ตอนที่ 31 เกือบรอดแล้ว
31
จางหมิงยังคงดำดิ่งลงพื้นอย่างช้าๆ มันเริ่มถอดใจที่จะพยายามในสิ่งที่ไม่อาจทำได้ ตอนนี้เพียงแค่หวังให้พอมันถึงพื้นความทรมานนี้จะหายไปเสียที
พื้น?
ใช่แล้ว! บนพื้น!
แรงใจที่หมดไปกลับมาพองโตขึ้นอีกครั้ง วิชามังกรเก้าเศียรแม้จะแสดงอำนาจออกมาใต้น้ำให้ดูช้าอืดอาดไปบ้างแต่ก็ยังทรงพลัง มันถูกส่งตรงลงสู่พื้นห้องทันที
จางซิ่งที่ว่ายตามจางหมิงลงมาเมื่อเห็นก็เข้าใจว่านายน้อยของมันกำลังทำอะไรจึงรีบใช้วิชายุทธ์โจมตีตามไป
แรงสั่นสะเทือนน้อยๆทำให้หลินเย่ถงที่อยู่ด้านบนหันกลับมามอง แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกมันทำแต่ย่อมพอจะรู้ว่านั่นคงไม่ได้ไร้ความหมายก่อนจะพาตัวเองพุ่งตรงเข้าไปช่วยด้วยอีกแรง
รอยปริแตกที่เห็นทำให้จางหมิงรู้สึกว่าตนเองคิดถูก เมื่อรอบด้านและด้านบนไม่สามารถผ่านไปได้แล้วข้างล่างจะเป็นเช่นไร มันลืมนึกถึงข้อนี้ไปเสียสนิท
หากแต่พื้นยังไม่ได้แตกออก ลมหายใจของมันก็แทบจะหมดอยู่แล้ว จางซิ่งก็ไม่ต่างกันนัก หลินเย่ถงที่เห็นสภาพของเพื่อนร่วมทางจึงได้เร่งมือเค้นพลังของตนเองเพื่อใช้ในการทำลาย
แครก!
ยิ่งเสียงปริแตกนั้นดังออกมามากเท่าไหร่เสียงทุบก็ยิ่งกระหน่ำลงไปเท่านั้น มันคือความหวังเดียวในการผ่านการทดสอบนี้
โครม!
พื้นทะลุลงห้องด้านใต้พร้อมกับสายน้ำที่ไหลลงไปโครมใหญ่ แรงอัดจากกระแสน้ำผลักให้ร่างของพวกมันกระเด็นออกไปคนละทาง หลินเย่ถงที่ยังคงมีสติดีใช้ปราณปกป้องตนเองไว้ได้ก็จริง หากแต่เด็กชายตระกูลจางทั้งสองที่หมดสติอยู่กระแทกเข้ากับผนังด้านล่างจากแรงผลักนั้นอย่างจัง
“อึก! แค่กๆ” จางหมิงไอออกมาพร้อมกับน้ำเพราะในปอดถูกดันออกจากแรงกระแทก แต่มันก็มาพร้อมกับเลือดที่เกิดจากความเสียหายของอวัยวะภายใน แม้ร่างกายของผู้ที่ฝึกปราณจะแข็งแกร่งก็จริง หากในระดับต่ำนั้นไม่รวมถึงอวัยวะภายในร่างแต่อย่างใด
จางซิ่งก็ไม่ดีกว่ากันมากนัก แต่อาการบาดเจ็บร้ายแรงน้อยกว่าเนื่องจากร่างกายที่แข็งแรงกว่าอยู่บ้าง หากความแสบร้อนภายในโพรงจมูกก็ทำเอาทรมานไม่น้อยเลย
“พวกเจ้าไหวนะ” หลินเย่ถงถามอย่างนึกห่วง
เธอแม้จะอยากช่วยเหลือแต่ก็ทำได้ไม่มากนัก ข้อจำกัดของพลังนั้นไม่สามารถให้ระดับขั้นของเธอขยายขอบเขตการป้องกันออกไปได้นอกจากตัวเอง อีกทั้งปราณไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดหากจะใช้ในการรักษา หากผิดพลาดนั่นย่อมต้องเลวร้ายลงกว่าเดิม
