ตอนที่ 30 รอด,ไม่รอด
30
ปึก!
“อึก”
“โอ๊ย!”
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ!”
หลายเสียงดังขึ้นติดๆกันในระยะเวลาไม่นาน พลังปราณที่ฟื้นคืนมากวาดออกไปรอบด้านเพื่อค้นหาความผิดปกติ หากก็ไม่ได้มีสิ่งใดที่ผิดสังเกต
เอ่อ... ความจริงก็ไม่ใช่ว่าไม่ผิดปกติสักทีเดียว
จางหมิงกัดฟันลูบหลังตัวเองเบาๆ ความเย็นของพื้นทำให้มันเริ่มรู้สึกตัว รอบกายที่เต็มไปด้วยของมีค่าตอนนี้กลับหายไปหมดนั่นรวมทั้งเตียงนอนนุ่ม ไม่แปลกใจเลยว่าพวกมันจะเจ็บบ้างเมื่อตกลงจากที่ที่เคยมีสิ่งของวางอยู่แต่เดิม
“นี่มันอะไรกันน่ะ เหมือนถูกผลักตกเตียงเลย เจ็บชะมัด” หลินเย่ถงบ่นพร้อมกับสำรวจตัวเอง
“เจ็บ? จริงเหรอ”
“ก็... ความจริงแล้วก็ไม่ ว่าแต่ตอนนี้จะออกไปยังไงกัน อ๊ะ! จริงด้วย ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ”
“เจ้าควรถามตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไร” จางหมิงบ่นออกมาอย่างระอา
รวมระยะเวลาก็มากกว่าครึ่งวันเมื่อรวมกับการต่อสู้กลางป่า ชื่อแซ่ก็ไม่ได้ถามกันไว้ ไม่แปลกใจที่ความสามัคคีของกลุ่มดูจะติดลบมาตั้งแต่แรก
หรือจะเป็นมันเองที่ผิดเพราะไม่ได้แนะนำตัวออกไปตั้งแต่แรกที่มอบป้ายสำนักให้กันนะ
แต่เมื่อผ่านมาแล้วก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้อยู่ดี
“ข้า จางหมิง ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะคุณหนูตระกูลหลิน”
หลินเย่ถงเลิกคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่นานนัก ในเมื่อจางซิ่งที่เป็นคนตระกูลจางเรียกอีกฝ่ายว่านายน้อยคนตรงหน้าก็ไม่พ้นเด็กชายจากตระกูลจางเป็นแน่ หากที่ติดใจสงสัยเล็กน้อยก็น่าจะเป็นสมญานามที่เคยได้ยินมาบ้างของจางหมิง มันช่างต่างกับที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ
“เอาเถอะ ว่าแต่หาทางออกกันดีกว่า” อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เป็นคนที่คิดอะไรมากนัก
“นายน้อย! ท่านดูนี่สิ!” จางซิ่งตะโกนมาจากมุมห้องด้านหนึ่ง
สิ่งที่จางหมิงมองเห็นตามการชี้นำของผู้ติดตามมากความรู้คนนี้ก็คือท่อบางอย่างที่ยื่นออกมาจากด้านบน ซึ่งมันมีขนาดใหญ่กว่าเมตรครึ่งพร้อมกับตระแกงซี่ใหญ่ด้านบน
แบบนี้ชักจะคุ้นๆ
จางหมิงกำลังคิดว่าเคยเห็นห้องลักษณะนี้ที่ไหนและเมื่อมันคิดได้สิ่งที่คิดไว้ก็ได้เกิดขึ้นพอดี
ซ่า!
