ตอนที่ 29 ความจริงเบื้องหลัง
29
รอยบนกำแพงที่ทำให้ภาพเกิดความเสียหายบางทีอาจไม่ได้มาจากกาลเวลาเพียงอย่างเดียว นั่นคงรวมถึงกลไกกับดักบางอย่างด้วยที่ทำให้ภาพเหล่านั้นไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นหินประดับเหล็กแหลมคมที่เคลื่อนตัวลงมานี้ เสียงครูดไถลกับผนังนั้นได้ยินชัดเจนและทำให้ภาพเก่าแก่บางส่วนหลุดร่อนออกมาเป็นฝุ่นผง
“มันใกล้เข้ามาแล้วนะ” หลินเย่ถงแม้จะสงบใจได้บ้างแล้วแต่ก็ยังคงตื่นกลัว
“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร”
“แต่... แต่มันจะดีกว่าไหมหากเราเคลื่อนหินที่ถูกต้องอีกครั้ง”
“ข้าว่าถ้าทำแบบนั้นกับดักจริงๆคงทำงาน ก่อนอื่นเจ้าดูบนผนังห้อง รอบครูดแปลกๆเหล่านั้นมันลงมาเพียงไม่มาก แสดงว่าหนามแหลมนั่นคงเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อให้เราเคลื่อนกับดักที่แท้จริง มันก็แค่กับดักง่ายๆ เจ้าก็อย่าได้เต้นตามมากนัก”
จางซิ่งมองดูนายน้อยของตนเองอย่างเลื่อมใส อย่างน้อยตัวมันหากไม่ได้มองตามสิ่งที่นายน้อยของมันพูดก็ไม่อาจรู้ได้ว่ากับดักนี้เพียงแค่หลอกลวงเท่านั้น
ครึกๆ
แผ่นหินด้านบนเคลื่อนตัวช้าลงก่อนจะหยุดนิ่งเหนือหัวไปไม่มากนัก หลังจากนั้นผนังที่ถูกวาดเป็นรูปมังกรก็ได้เลื่อนออกเป็นช่องทางเล็กๆให้ลอดผ่านไปได้ นั่นนับว่าความคิดของจางหมิงถูกต้องอย่างแท้จริง
หลินเย่ถงที่กำลังจะกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจพลันต้องหยุดลงเมื่อเพิ่งนึกไว้ว่าเหนือหัวขึ้นไปคือหนามแหลม เธอทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างดีใจก่อนจะมุดลอดช่องว่างนั้นก่อนใคร
“พวกเจ้าก็รีบมาเร็ว”
“ตระกูลหลินสอนสตรีทุกคนแบบนี้หรืออย่างไร” จางหมิงหันไปถามจางซิ่งที่อยู่ด้านข้าง
“เอ่อ ข้าคิดว่าไม่นะขอรับ แต่คุณหนูตระกูลหลินคนนี้ก็ช่างแปลกจริงๆนั่นล่ะ”
เจ็ดชั่วโมงหลังจากการทดสอบเริ่มขึ้น
ภายนอกมีคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกถูกนำออกมามากกว่าครึ่ง ผู้คนที่ยังคงอยู่รอดเหลือไม่เกินสามร้อย และยังคงมีผู้ที่ทยอยถูกพาออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ศิษย์พี่ ข้าว่าการทดสอบครั้งนี้โหดหินกว่าที่ผ่านมามากไปหน่อยกระมัง”
เป็นจางอี้เหลียนที่เอ่ยปากถาม เนื่องจากคนในตระกูลของมันถูกพากลับออกมาแล้วถึงสองคน และดูเหมือนว่าเหล่าพี่น้องร่วมสำนักรอบข้างก็ต่างมีความเห็นต่อเรื่องนี้ไม่ต่างกัน
“ความจริงนี่ไม่ใช่ความเห็นของเหล่าอาวุโสที่ร่วมกันสั่งการตามที่ได้เผยแพร่ออกไปภายนอก หากเป็นคำสั่งโดยตรงจากท่านเจ้าสำนักเอง ข้าที่เป็นถึงศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสก็เพิ่งจะรู้ก่อนมาคุมสอบรอบนี้นี่เอง” ศิษย์สำนักพยัคฆ์อัคคีที่สวมชุดแดงกล่าวตอบ มันมองไปยังเหล่าเด็กๆที่มีความสามารถเหล่านั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย
“เจ้าสำนักไม่ปรากฏตัวออกมาห้าสิบกว่าปีแล้วถึงกลับออกมาสั่งการด้วยตนเอง ไม่แน่ว่าการประลองห้าสำนักนี้คงไม่ใช่เพียงแค่จัดอับดับเหมือนที่เรารู้เสียแล้ว ศิษย์พี่คิดเห็นเหมือนข้าหรือไม่”
“จะอย่างไรนั่นมันก็เป็นเรื่องในอีกสามปีให้หลัง พอถึงเวลาพวกเราก็คงรู้กันเอง ตอนนี้พวกเจ้าไปดูคนเจ็บเถอะ อย่างน้อยเด็กเหล่านี้ก็มีพรสวรรค์มากพอที่จะผ่านการทดสอบคราวหน้า อย่าได้ละเลยพวกมันไป”
“ขอรับ”
ภายนอกที่แสนวุ่นวายช่างต่างกับกลุ่มของจางหมิงที่อยู่ภายใน พวกมันกำลังสุขสบายกับเตียงนุ่มๆพร้อมทั้งอาหารเลิศรส
หากถามว่าก่อนหน้านั้นห้าชั่วโมงเกิดอะไรขึ้นก็คงต้องเล่าย้อนความไปยังครั้งที่ประตูภาพมังกรเปิดออก ทั้งจางหมิงและจางซิ่งได้ติดตามหลินเย่ถงเข้าไป สิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือประตูนับร้อยที่เรียงรายกันมากมายรอบห้องทรงกลม บานที่สูงขึ้นไปก็มีบันไดหินอันแข็งแรงให้ปืนป่ายเลือกสรร
วงกตจะเหมือนดังชื่อจริงๆก็คราวนี้
ครั้งแรกจางหมิงเป็นผู้เลือกหากก็โผล่ออกมาที่เดิมจากประตูที่ไม่ไกลนัก ครั้งที่สองเป็นจางซิ่งที่เข้าไปเจอกับกับดักนับร้อยจนพวกมันต้องถอยร่นออกมา และเมื่อคราวหลินเย่ถงได้เลือกบ้างด้านในกลับเป็นห้องที่ครบสมบูรณ์ทั้งเตียงตู้พร้อมเครื่องคาวหวาน และทุกอย่างภายในที่ดูจะมีราคาแพงจนจางหมิงตาลุกวาว
หลินเย่ถงแม้ไม่ใช่คนประเภทใช้ความคิดมากนักในการตัดสินใจ หาเรื่องดวงนั้นจางหมิงยังแอบอิจฉา
เมื่อตรวจสอบอาหารว่าไม่มีพิษพวกมันจึงได้ลงมือทาน คาดว่านี่คงเป็นหนึ่งในของรางวัลของการทดสอบ หากแต่อาหารเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้อิ่มแม้มีรสชาติดีเยี่ยมก็ตาม
ข้าวของภายในห้องราวกับภาพลวงตา แจกันทองเหลืองที่จางหมิงแอบเก็บเข้ากระเป๋าก็กลับไปอยู่ที่เดิมทันทีเมื่อหายลงไปในอัญมณีผนึก และทางที่จะกลับออกไปก็ราวกับภาพลวงตาเช่นเดียวกัน
ประตูที่เคยเข้ามาตอนนี้เป็นเพียงแค่ภาพวาดบนผนัง ผ่านไปราวสองชั่วโมงผู้ที่ถอดใจในการหาทางออกก็คือหลินเย่ถงอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนที่เธอจะกระโจนลงบนเตียงนุ่มพูดงึมงำไม่ได้ศัพท์ก่อนจะงีบหลับไป
“ข้าล่ะสงสารสามีของนางในอนาคต” จางหมิงได้เปรยๆไว้แบบนั้น
ตอนนี้ล่วงเลยไปกว่าห้าชั่วโมง หากนับรวมเวลาทดสอบที่ล่วงเลยผ่านก็เจ็ดชั่วโมงและใกล้จะเข้าชั่วโมงที่แปดเข้าไปทุกที แต่ตอนนี้เด็กสามคนสุมหัวกันบนเตียงใหญ่และหลับเป็นตาย
