้มีหนวดเครายาวครึ้มหากแต่แววตายังคงแจ่มชัดนั่งพิงพนักเก้าอี้ตัวเก่า มันมองไปยังแก้วผนึกวารีขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อไปยังวงกตพลังปราณทั้งสี่ที่ใช้ในการทดสอบตรงหน้า ภาพนับร้อยไหลผ่านสายตาจนน่าเวียนหัวแต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่าทีเอื่อยเฉื่อยหากดูทรงพลังนั้นลดความน่าเกรงขามลง
ตัวมันคือติงเทียนเฉิน เจ้าสำนักพยัคฆ์อัคคีที่ครอบครองตำแหน่งมาสองร้อยยี่สิบปี
เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานทำให้มันไม่ได้สนใจความเป็นไปในสำนักเท่าไหร่ เรื่องภายในภายนอกทั้งหลายล้วนส่งให้ผู้อาวุโสของสำนักจัดการ แต่คราวนี้มันจำเป็นต้องลงมือเองจริงๆ
การแข่งขันห้าสำนักไม่ได้อยู่ในความสนใจของมันนัก แม้นั่นจะตัดสินอันดับอันล้ำค่าแค่ไหนแต่ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของสำนักจริงๆแล้วไม่ได้อยู่ที่ศิษย์ปัจจุบัน หากเป็นเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์เก่าทั้งหลาย พวกเด็กๆก็เป็นเพียงแค่ไม้ประดับที่ยังไม่เติบโตก็เท่านั้น
ทุกสำนักแม้จะสั่งสอน หากก็ไม่ได้ช่วยเจียระไน นั่นเป็นสิ่งที่เหล่าศิษย์ต้องทำด้วยตนเอง จะมากจะน้อยเพียงใดก็อยู่ที่ตัวคน
เหตุผลที่มันออกมานี้ย่องเกิดจากเรื่องราวบางอย่างที่ได้รับรู้จากทางเมืองหลวง เรื่องสำคัญที่จะทำให้อาณาจักรก้าวสู่ความยิ่งใหญ่หรืออาจทำให้ตกต่ำลงจนถึงขีดสุด
ติงเทียนเฉินเคยพยายามจะลาออกจากตำแหน่งถึงสามครั้ง แต่ข้ออ้างที่เหล่าผู้อาวุโสหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งนั้นก็ทำให้มันออกไปเผชิญโลกภายนอกอย่างสบายใจไม่ได้สักที คราวนี้มันก็อดดีใจไม่ได้ที่ยังคงดำรงตำแหน่งนี้อยู่
เจ้าสำนักไม่เคยรับศิษย์...
ไม่... ไม่ใช่ครั้งนี้
มันกำลังตามหาคนที่มีแววว่ามีความเป็นอัจฉริยะและไหวพริบดี และนั่นก็พอจะมีคนที่ต้องตาอยู่สองสามคนเหมือนกัน
คนที่อยู่ภายในได้นานที่สุดไม่ใช่คนที่เก่งกาจที่สุดเสมอไป เหมือนเช่นคนที่มีพลังมากไม่ได้หมายความว่าจะอยู่เหนือคนทั้งปวง
ทุกคนบนโลกเกิดมาย่อมไม่เท่าเทียม หากก็สามารถเหนือกว่าผู้อื่นได้จากการรู้จักพัฒนา กับดักที่แปลกประหลาดย่อมทำให้รู้จักระวังตัว คนที่ปรับตัวได้ดีนั่นย่อมเป็นคนที่มีอนาคตที่กว้างไกลในวันข้างหน้า มันมองดูผู้คนและต้องการคนแบบนั้นมากกว่าคนที่มีพลังมาตั้งแต่แรก
หากพลังของบางคนก็ใช่จะปล่อยให้ละสายตาได้จริงๆ
ตัวอย่างเช่น เจ้าเด็กเกาหงลี่คนนั้น
ภาพภายในแก้วผลึกวารีหยุดอยู่ที่ภาพหนึ่ง ภายในอุโมงค์ที่มืดมิดหากกำลังมีแสงสว่างจุดเล็กๆเคลื่อนไปมา จุดแสงเผยให้เห็นภาพใบหน้าที่ดูจะหยิ่งยโสและขี้หงุดหงิด แต่เค้าความจริงจังก็พอจะทำให้รู้สึกน่าเกรงขามอยู่บ้าง
จางหมิงไม่ได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันมองไม่เห็นตนเองแต่เพียงรู้ว่าลอยอยู่เท่านั้น รู้แม้กระทั่งสายตาที่คอยมองมันมาจากที่ที่มันมองกลับไปไม่เห็น แม้เพียงชั่วแวบแต่ก็เวียนมาเป็นพักๆจนน่าหงุดหงิดใจ
พวกถ้ำมอง!
