ตอนที่ 28 กับดัก
28
“นั่นมัน...”
“ก็คงใช่” จางหมิงตอบกลับหลินเย่ถงที่พูดแผ่วในลำคอ
ประตูบานใหญ่เหนือหัวสว่างโร่ ดูเหมือนมันจะอยู่บนนั้นมานานแล้วและดูจะไม่ได้ขยับเขยื้อนจากที่เดิม หากพวกมันสังเกตเพดานที่พุพังในครั้งแรกอีกครั้งคงจะผ่านการทดสอบนี้ได้ไม่ยาก
กับดักกลไกมากมายในอดีตมันก็ผ่านมาเยอะ แต่เมื่อเจอกับกับดักพลังปราณแบบนี้ราวกับมันเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งออกมาเผชิญโลก
ทั้งน่าหงุดหงิดแล้วก็น่าตื่นตาตื่นใจไปพร้อมๆกัน
พลังที่เหลือกันคนละไม่มากทำให้พวกมันตัดสินใจพุ่งทะยานด้วยวิชาตัวเบาของแต่ละคน แม้ตอนแรกจะวิ่งด้วยเท้าเพื่อรักษาพลังปราณภายในไว้ หากแต่เมื่อหนทางรอดอยู่ข้างหน้าพวกมันจะถนอมพลังเหล่านั้นไปทำไมกัน
ยิ่งเข้าใกล้ประตูแสงสว่างยิ่งแผดจ้า ร่างทั้งสามพุ่งตรงไปก่อนจะถูกแสงเหล่านั้นครอบคลุมรอบตัว ในคราแรกก็ยังคงรู้สึกอบอุ่นดีอยู่หรอก แต่ไม่นานร่างกายราวกับถูกตรึงให้อยู่กับที่
แสงจ้าที่มีหายไปเพียงไม่กี่ช่วงลมหายใจ ร่างที่ควรลอยบนอากาศตอนนี้กลับยืนอยู่บนพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ทางเดินยาวดังครั้งที่ผ่านมา หากเป็นห้องกว้างที่เต็มไปด้วยภาพวาดมากมายบนผนังหรือกระทั่งบนเพดาน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” หลินเย่ถงพยายามขยับตัวแต่เท้ากลับถูกยึดไว้บนพื้นด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น
จางหมิงที่ไม่ต่างกันนักก็ได้ก้มลงสำรวจเท้าของตนเองบ้างแต่ก็ไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ ขาที่ไม่อาจก้าวได้นั้นรู้สึกราวกับว่าถูกบางอย่างตอกติดเอาไว้พร้อมทั้งกระแสปราณที่ไหลลงไปบนพื้น
“จางซิ่ง นี่คืออะไร” มันถามเมื่อหันไปเห็นอีกฝ่ายที่ยังคงใจเย็นอยู่ได้
“ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่มีการทดสอบของสำนักอื่นเป็นเช่นนี้บ้าง คาดว่าใต้เท้าของเรานี่อาจจะเป็นศิลาดูดซับปราณ เพื่อป้องกันการใช้พลังปราณของผู้บุกรุกมันจะทำการดูดซับพลังปราณของเราออกไปและจะคลายความสามารถลงเมื่อพลังปราณในร่างของผู้ที่ติดกับดักอยู่ในระดับที่ไม่สามารถแสดงอำนาจของวิชายุทธ์ได้ บางครั้งสิ่งนี้ก็ถูกใช้เพื่อจับกุมผู้บุกรุกขอรับ”
“เหอะ! มันก็แค่กับดักห่วยๆดีๆนี่เอง” หลินเย่ถงเค้นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากอยู่นิ่งๆ
จางหมิงที่ผ่านร้อนหนาวมามากกว่าทั้งสองย่อมมองสถานการณ์ออกมากกว่า มันรู้ว่าห้องเมื่อครู่เพียงแค่ทดสอบความอดทดเท่านั้น แม้จะผ่านไปได้ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่ประตูนี้ก็ต้องพบกับกับดักที่คล้ายๆกันอย่างแน่นอน เพราะหากต้องการทดสอบไหวพริบของผู้เข้าทดสอบจริง การมีพลังปราณไว้ใช้ก็คงทำให้ผู้มีวิชาพิเศษได้เปรียบเกินไป
แต่นั่นก็ดี... หากกับดักหลังจากนี้มาในรูปแบบธรรมดา ขอแค่ได้พบก็คงไม่ยากเกินความสามารถของมัน
