ตอนที่ 27 การทดสอบสุดท้าย
27
“ในมนุษย์ไม่มีอะไรแบบนี้หรือ”
“อันนี้ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ เพราะตามที่มีในบันทึกไม่ได้กล่าวถึง แต่ความเป็นไปได้นั้นต่ำมากเนื่องจากการสืบทอดปราณได้มาตามสายเลือดและอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ผิดก็แต่ว่าจะนำมาใช้ได้หรือไม่ ซึ่งนั่นต่างกับสัตว์ที่แกนปราณเกิดจากความผิดปกติของธรรมชาติ”
“พอจะเข้าใจ แต่ก็... เอาเถอะ เรื่องนั้นช่างมันก่อน ดูเหมือนการทดสอบสุดท้ายจะเริ่มแล้วล่ะ”
ศิษย์สำนักพยัคฆ์อัคคีชุดแดงเดินไปข้างหน้ากลุ่มผู้ทดสอบ มันเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีที่ดูจะเป็นมิตร หน้าตาก็คมคายดีอยู่หรอกหากรอยบากข้างแก้มนั่นทำให้ดูแล้วหน้ากลัวไม่น้อย
“ผู้ที่เหลืออยู่ที่นี่ทุกคนคือว่าที่ศิษย์ของสำนักพยัคฆ์อัคคี ตามจริงแล้วการทดสอบมีเพียงแค่สอง หากเหล่าผู้อาวุโสได้ตัดสินใจในการทดสอบอีกหนึ่งเพื่อค้นหาเหล่าผู้มีความสามารถที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วการทดสอบที่สามจึงมีความยากเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนั้นทุกคนที่นี่สามารถจับกลุ่มเข้าทดสอบได้เช่นกัน แต่นั่นมีเงื่อนไขอยู่ว่าความยากที่ได้รับก็จะมากขึ้นตามจำนวนคนในกลุ่มด้วย
แก้วผนึกวารีนั้นจะบันทึกคะแนนในการแก้ปัญหาและของรางวัลในช่วงเวลายี่สิบชั่วโมง สถานที่ทดสอบคือวงกตพลังปราณที่ยกระดับขึ้นเป็นระดับที่สองในรูปแบบวงกตที่แท้จริง ภายในเต็มไปด้วยกับดักมากมาย แต่ครั้งนี้หากเกิดอันตรายถึงชีวิตแก้วผลึกวารีจะทำงานแล้วนำพวกเจ้าออกมา ดังนั้นเมื่อพบเจอสิ่งใดก็จงใช้ความสามารถให้เต็มที่อย่าได้กังวล”
การทดสอบเริ่มขึ้นเมื่อศิษย์ชุดแดงแห่งสำนักพยัคฆ์อัคคีกล่าวจบ มีคนจับกลุ่มกันบ้าง แม้ส่วนมากจะต้องการไปคนเดียวก็ตาม ระยะห่างจากการเข้าไปภายในสถานที่ทดสอบห่างกันคนละไม่กี่อึดใจ และจางหมิงก็ได้เลือกเข้าไปในอันดับท้ายๆอีกตามเคย โดยมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มเข้ามาอีกสองคน
ตัวมันก็ไม่รู้จะทำเช่นไรกับทั้งสองดี
หนึ่งคือจางซิ่งที่ไม่ยอมปล่อยมันไปเองแน่ๆ อีกหนึ่งคือเด็กสาวท่าทางก้าวร้าวขัดกับความน่ารักของตนเอง
จางหมิงจำยอมอย่างช่วยไม่ได้ที่ต้องมีผู้คนติดตามเข้าไป อย่างเดียวที่มันหัวเสียคือเมื่อได้ของรางวัลพวกมันต้องแบ่งกันด้วย
อนาคตของหัวหน้าโจรอย่างมันชักจะไม่รุ่งเสียแล้ว
แสงสว่างวาบก่อนที่ภายในถ้ำจะเปลี่ยนไป สิ่งที่พวกมันเห็นคือพื้นที่ภายในปราสาทรกร้างเก่าแก่ โถงทางเดินยาวไปข้างหน้าปูลาดด้วยพรมขาดวิ่น พร้อมทั้งชุดเกราะแตกหักไม่สมบูรณ์เรียงรายตลอดทาง แก้วผลึกวารีที่ถืออยู่ในมือตอนนี้หายเข้าไปกลางฝ่ามือก่อนจะปรากฏจุดสีแดงขึ้นมาจุดหนึ่ง
กึง!