กับการทดสอบลวงโลก หึ!
เหตุการณ์ประหลาดนี้ราวกับมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำ ไม่ใช่เพียงแค่ตรงที่มันกำลังอยู่แต่หมายถึงวงกตพลังปราณแห่งนี้ทั้งหมด มันรู้ว่ามีคนเหลืออยู่ในที่นี้เท่าไหร่ รู้ว่าอยู่ใกล้ไกลเพียงใด รู้แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรู้ถึงปราณของคนหลายคนที่ตรวจสอบที่แห่งนี้ตลอดเวลา นั่นรวมไปถึงรับรู้ถึงการทำงานของแก้วผลึกวารีปลอมๆที่มันได้รับมาก่อนหน้านั้นด้วย
มันถูกดึงดูดโดยถ้ำแห่งนี้ ไม่สิ... ถ้ำแห่งนี้ดึงดูดของที่อยู่กับมันมากกว่า
แสงจากดาราด้านบนไม่ได้ส่องตรงมาที่มันโดยตรง หากส่องไปที่กระเป๋าเงินที่ตอนนี้ถูกเก็บไว้ในอกเสื้อ และอย่างเดียวที่พอจะเป็นไปได้ก็คงจะเป็นกล่องประหลาดที่มันได้มาจากหัวหน้าโจรในป่า
คราแรกแสงดาราเหล่านั้นเพียงกระตุ้นเตือนบางอย่างจึงทำให้แกนปราณตื่นขึ้นและพิษร้ายในร่างกำเริบไปด้วย หากในคราต่อมามันก็รุนแรงขึ้นจนวิญญาณที่ยึดติดกับร่างใหม่ที่ยังไม่เสถียรดีกระเด็นออกมา แต่นับว่ายังโชคดีที่ไม่ได้หลุดออกมาอย่างถาวร มิเช่นนั้นร่างกายนั่นคงหมดลมหายใจ
แต่นั่นมันฝืนกฎของโลกมากเกินไปหรือเปล่า?
