ตอนที่ 26 ง่ายดาย
26
“ตอนนี้เหลือเวลาอีกเท่าไหร่” จางซิ่งถามเด็กชายตระกูลเดียวกันข้างกาย
“สิบห้านาทีได้ขอรับ” อีกฝ่ายตอบกลับอย่าสุภาพ แม้ว่าพวกมันจะเป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูมาจากตระกูลจางเช่นกัน หากตามฐานะแล้วจางซิ่งที่เป็นถึงบุตรบุญธรรมย่อมควรค่าแก่การให้ความเคารพกว่ามันที่โตมาจากการเป็นเด็กรับใช้
จางซิ่งไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนายน้อยที่มันคาดว่าจะออกมาเป็นคนแรกๆถึงได้ช้านัก ตอนนี้มันไม่ได้กลัวว่านายน้อยของมันจะผ่านหรือไม่ หากกลัวว่าจะเป็นอันตรายมากกว่า
การทดสอบทางทิศใต้จากจำนวนคนหลักพันตอนนี้เหลือไม่กี่ร้อย ส่วนใหญ่ก็ยังติดอยู่ภายในวงกตนั้น อีกทั้งคนที่ออกมาได้ส่วนใหญ่สิ่งที่พบเห็นไม่ได้เหมือนกันสักเท่าไหร่นัก บ้างว่าเห็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ บ้างว่าเห็นป่ารกชัฏ การใช้แกนปราณนำทางจริงๆแล้วก็เพียงแค่ทำให้ภาพมายาหายไป แต่การจะทำได้ต้องสามารถควบคุมพลังภายในได้เป็นอย่างดี หรือนับได้ว่าพลังมีความเสถียรเพียงพอ
จางซิ่งแม้ไม่ได้เก่งกาจในเชิงยุทธ์มากมายหากก็ถือได้ว่าเป็นผู้เก่งกาจในการควบคุมพลังของตนเองคนหนึ่ง ซึ่งนั่นสามารถทำให้ควบคุมการจ่ายพลังแก่วิชายุทธ์ได้อย่างเหมาะสม มันจึงออกมาได้เป็นอันดับแรกๆ
ผู้ที่สอบผ่านตอนนี้จะได้รับแก้วผลึกวารีคนละก้อน แม้แก้วผลึกวารีจะใช้ตรวจสอบความเสียหายของแกนปราณได้ก็จริง แต่ความสำคัญของมันจริงๆแล้วคือความสามารถในการบันทึกข้อมูลจากหยดเลือดของผู้ถือครอง
การทดสอบสุดท้ายหากเป็นไปตามที่จางอี้เหลียนได้พูดไว้มันคือการทดสอบไหวพริบและโชค
ไหวพริบก็ส่วนหนึ่ง แต่โชคนั้นก็นับเป็นความสามารถที่จำเป็น
คนเรานั้นเกิดมาพร้อมความโชคดีที่ไม่เหมือนกัน หากอยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร แม้หากไร้โชคจนถึงที่สุด นั่นก็นับเป็นเรื่องท้าทายที่จะเฟ้นหาโชคมาด้วยตัวเองเช่นกัน เพราะเหตุนั้น การทดสอบนี้ล้วนแล้วแต่ทดสอบการคิดเป็นหลักใหญ่
ไม่เพียงจางซิ่งที่รอคอยอย่างกระวนกระวาย หลินเย่ถงที่อยู่ไม่ไกลก็เป็นเช่นเดียวกัน
ตัวเธอนั้นไม่ได้ห่วงว่าจากหมิงจะเป็นอะไรขึ้นมา หากแต่ก็กลัวว่ามันนั้นจะสอบไม่ผ่านเช่นกัน เธอไม่ได้เป็นคนขี้สงสารอะไรหรอก แต่เพียงแค่กลัวว่าหนี้ที่ต้องทดแทนจะไม่ได้ทดแทนเสียแล้วมากกว่า อย่างน้อยเธอก็ไม่อยากรู้สึกติดหนี้ใครไปทั้งชีวิต
ส่วนทางจางงหมิงที่อยู่ภายใน ตอนนี้มันกำลังนั่งคุยเล่นกับหลิงหลิงที่เพิ่งตื่นขึ้นมา มันสอนจิ้งจอกน้อยพูดอีกเช่นเคย และดูเหมือนว่ามันจะพูดได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