เวลาผ่านไปไม่นานพวกมันก็เริ่มขยับได้ทีละคน ผู้ฝึกยุทธ์กลายมาเป็นเพียงคนธรรมดาก็พลอยทำให้พวกมันรู้สึกแปลกๆอยู่บ้างแต่ก็พอจะทำใจได้เมื่อคราแรกพลังเหล่านั้นก็ใกล้จะหมดอยู่แล้ว
ตอนนี้จางหมิงได้มีโอกาสสำรวจภาพบนผนัง นี่ราวกับเป็นรูปแบบของอารยธรรมโบราณสักแห่ง มีภาพของการกสิกรรมโดยการใช้ทาส การบูชายันต์ การบวงสรวง รวมไปถึงภาพของสิ่งที่คล้ายปีศาจ และสัตว์นานาชนิด แม้หลายภาพจะไม่ได้สมบูรณ์นักเพราะการเวลาทำให้มันพุพังแต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็เห็นได้ซึ่งฝีมือของจิตรกร
“สองชั่วโมงที่เหนื่อยแทบตายของรางวัลกลับเป็นภาพวาดพังๆ จะมีอะไรน่าดีใจกว่านี้อีกไหม” หลินเย่ถงกล่าวประชด แต่คำพูดเหล่านั้นทำให้เด็กชายทั้งสองต้องมองอย่างระอา
ความจริงแล้วคนที่ดูจะหาอาการเหนื่อยอ่อนไม่ได้ก็คงจะเป็นเด็กสาวคนนี้ ไม่รู้ว่าเพราะวิชาเสริมกายาหรือเพราะร่างกายของเธอแข็งแรงเกินไปดี
เด็กชายตระกูลจางทั้งสองรู้สึกมีปมด้อยขึ้นมานิดๆ
“จะอย่างไรก็แล้วแต่ เราต้องไปกันต่อ มิเช่นนั้นสิบแปดชั่วโมงที่เหลือคงไม่ได้อะไรเลย” จางหมิงพูดพร้อมกับเดินไปที่ผนังด้านหนึ่ง
ภาพวาดแม้จะน่าสนใจแต่ก็เป็นเพียงสิ่งที่ตกค้างจากยุคใดยุคหนึ่งหรืออาจเป็นเพียงสิ่งที่วงกตแห่งนี้สร้างขึ้น ถึงอย่างไรก็มีตำแหน่งที่แปลกอย่างเห็นได้ชัดอยู่ นั่นคือภาพวาดที่ดูจะสมบูรณ์กว่าภาพอื่นๆอีกทั้งสีสันสะดุดตากว่าปกติ จะว่าไม่แปลกก็คงไม่ได้แล้ว
จางหมิงเข้าไปหยุดตรงหน้าภาพนั้น มันคือภาพวาดมังกรที่ลอยอยู่บนเมฆ แผ่นหินที่ถูกวาดภาพทับลงไปไม่ได้เสมอกันนัก มันมีส่วนที่ยื่นออกมาข้างหน้าเก้าก้อน ตามลักษณะเด่นของมังกรทั้งเก้า มองดูก็รู้ว่ามันเป็นกลไกอะไรสักอย่าง และคงจะมาพร้อมกับกับดักแน่ๆ
“นี่คงจะเป็นทางออกกระมัง”
เสียงเด็กสาวดังมาจากด้านหลังแต่จางหมิงก็ไม่ได้หันไปมอง เพราะแค่ฟังจากเสียงฝีเท้าหนักๆเกินหญิงก็พอจะรู้ว่าเป็นใครที่เข้ามาใกล้
“ก็คงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้”
“แล้วมันให้ทำอะไรล่ะ” เธอยังคงถามต่อ
“นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังคิด หากเจ้าไม่รู้ก็ช่วยเงียบที”
“เหอะ!” หลินเย่ถงเพียงเค้นเสียงออกมาจากลำคอหากก็ไม่ได้รบกวนอะไรอีกอย่างเชื่อฟัง แม้ไม่รู้ว่าทำไมคำสั่งนั้นถึงได้บังคับเธอได้ก็ตาม
“เขาเป็นกวาง หัวเป็นอูฐ ดวงตาราวปีศาจ คอเชิดดั่งงู ท้องลวดลายเช่นหอยแครง เกล็ดของปลาตะเพียน มีกรงเล็บเหมือนเหยี่ยว ฝ่าเท้าดังเสือ และหูของวัว หินเหล่านี้ล้วนจงใจวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะนัก” จางซิ่งที่มองดูก็มองออกเช่นกันว่าหินทั้งหมดล้วนแล้วแต่วางไว้บนลักษณ์ทั้งเก้าของมังกรทั้งสิ้น
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
“แม้จะไม่แน่ใจ แต่ข้าคาดว่าเราคงต้องเคลื่อนหินเหล่านี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าก้อนไหนบ้าง นายน้อยล่ะขอรับ”
“...ก็พอรู้”