จางหมิงตอนนี้ตระหนักได้ถึงผู้คนที่กำลังเข้ามาใกล้ คนทั้งสองที่อยู่ข้างร่างกายของมันก็เงี่ยหูฟังเช่นเดียวกัน เสียงฝีเท้าไม่เร่งร้อนและกะประมาณได้ไม่เกินสามคน
และสามคนนั้นก็มีคนที่จางหมิงพอจะรู้จักอยู่บ้าง
พวกมันคือเกาหงลี่และพวก
เด็กชายตระกูลจางทั้งสองแปลกใจไม่น้อยกับสิ่งที่เห็น เพราะไม่ใช่ว่านายน้อยตระกูลเกาคนนี้ต้องเดินทางไปสำนักอินทรีย์สวรรค์หรอกหรือ
คบไฟที่พวกมันนำมาทำให้มองเห็นรอบๆได้ชัดเจน ร่างแน่นิ่งอาบเลือดที่นอนอยู่และคนที่ประคองทำให้เกาหงลี่ครางฮึมฮัมอย่างไม่พอใจ
“ปีนี้เป็นปีชงของข้าเสียจริงๆ”
“นายน้อยตระกูลเกา!” หลินเย่ถงที่เห็นอีกฝ่ายชัดๆอุทานขึ้นมา
“หืม... เจ้าคือเด็กสาวจากตระกูลหลิน แล้วทำไมถึงมากับพวกตระกูลจางได้กันล่ะ”
“ข้าก็อยากรู้ว่าคนที่ผู้นำตระกูลเกาหมายมั่นปั้นมือให้ไปที่สำนักอินทรีย์สวรรค์อย่างเจ้าไยถึงได้มาอยู่ที่นี่กัน” คำถามนี้ของหลินเย่ถงช่างตรงกับใจของจางหมิงนัก
นั่นสิ... ทำไมกันนะ
“เจ้าก็ลองถามไอ้เจ้าคนที่นอนจมกองเลือดนั่นดูสิ”
จางหมิงที่ตกเป็นเป้าหมายตอนนี้ไม่ได้สติสายตาของหลินเย่ถงจึงเบนไปที่จางซิ่งที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่ ซึ่งมันก็ได้แต่คาดเดาในสิ่งที่นายน้อยตระกูลเกาต้องการสื่อเท่านั้น
“คิดว่า... อาจเป็นเพราะโจรป่าเหล่านั้น”
แต่คำตอบก็ช่าง...
“แล้วจะเป็นอะไรได้อีกเล่า! โจรป่าที่นายน้อยของเจ้าไปหาเรื่องตามราวีพวกข้าจนการเดินทางล่าช้าขนาดไหนรู้ไหม! หากจะไปไกลถึงสำนักอินทรีย์สวรรค์ทันก็คงต้องใช้วิชาตัวเบาทะยานด้วยพลังปราณขั้นมนุษย์ขึ้นไปเท่านั้นล่ะ” คำพูดที่ออกมาล้วนประชดประชันทำให้จางซิ่งได้แต่ยิ้มแหย
“เรื่องนั้นต้องขออภัยแทนนายน้อยด้วยขอรับ หากแต่ท่านช่วยพอจะห้ามเลือดให้นายน้อยของข้าได้หรือไม่” จางซิ่งถามออกไปอย่างหวาดๆ
สำนักอินทรีย์สวรรค์ขึ้นชื่อเรื่องการรักษา ซึ่งน้อยน้อยตระกูลเกาคนนี้แม้จะดูไม่เหมือนผู้ที่จะรักษาคนได้สักเท่าใด แต่นั่นคือสิ่งที่มันทำได้จริงๆ และทำได้ดีจนสำนักแห่งนั้นต้องเชิญตัวไป
“คิดว่าข้าจะรักษาคนที่ทำให้ข้าต้องมาลำบากในวงกตนี้หรืออย่างไร” เกาหงลี่เลิกคิ้วถาม
“หากท่านจะกรุณา”
จางซิ่งทำได้เพียงร้องขอเพราะตอนนี้มันทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ หลินเย่ถงที่อยู่ข้างๆก็ทำได้เพียงมองพวกเขาอย่างใคร่รู้เท่านั้น
ใครว่าหมอทุกคนใจบุญ ยิ่งคนที่หมอไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ไม่เชิงแบบนี้ด้วยแล้วย่อมเป็นเรื่องยากที่จะหาคนดีๆพบ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของตัวเกาหงลี่คนนี้แล้วก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
อาการปากกับใจไม่ตรงกันนี่ใครๆในเมืองต่างก็รู้กันดีเชียวล่ะ
เกาหงลี่เพียงเหลือบสายตามองนิ่งๆแล้วก็เมินออกไป ไม่นานก็เหลือบสายตามาดูอีกครั้ง ก่อนที่มันจะสบถไม่ได้ศัพท์อยู่ในลำคอแล้วโยนคบไฟในมือไปให้ผู้ติดตามคนหนึ่ง
“เจ้าน่ะถอยไป เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
+++
แมว : มีความซึน