น้ำเทลงมาจากท่อขนาดใหญ่ พื้นห้องกับเพดานดูจะสูงกว่ากันมากก็จริงแต่คงไม่นานที่ระดับน้ำจะท่วมถึง ในเมื่อไม่กี่วิหลังจากนั้นระดับน้ำก็ขึ้นมาถึงข้อเท้าแล้ว
กับดักดาษๆที่มีอยู่ทั่วไป แต่ก็ยังคงใช้ได้เสมอ
จางหมิงเดินไปเคาะพนังห้องดู เสียงที่สะท้อนกลับมานั้นทึบทึมจนหัวคิ้วมันขมวดมุ่น เพราะสิ่งที่ได้ฟังนั้นแสดงให้เห็นแล้วว่ากำแพงนี้หนาเพียงใด อย่างน้อยๆก็ต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งเมตร ฉะนั้นหนทางรอดเดียวที่มีก็คงจะเป็นตะแกรงด้านบน
“ผนังหนาเกินจะทำลาย ไม่แน่ว่าทางรอดคงเป็นบนนั้น”
“อะไรที่ว่าไม่แน่ มันต้องเป็นบนนั้นอยู่แล้วสิ” หลินเย่ถงตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะควบรวมพลังปราณเพื่อใช่วิชาตัวเบาทะยานขึ้นไปก่อนจะใช้วิชาผ่าสวรรค์ชกออกไปอย่างไม่ออมแรง
ตะแกรงที่ดูจะเก่าแก่ตอนนี้กลับไม่ได้รับผลอะไรเลย ทั้งยังดีดสะท้อนให้ผู้โจมตีกลับลงมาเบื้องล่าง
เสียงโครมใหญ่กับสภาพของลูกหมาตกน้ำนั้นทำเอาจางหมิงหัวเราะลั่น แม้จางซิ่งก็ยังแอบยิ้มอยู่กลายๆ
“เป็นอย่างไรล่ะ ไหนที่ว่าทางออกต้องอยู่ด้านบนแน่ๆ” เมื่อเสียงหัวเราะจบลงก็ยังไม่วายยิ้มเยาะอีกฝ่ายเพิ่มเข้าไปอีก
“ฮึ่ม! พลังที่ข้าใช้เพียงแค่ไม่อาจทำลายมันได้ก็เท่านั้น!”
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่เถียงหรอกนะ ว่าแต่ทำไมเจ้าไม่ใช้วิชาอื่นบ้างนอกจากผ่าสวรรค์”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” หลินเย่ถงทวนคำถามอย่างไม่แน่ใจ
“นายน้อยขอรับ ปกติในระดับต่ำของระดับขั้นพลังผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ไว้มากนัก เพราะจะอย่างไรก็ไม่อาจแสดงพลังได้เต็มที่เมื่อไม่อาจเก็บปราณส่วนเกินที่ใช้ออกมาได้ ทุกคนจึงได้เน้นไปที่การฝึกเพิ่มพลังปราณเป็นหลัง อย่างน้อยก็มีติดตัวกันคนละวิชาสองวิชาก็ถือว่ามากแล้ว หากนับรวมวิชาตัวเบากับทักษะป้องกันเข้าไปอีก นั่นย่อมหาได้ยากยิ่งสำหรับการพบเจอผู้ฝึกฝนวิชายุทธ์เป็นจำนวนมาก” จางซิ่งได้อธิบายให้จางหมิงฟังเมื่อเห็นได้ชัดว่านายน้อยของตนไม่ได้เข้าใจในเรื่องของการฝึกยุทธ์มากเท่าไหร่
“อ่อ” จางหมิงเพียงรับคำแล้วยักไหล่ก็เท่านั้น
ตอนนี้ระดับน้ำสูงจนขาลอยขึ้นจากพื้น ทุกวิชาที่มีได้ช่วยกันระดมเข้าใส่ตะแกรงด้านบนแต่ก็ไม่อาจทำให้เกิดความเสียหาย ยิ่งระดับน้ำเพิ่มสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น มีเพียงจากหมิงที่ยังคงนิ่งเงียบเมื่อกำลังคิดหาทางรอดที่เป็นไปได้