“นายท่าน ...หมิง”
“จางหมิง! เจ้าต้องเรียกข้าแบบนั้นสิ”
“นายท่าน ...หมิง”
หลิงหลิงยังพูดคำต่อกันได้ไม่มากจึงทำให้บางคำหายไปอย่างเช่นตอนนี้ จางหมิงที่ไม่รู้จะทำอย่างไรคงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน
พวกมันยังคุยกันอีกพักใหญ่ จางหมิงเลิกสนใจการทดสอบไปแล้วเพราะอย่างไรมันก็ไม่อาจหาทางออกที่ว่านั่นเจอ
แกนปราณที่มันค้นพบนั้นยังคงอยู่และวิ่งไปมาในร่างอย่างชัดเจนไม่เหมือนแต่ก่อน หากมันก็ยังไม่สามารถควบคุมแกนปราณนั้นได้อยู่ดี เพราะเมื่อพยายามส่งพลังเข้าไปก็เหมือนกับกระตุ้นพิษทั้งสองในร่างไปพร้อมๆกัน
ถ้ำแห่งนี้แม้ถูกเรียกว่าวงกตแต่ก็ไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากพื้นที่ว่างๆทั้งยังมืดมิด แต่น่าแปลกที่มันมองเห็นตัวเองแม้กระทั่งจิ้งจอกน้อยได้ชัดเจน
การเป็นโจรไม่ได้แปลว่ามันจะเกลียดการอ่าน อย่างน้อยมันก็อ่านทุกอย่างที่มันอยากรู้ได้โดยไม่เบื่อไปเสียก่อน อาทิเช่น สัมปทานการค้าระหว่างเมือง ราคาขึ้นลงของอัญมณี หรือเรื่องแปลกที่มักจะเป็นที่ซ่อนสมบัติ
จางหมิงรู้ว่าที่นี่คือค่ายกลที่ถูกสร้างจากพลังปราณตามธรรมชาติ มันมีให้เห็นในบันทึกบางเล่มในอาคารกลางของตระกูล แต่ก็เพียงคร่าวๆไม่ได้บ่งบอกวิธีการสร้างหรือการทำลาย
นี่ราวกับมันเจอห้องขุมทรัพย์หากกลับถูกขังไม่ให้ออกไปจากห้องนั้นด้วย
เวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ ห้านาทีสุดท้ายของการทดสอบได้มาถึง ผู้คนภายนอกบ้างยิ้มยินดีเพราะการรอคอยอันน่าเบื่อหน่ายกำลังจะจบลง บางคนก็เกิดอาการกังวลอย่างเห็นได้ชัด
จิ้งจอกน้อยเริ่มง่วงนอนอีกครั้ง ตัวมันนั้นเพียงแรกเกิดจำต้องสะสมพลังของตนเองให้เกิดความเสถียร การนอนหลับของมันนั้นช่วยให้ทั้งร่างกายและแกนปราณเติบโตขึ้น มันจึงได้รู้สึกอยากนอนแทบตลอดเวลา
“เจ้าจะกลับเข้าไปนอนก่อนก็ได้ นี่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าจะออกไปจากที่นี่ได้เหมือนกัน
“ออกไป ...นี่”
“ออกไปจากที่นี่... ใช่แล้ว”
“เดินไป”
“เหมือนจะง่ายอย่างที่ว่าแต่ข้าไม่สามารถมองเห็นเส้นทางอื่นได้เลย เจ้าล่ะ ทำได้หรือไม่”
“ได้!” จิ้งจอกน้อยตอบอย่างมั่นใจ
จากหมิงเพียงถามออกไปส่งๆไม่ได้คิดว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะสามารถทำได้จริงๆ มันยังคงยิ้มให้หากก็ไม่ได้เชื่อมั่นนัก เพราะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรก็ตามที่ทำให้จิ้งจอกน้อยเกิดความมั่นใจ หากไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นมันก็ยังคงไม่ตั้งความหวังใดๆ
“จริงหรือ เช่นนั้นก็ลองดูเถอะ”
“ในนี้ อึดอัด ...ทำลาย”
เพล้ง!