หลินเย่ถงที่ไม่แม้จะกล่าวว่าตอนที่จางซิ่งแตะตัวโดยไม่บอกกล่าวก็คงไม่ถือสาเพื่อนร่วมเตียงต่างเพศ จางหมิงยิ่งแล้วใหญ่เพราะมันไม่สนใจเด็กน้อยเหล่านี้อยู่แล้ว จางซิ่งที่แม้จะตะขิดตะขวงใจบ้างแต่ความง่วงที่อดนอนจากการทดสอบที่หนึ่งและสองรวมกันก็ทำให้ตรรกะในใจพ่ายแพ้
“เจ้าเด็กพวกนี้มัน!” เสียงคำรามดังมาจากมุมหนึ่งของโต๊ะตัวยาวในสถานที่ที่ไกลออกไป
ที่แห่งนี้คืออาณาเขตใจกลางสำนักพยัคฆ์อัคคีซึ่งถือว่าสำคัญไม่น้อยกว่าเหล่าพื้นที่เขตหวงห้ามต่างๆ เนื่องด้วยที่นี่คือห้องประชุมลับของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย
“ก็ขึ้นอยู่กับดวงของพวกมัน จะเป็นอะไรไปเล่า” อีกเสียงไม่ไกลเอ่ยขัด
“พวกเจ้าก็ดูพวกมัน! นี่ยังเห็นว่าการทดสอบนั้นศักดิ์สิทธิ์ได้อีกหรือ”
“การทดสอบนี้ท่านเจ้าสำนักเป็นผู้สร้างกลไกทั้งหมดด้วยตนเอง ไม่แน่ว่ามันอาจมีกลไกบางอย่างที่นั่น”
“เหอะ! ก็ขอให้เป็นแบบนั้น”
วงกตพลังปราณทั้งสิบแปดแห่งมีอยู่หกแห่งที่อยู่ในการควบคุมของสำนัก สี่แห่งนั้นกำลังเปิดทดสอบ อีกสองได้ปิดผนึกอยู่เช่นเดิม ส่วนที่เหลือไร้การควบคุมหากก็มีผู้เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เมื่อสามารถควบคุมได้นั่นหมายถึงเหตุการณ์ภายในก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสามารถมองเห็น แต่ก็ต้องมีตัวช่วยอย่างหนึ่ง
แก้วผลึกวารี นั่นคือตัวเชื่อมต่อ
การทดสอบนี้ความจริงคือการเอาชีวิตรอด เวลากำหนดยี่สิบชั่วโมงนั้นเพียงเพื่อตรวจสอบดูอัจฉริยะภาพของแต่ละคน หากอยู่ได้นานเกินสิบชั่วโมงนั่นนับว่ากลายเป็นศิษย์สำนักได้อย่างแท้จริง ส่วนเรื่องการกำหนดคะแนนนั่นย่อมเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
“เมื่อเวลาผ่านไปกับดักก็จะทำงาน ที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ หากแต่ห้องที่พวกมันอยู่นับว่าสะดวกสบายที่สุดอย่างจริงๆ เด็กสาวคนนั้นก็ช่างมีดวงเหลือเกิน” เสียงตรีดังขึ้นมาบ้าง
ข้างหน้าของเหล่าผู้อาวุโสมีแก้วผลึกว่ารีขนาดใหญ่อยู่ หากพวกมันต้องการดูห้องทั้งหนึ่งแสนสามหมื่นห้องที่เจ้าสำนักสร้างขึ้นก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น แม้จะไม่รู้ว่าทำไมต้องสร้างไว้มากมายขนาดนั้นก็ตาม หากนั่นก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง
“อย่าเพิ่งตัดสินใจ เด็กกลุ่มนี้เพียงผ่านกับดักแค่ครั้งสองครั้ง นั่นไม่ถือว่านับเป็นอะไรได้”
“แต่ข้าว่าเด็กอีกคนก็น่าสนใจ พลังพอรับได้อีกทั้งมีความรู้อยู่มาก”
“เด็กอีกคนก็ไม่เลวนะ แก้ไขปัญหาได้ดีแล้วดูจะมีความเป็นผู้นำสูง เสียดายแต่ว่าอ่อนแอไปสักหน่อย”
เจ็ดอาวุโสและผู้คุมสี่ตำหนักที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ได้หยุดฉะงักลงฉับพลันก่อนจะมองดูภาพตรงหน้าด้วยความสนใจ
“กับดักทำงานแล้ว มาดูกันว่าเด็กพวกนี้จะผ่านไปได้อย่างไร”
+++