ทั้งหมดนั้นคือความหมายของสิ่งที่เรียกว่าพลังปราณขั้นต่ำ ผู้ที่ฝึกฝนแม้มีอยู่มากหากก็ไม่ได้ถูกเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง ความจริงแล้วเป็นเพียงแค่บทแรกของการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและพลังภายในในระดับเริ่มต้นเท่านั้น
“ข้า... ข้าไม่เป็นไรขอรับ” จางซิ่งส่ายหน้าน้อยๆหลินเย่ถงจึงได้หันไปถามจางหมิงที่ยังคงเงียบอยู่
“แล้วเจ้าเล่า เป็นอะไรมากหรือไม่”
“คิดว่ามากอยู่”
มันตอบอย่างไม่ปิดบัง อย่างน้อยๆตอนนี้ทั้งร่างชาหนึบและไม่อาจขยับแม้เพียงปลายนิ้ว ภายในยิ่งแสบร้อนและเจ็บปวดจากการกระแทกและมวลน้ำที่เข้าไป แต่นั่นก็ยังไม่ถือว่าแย่นักเมื่อเทียบกับความทรมานเวลาพิษกำเริบ
“เจ้าก็ยังพูดได้นี่ แสดงว่าไม่เป็นอันตรายจนถึงชีวิต จงดีใจว่าอย่างน้อยแก้วผลึกวารียังไม่ทำงาน”
หลินเย่ถงคลายความกังวลแม้อีกฝ่ายจะดูอ่อนแรงอยู่มากแต่ก็ยังโต้ตอบได้ในระดับที่ดีเธอจึงหันไปสำรวจรอบด้านแทน
เวลาผ่านไปราวเก้าชั่วโมงนับตั้งแต่การทดสอบสุดท้ายนี้เริ่มขึ้น การรับรู้เวลาจากจิตสำนึกไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับผู้ฝึกพลังปราณที่ถือว่าเป็นของขวัญจากฟ้า
คราวนี้สิ่งที่เห็นไม่ใช่ห้องโถงเก่าแก่ พื้นทั้งหมดล้วนเป็นดินโคลนเฉอะแฉะและเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ซึ่งนั่นไม่น่าแปลกใจเท่าใดเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นเมื่อครู่
“ไม่สูงเท่าไหร่นะเนี่ย” หลินเย่ถงพึมพำกับตัวเองเมื่อมองขึ้นไปด้านบนบ้าง
ครึกๆๆๆ...
เสียงที่ดังมาแต่ไกลทำให้ทั้งสามเงี่ยหูฟัง จางหมิงที่พอจะเริ่มขยับได้บ้างถูกจางซิ่งพยุงให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ความชาหนึบเริ่มหายไปมันจึงรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังเริ่มที่จะเจ็บปวดขึ้น เพียงขยับก็รวดร้าวจนแทบอยากตะโกนออกมา
“นายน้อย! ท่านบาดเจ็บ!”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” มันนิ่วหน้าตอบก่อนจะไอเอาน้ำในปอดออกมาอีก
เสียงเดิมที่ได้ยินยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่พบเห็นสิ่งใดที่ผิดปกตินอกจากทางเดินยาวที่มืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากห้องด้านบนเท่านั้นที่พอจะทำให้พื้นที่บริเวณนี้มองเห็นได้
“ข้าขอดูแผลท่านสักเล็กน้อย” ไม่พูดพร่ำจางซิ่งก็ได้ดึงเสื้อของจางหมิงออกเพื่อดูด้านหลัง
“พวกเจ้าไม่ควรเปลือยต่อหน้าสตรีเช่นนี้นะ! ไม่มีความกระดากอายบ้างหรืออย่างไร!”