น้ำสูงถึงระดับที่สามารถแตะตัวตะแกรงด้านบนได้แล้ว จางหมิงได้ลองสัมผัสและถ่ายเทพลังเข้าไปหากแต่มันก็ถูกดีดกลับออกมา นั่นหมายถึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังปราณในการทำลายมัน แม้แต่หลินเย่ถงยังคิดได้ถึงข้อนี้เช่นกัน
“เจ้าลอดผ่านตะแกรงเข้าไปด้านบนหน่อยสิ เผื่อจะมีอะไรบนนั้นช่วยเราได้บ้าง” จางหมิงบอกแก่หญิงสาวคนเดียวในที่นี้เมื่อเธอมีรูปร่างเล็กที่สุด
“จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อช่องว่างมันเล็กแค่นั้น”
“ของเจ้าก็เล็ก นั่นก็น่าจะผ่านได้อยู่แน่ๆ”
“อะ อะ อะไรเล็กกัน ฮึ! ถ้าเจ้าคิดว่ามันเข้าไปได้เจ้าก็ไปเองสิ” เธอสะบัดหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ
“ข้าก็แค่พูดเล่นแก้เครียดน่า อายุพียงนี้ เจ้ายังโตได้อีกเยอะสาวน้อย”
โดยไม่สนใจเสียงโวยวายที่ตามมา จางหมิงได้ลองใช้วิชายุทธ์ของมันในการทำลายเพดานที่ยึดติดกับตะแกรงเหล็กแทน แต่ผลก็ยังคงออกมาในรูปแบบเดียวกัน
ในหัวของมันมีวิธีเอาชนะกับดักร้อยแปด หากกลับไม่สามารถแก้ปัญหากับดักง่ายๆนี้ได้
คิดแล้วก็น่าเจ็บใจอย่างที่สุด!
เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ น้ำที่เทลงมาก็เช่นกัน มันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล ระดับของน้ำตอนนี้เหลือเพียงส่วนหัวที่พ้นน้ำชิดกับเพดานห้อง แม้จะรู้ว่าถ้าสถานการณ์อันตรายจนถึงชีวิตจะถูกช่วยโดยแก้วผลึกวารี หากพวกมันก็ยังอยากที่จะสอบผ่านอยู่ดี
“โอ๊ย! ถ้าจะให้ทางออกที่ป้องกันปราณได้แบบนี้ไม่สู้ดึงพลังปราณออกไปเหมือนห้องก่อนหน้าเลยเล่า”
“ใจเย็นๆก่อนขอรับคุณหนูหลินเย่ถง” จางซิ่งปรามคนที่ดูใกล้จะสติแตกเต็มที
“ข้าบอกให้เรียกชื่อข้าก็พอไง! แล้วนี่จะให้ข้าเย็นอยู่ได้อย่างไร ในเมื่ออีกไม่กี่นาทีการทดสอบนี้พวกเราคงไม่ผ่านเสียแล้ว”
“ถึงเป็นเช่นนั้นก็สงบใจเถอะขอรับ อย่างน้อยก็ช่วยกันคิดแก้ปัญหา”
น้ำเพิ่มระดับสูงขึ้นจนแทบชิดปลายจมูก พวกมันทำได้ตอนนี้เพียงแค่ตะเกียกตะกายเข้าไปใกล้ช่องว่างของตะแกรงเพื่อหายใจ ไม่นานความสูงของน้ำก็มิดห้องลมหายใจที่แม้จะกลั้นได้ในระยะเวลาหนึ่งตอนนี้แทบจะไม่ช่วยอะไรเลย น้ำสูงเลยตะแกรงขึ้นไปแล้ว ช่องว่างที่พอจะหาได้ก็ไม่มีอีกต่อไป
จางหมิงเป็นคนแรกที่ใกล้จะหมดลม มันรู้สึกได้ถึงน้ำที่ทะลักเข้ามาในปอด ร่างกายจมดิ่งลงพื้นด้านล่างอย่างช้าๆ จางซิ่งที่เห็นพยายามไขว่ขว้าตัวมันแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมากนัก หลินเย่ถงที่ยังคงมีสภาพแข็งแรงกว่าคนอื่นก็ทำได้แค่เพียงพยายามขยับลูกกรงที่ไม่แม้จะเขยื้อนนั้น
พลังปราณที่ว่าทรงพลังไม่ได้ช่วยให้พวกมันอยู่รอดได้ในสถานการณ์แบบนี้เลย
+++