เสียงนั้นเกิดจากทักษะผ่าสวรรค์ของหลินเย่ถงที่ชกลงไปบนประตูทางด้านหลัง สายตาหงุดหงิดบ่งบอกได้ชัดว่าสิ่งที่พบไม่ได้เป็นอย่างใจ
“ประตูมันถูกผนึกด้วยปราณ ข้าไม่สามารเปิดได้”
“คาดว่าจำต้องเดินไปตามทางข้างหน้าขอรับคุณหนูหลิน” จางซิ่งโค้งให้อีกฝ่ายน้อยๆ
“เจ้าเป็นใคร” เธอมองคนตรงหน้าอย่างระแวง
“ข้าจางซิ่งขอรับ”
“อ่อ คนตระกูลจาง ...ตัวข้าไม่ได้เกิดมาสูงส่งปานนั้น เรียกข้าหลินเย่ถงก็พอ” เธอยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
จางซิ่งมองดูเธอที่ไม่ได้เรียบร้อยอย่างที่คุณหนูตระกูลใหญ่ควรเป็นอย่างสนใจ อีกทั้งวิชายุทธ์ที่เน้นเสริมสร้างร่างกายที่ผู้หญิงไม่ค่อยฝึกกันนั่นอีก มันกำลังคิดว่าเธอนั้นสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้โดยที่ทางตระกูลไม่ห้ามได้อย่างไร เรื่องนี้ออกจะแปลกอยู่มาก แต่ถึงเป็นเช่นนั้นนั่นก็เป็นเรื่องของตระกูลอื่นมันจึงไม่ควรใส่ใจมากนัก
“เจ้าจะไปไหนน่ะ” หลินเย่ถงตะโกนถามจางหมิงที่ออกเดินไปไกลก่อนจะออกวิ่งตาม
“พวกเจ้าจะยืนคุยกันต่อข้าก็ไม่ได้ห้ามนี่”
จางหมิงไม่ได้สนใจเสียงว่ากล่าวที่ดังต่อมา สายตาของมันกำลังมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกาย ความระแวงระวังปรากฏในแววตาจนทำให้ทั้งสองคนที่อยู่ใกล้ๆเงียบแล้วมองตาม
ปราสาทเก่าแก่ราวกับถูกปล่อยร้างมานานนับหลายสิบปี การทดสอบที่ได้เริ่มต้นคงไม่ใช่แค่การสำรวจว่าที่นี่คือที่ไหน อย่างน้อยการทดสอบไหวพริบที่ว่าก็คงต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลบ้าง
ครืน...
จู่ๆปราสาทก็สั่นไหว หลินเย่ถงที่ไม่ทันระวังตัวล้มลงไปข้างหน้าแต่ก็ได้จางซิ่งรับไว้ เธอพยักหน้าให้อย่างกล่าวขอบคุณและไม่ได้ถือสาอีกฝ่ายที่แตะเนื้อต้องตัว
ฝุ่นคลุ้งโรยตัวลงมาจากเพดานสูงราวกับกำลังจะพังลงมา เกราะหุ่นตามทางเดินยาวกระทบกันกึกกักสนั่นหูก่อนที่ทุกตัวจะหยุดนิ่งแล้วยกอาวุธในมือขึ้น
“ไม่ดีแล้ว” จางหมิงพึมพำก่อนจะออกตัววิ่ง คนที่เหลือก็ย่อมคิดเห็นเช่นเดียวกัน
“ผ่าสวรรค์!” หลินเย่ถงพุ่งเข้าใส่ชุดเกราะที่ขวางทาง
ชิ้นส่วนของหุ่นเกราะสองตัวแตกกระจายออกจากกันผู้โจมตีจึงได้ยิ้มอย่างยินดี แต่ไม่นานรอบยิ้มก็ต้องหุบลงทันทีเมื่อเศษเกราะที่กระจายบนพื้นกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“รีบไปเถอะน่า” จางหมิงดึงแขนอีกฝ่ายให้ตามไปเมื่อเธอหยุดชะงัก
แผ่นดินสั่นครือตลอดเวลาทำให้การวิ่งเป็นไปได้อย่างยากลำบาก อีกทั้งต้องทำลายชุดเกราะที่ขวางทางอย่างต่อเนื่องทำให้พลังปราณแต่ละคนลดลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ยังเด็กก็คงทนได้ไม่มากกับการออกวิ่งติดกันนานนับสองชั่วโมงแบบนี้ จางหมิงที่ร่างกายฝึกฝนมาแค่ช่วงไม่กี่เดือนก่อนยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ลมหายใจหอบหนักจนปอดแทบฉีกขาดออกจากกัน ท้องน้อยเริ่มปวดแปรบกับการวิ่งที่ยาวนาน แต่มันก็ไม่อาจหยุดวิ่งได้
หนทางข้างหน้ายังคงทอดยาวจนเหมือนไร้ที่สิ้นสุด ชุดเกราะที่อยู่ตามรายทางก็ยิ่งสมบูรณ์และแข็งแกร่งขึ้น
จางหมิงสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อดึงสติที่เริ่มพร่ากลับมา สายตาที่มองไปด้านบนชั่วครู่นั้นกลับพบเห็นสิ่งแปลกๆ มันจึงได้หยุดตัวลงแล้วจ้องมองต่อไป
“พวกเจ้าอยากตายหรืออย่างไร” หลินเย่ถงตะโกนขึ้นมาอย่างหงุดหงิดเมื่อจางหมิงหยุดลงและจางซิ่งก็ได้หยุดตัวเองแหงนมองขึ้นไป เธอจึงได้มองตามบ้าง
“อาชาไพรี”
ม้าตัวพ่วงพี่กวาดไปรอบตัวจนเหล่าหุ่นเกราะกระเด็นออกไปไกล แม้ลมหายใจจะเหนื่อยหอบและพลังเหลือเพียงน้อยนิดแต่มันก็ยังคงหยุดนิ่งและมองขึ้นไปอย่างไม่กลัวอันตราย
มันไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างในถ้ำนี้ถึงขึ้นไปอยู่ด้านบน!
แม้แต่ทางออกเองก็ยังไปอยู่บนนั้น!
+++
แมว : เดี๋ยวแมวจะไม่ค่อยพิมพ์ใต้นิยายละน้า
ปล. เกิดความขี้เกียจ =w=