“เย่ถง... ควรเป็นเจ้าที่สมควรกระดากอายเมื่อจ้องบุรุษหนุ่มที่กำลังเปลือยท่อนบน” จางหมิงเอ่ยเบาๆพร้อมกับสะดุ้งตัวเมื่อแผลด้านหลังถูกทาด้วยบางสิ่งในมือของผู้ติดตามของตนเอง
“ไม่ล่ะ เจ้ามิใช่บุรุษหนุ่มเสียหน่อย ก็เพียงแค่เด็ก” เธอตอบอย่างไม่แยแส
“จางซิ่ง” จางหมิงเรียกคนที่อยู่ด้านหลังบ้าง
“ขอรับ”
“ข้าว่าเจ้าอ่านหนังสือมาก็มาก สิ่งที่สตรีพึงกระทำล้วนย่อมเคยผ่านตา เช่นนั้นก็สั่งสอนนางบ้างเถอะ”
“ไม่มีปัญหาขอรับ”
“พวกเจ้าควรถามข้านะว่าต้องการเรียนหรือไม่! ...ว่าแต่ เสียงดังๆนี่ช่างหนวกหูเสียจริง”
เสียงครึกครักที่พวกมันได้ยินมาสักพักก็ยังคงดังอยู่แบบนั้นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อีกทั้งดูเหมือนจะดังขึ้นเรื่อยๆเสียด้วยซ้ำ
“เสร็จแล้วขอรับนายน้อย ข้าพกยาทาปิดปากแผลมาจากตระกูล คงพอช่วยห้ามเลือดได้บ้าง ดูจากบาดแผลแล้วท่านคงถูกเศษหินบาดเข้า แม้ไม่ยาวนักแต่ก็ลึกมากอยู่ ข้าแนะนำว่าอย่าได้เคลื่อนไหวตัวเองมากนัก”
“เข้าใจแล้ว”
จบคำได้ไม่เท่าไหร่ตัวตนของเสียงที่ก่อความรำคาญก็ปรากฏในสายตาของทั้งสาม หินยักษ์ก้อนกลมกำลังกลิ้งมาใกล้ด้วยความเร็วที่ไม่มากนักแต่ก็เร็วพอที่จะทำให้ทั้งสามกระโจนหนีสุดตัว เพดานด้านบนจู่ๆก็หายวับราวกับไม่เคยมีอยู่ แสงสว่างที่มีหายไปความมืดจึงเข้ามาครอบงำ
เนตรจริงแท้!
วิชายุทธ์จากคัมภีร์มหาโจรได้ถูกใช้งานอีกครั้งเพื่อช่วยในการมองเห็น จางหมิงแม้ปวดหนึบจากบาดแผลแต่ก็ยังเร่งใช้วิชาทะยานข้ามภพพุ่งตัวไปตามทางและดึงแขนของเพื่อนร่วมทางทั้งสองไปด้วย
แม้มันจะไม่ได้ถือว่าเป็นคนใจบุญมากนัก แต่จะปล่อยให้ทั้งสองคนที่วันข้างหน้าต้องมาเป็นหนึ่งในลูกสมุนนั้นสอบตกไปก็ดูจะน่าเสียดายไปนิด อีกทั้งเวลาที่เหลือกว่าสิบชั่วโมงนั้น นับว่ามีหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว
“เจ้าเห็นทางด้วยหรือ” หลินเย่ถงใช้วิชาตัวเบาของตนเองทะยานตามแรงกระชากของอีกฝ่ายถามขึ้นอย่างสนใจ
“วิชาไร้ฐานน่ะ”
“จะอย่างไรก็ได้ ว่าแต่สอนข้าบ้างสิ”
“เอาไว้ถ้าหากเข้าสำนักได้ก่อนล่ะนะ” จางหมิงกัดฟันตอบ ตอนนี้แผ่นหลังรู้สึกอุ่นวาบ เลือดที่ถูกหยุดไว้คงไหลรินออกมาอีกครั้ง แต่มันก็หยุดตัวเองให้หยุดวิ่งไม่ได้เสียด้วย
เพียงไม่กี่นาทีพลังปราณของมันก็แทบหมดลง ลมหายใจหอบเหนื่อยเนื่องจากการเค้นพลังมาใช้มากเกินไป แต่แม้มันจะคิดจนหัวหมุนก็ยังไม่อาจคิดหาวิธีผ่านการทดสอบที่ไม่สิ้นสุดนี้เสียที
“ข้ากำลังคิดว่า...”