จางซิ่งเผยดวงตาวาวด้วยความแปลกใจและนึกไม่ถึง หลินเย่ถงที่อยู่ไม่ไกลพอได้ยินก็รีบวิ่งกลับมาใกล้เพื่อรอฟังคำตอบนั้น
“เจ้าคงไม่ได้โกหกกระมัง” เด็กสาวยังคงแคลงใจ
“โกหกไปแล้วได้อะไรขึ้นมากัน ...หากพวกเจ้าจะสังเกตก็คงพบความจริง แต่ข้าคิดว่ามันคงถูกมองข้ามเสียมากกว่า” จางหมิงถอนหายใจน้อยๆกับเด็กใคร่รู้ทั้งสองที่พร้อมกันจ้องมองตน
“นายน้อยโปรดชี้แจง”
“ภาพต่างๆที่ดูไม่สลักสำคัญบนผนังนั่นปะไร ภาพการบูชาต่างๆล้วนแล้ววาดถึงสิ่งมีชีวิตบนตัวของมังกรทั้งสิ้น” มันอธิบายไปเล็กน้อยทั้งสองก็ได้หันมองรอบตัว
ความจริงแล้วจางหมิงได้เล็งเห็นแล้วว่าภาพที่เกี่ยวกับมังกรทั้งหมดล้วนมีลายเส้นที่วิจิตรกว่าภาพอื่นๆ หากนั่นจะไม่มีความหมายก็คงเป็นไปได้ยาก
“กวาง ปีศาจ เหยี่ยว เสือ และวัว” หลินเย่ถงพูดออกมาตามภาพที่เห็นที่ละคำ
“แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบของทั้งหมด” จางหมิงได้เสริมต่อ
“แล้วมันจะเป็นอะไรอีกเล่า”
“เจ้าก็ลองหัดคิดด้วยตนเองเสียบ้าง... แล้วเจ้าคิดเช่นไร” คราแรกมันคล้ายต่อว่าอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้จริงจังนักก่อนจะหันไปถามความเห็นของผู้มากความรู้อีกคน
อย่างน้อยตอนนี้ด้วยความรู้ในโลกแห่งปราณ จางหมิงก็ยอมรับในตัวจางซิ่งว่ามีมากกว่ามันนัก
“หนึ่งคือทางออก และอีกหนึ่งคือกับดัก เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่ขอรับ”
“อืม... ที่ข้าบอกว่ามันไม่ใช่คำตอบทั้งหมดเพราะไม่แน่ใจว่าลักษณ์ตามสัตว์ที่อยู่บนผนังสมควรให้ขยับก้อนหินหรือควรเป็นลักษณ์ที่ไม่มีอยู่บนนั้นกันแน่”
“พวกเจ้าจะคิดมากไปทำไมเล่า มันก็ต้องเป็นเหมือนสิ่งที่อยู่บนกำแพงอยู่แล้ว!”
หลินเย่ถงที่เบื่อกับความคิดมากของทั้งสองจึงได้ผลักจางหมิงออกพ้นทางแล้วกดลงบนก้อนหินทั้งห้าก้อนที่มั่นใจนั้นทันที คล้อยหลังได้ยินเพียงเสียงตะโกนห้ามที่ไม่ได้อยากสนใจนัก
ครืน!
เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านบนทำให้ทุกคนมองตาม เพดานที่ปรากฏรูปวาดหลายแบบตอนนี้มีหนามแหลมโผล่ออกมา ก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวลงมาอย่างช้าๆ
“มะ มันคงไม่อันตรายใช่ไหม” คนที่ตกใจที่สุดก็คงไม่พ้นผู้ที่ทำให้กับดักทำงาน
“มันจะไม่เป็นอันตรายจริงอย่างเจ้าว่าหากพวกเรามีพลังปราณให้สร้างเกราะป้องกันตนเอง หากกล่าวว่าพวกข้าคิดมากตัวเจ้าก็เป็นคนที่ไม่รู้จักคิดนั่นล่ะ” จางซิ่งที่ปกติสุภาพถึงกับถลึงตาใส่ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า
หลินเย่ถงทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่ยิ้มเจื่อนไปให้โดยไม่โต้ตอบอะไร เพราะจะอย่างไรเมื่อผิดเธอก็ยอมรับความผิดนั้นตามตรง
“ความจริงมันก็ไม่ได้อันตรายอะไรหรอก”
เสียงของจางหมิงดังขึ้นขัดขวางความร้อนใจของทั้งสองคน แม้ไม่เข้าใจว่าหนามแหลมที่เคลื่อนตัวลงมาหาอย่างช้าๆนั่นจะไม่อันตรายได้อย่างไรก็ตาม หากเสียงนิ่งเรียบที่ไม่ค่อยจะได้ยินนั้นทำให้ใจสงบลงไม่น้อย
+++