“หยุดพูด! ข้ากำลังใช้สมาธิ!” จางหมิงห้ามเสียงที่จางสิ่งเอ่ยออกมา
ผ่านไปอีกไม่นานจางหมิงเริ่มไอออกมาเป็นลิ่มเลือดเนื่องจากปอดถูกใช้งานหนักเกินไป บาดแผลที่หลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดได้ทุกขณะ
“นายน้อย! ข้าว่าท่านหยุดก่อนเถอะ ข้าคิดว่า...”
“อะไรอีก!”
“ข้าคิดว่าวิชาผ่าสวรรค์ของคุณหนูตระกูลหลินคงช่วยในเรื่องการทำลายหินก้อนนั้นได้”
บัดซบ!
“แล้วทำไม่เจ้าไม่บอกว่าสามารถทำแบบนั้นได้!” จางหมิงหันไปถามหลินเย่ถงที่ทำหน้างงๆ
“นั่นสิ! ทำไมข้าคิดไม่ได้นะ”
ตอนนี้มันแทบไม่รู้จะสรรหาคำใดมาว่ากล่าวแล้ว...
“นายน้อย!” จางซิ่งตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อจางหมิงที่วิ่งอยู่ดีๆล้มลงกับพื้น
หลินเย่ถงไม่ได้หันความสนใจไปยังคนทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงก้อนหินยักษ์กำลังพุ่งตรงเข้ามา ผ่าสวรรค์ถูกใช้งานอีกครั้งโดยเธอพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดกับการทำลายในครั้งนี้ อย่างน้อยนั่นก็ตอบแทนจางหมิงที่ยังเป็นห่วงอันตรายที่จะมีกับเธอแล้วรีบรุดฉุดให้ออกวิ่ง ไม่อย่างนั้นเธอคงตามสถานการณ์ไม่ทันจนต้องตกรอบในการทดสอบที่สามนี้
ปัง!
ก้อนหินแหลกยับเป็นชิ้นๆ แม้มองไม่เห็นแต่ก็เป็นที่น่าพอใจมากทีเดียว
“นายน้อย!”
“เป็นเช่นไรบ้าง” หลินเย่ถงหันไปถามฝ่าความมืดออกไป
“นายน้อยไม่ตอบสนองเลยขอรับ คาดว่าคงเสียเลือดมากเกินไป”
“ชะ เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี” เธอเริ่มกังวลมากขึ้นเมื่อคนในกลุ่มบาดเจ็บและดูตอนนี้ท่าจะอาการหนักเสียด้วย
จางหมิงที่หมดสติตอนนี้นั้น...
ความจริงก็ไม่เชิงว่าหมดสติหรอกนะ เพราะมันยังคงมีสติแจ่มชัดอยู่ แม้จะไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเองก็ตามที
ตอนนี้มันกำลังมองภาพจางซิ่งที่ประคองร่างของมันกับหลินเย่ถงที่ทำหน้ากังวล
มันตายอีกแล้ว?
สิ่งนั้นก็ไม่น่าใช่ในเมื่อมันยังคงเห็นร่างกายของมันยังคงหายใจอยู่ ความมืดก็ไม่ได้มีผลต่อสายตาของมันเลย มันยังคงสำรวจรอบด้านอย่างสงสัย
แต่มันคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจมาจากดวงดาวที่เรียงเป็นวงแหวนสิบแปดวงบนหัวนั่น
+++