รอบกายที่ดำมืดแตกออกราวกับแก้วบางๆ ท้องฟ้าแต้มดวงดาวก็พลันร่วงหล่นก่อนจะสลาบหายไป หลังจากเสี้ยววินั้นทุกอย่างก็เงียบกริบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จางหมิงเห็นเส้นทางทอดยาวไปด้านหลัง และด้านหน้าคือประตูที่มีแสงสวางสาดเข้ามา
มันจะง่ายแบบนี้เลยหรือ?
มันยังคงยืนมองรอบตัวอย่างสงสัย ตอนนี้จิ้งจอกน้อยกลับเข้าไปในอัญมณีผนึกแล้วและก็คงมีแต่สัตว์ปีศาจเช่นมันตัวเดียวที่พยายามจะเข้าผนึกด้วยตัวเองแบบนี้
จางหมิงกลับมาคิดถึงเหตุผล
จิ้งจอกน้อยนั้นมีแกนปราณย่อมทำลายสถานที่แห่งนั้นได้ด้วยตัวเอง แต่ความเร็วที่มันทำย่อมทำให้จางหมิงเกิดความคลางแคลงใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้คือสัตว์ปีศาจที่ถูกเรียกว่าจิ้งจอกจำแลง เพียงแค่มายาที่ใช้ทดสอบผู้มีพลังปราณระดับต่ำคงไม่คณามือเจ้าแห่งมายาเช่นนี้
จางหมิงถอนหายใจออกมายาวๆ หากคิดได้ก่อนนั้นตัวมันคงไม่ต้องทนเจ็บปวดจากพิษที่กำเริบขึ้นมา แม้เหตุการณ์นั้นจะทำให้มันสัมผัสถึงแกนปราณของตัวเองได้ แต่รับรู้หากไม่สามารถใช้มันจะต่างกันอย่างไร
“นายน้อย!” จางซิ่งรีบวิ่งเข้าไปหาเมื่อเห็นคนที่มันรอออกมาในนาทีสุดท้าย
“เจ้าจะตะโกนไปทำไม” จางหมิงหันไปต่อว่าเมื่อรับแก้วผลึกวารีจางศิษย์คนหนึ่งของสำนักพยัคฆ์อัคคี
“นายน้อยทำข้าใจหาย เหตุใดท่านจึงได้ออกมาช้านักเล่า ปกติแล้วผู้ที่ยิ่งตอนฝึกฝนนั้นเปิดปราณได้เร็วปกติจะเป็นคนที่ควบคุมแกนปราณของตนได้ดี นายน้อยที่เปิดปราณได้ในวันเดียวควรจะ...”
“ข้าก็ผ่านแล้วนี่อย่างไร” จางหมิงตัดบทก่อนจะเดินนำไปยังกลุ่มของตระกูลที่ยิ้มส่งมาให้
ไม่กี่อึกใจต่อมาการทดสอบก็ยุติลง ผู้คนที่ไม่ผ่านตอนนี้ทยอยเดินออกมา แต่ละคนล้วนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก บ้างก็หน้าเผือดสี บ้างก็เต็มไปด้วยเหงื่อทั่วตัว หนักสุดก็คงจะเป็นคนผู้หนึ่งที่ดูจะคลุ้มคลั่งจนศิษย์สำนักที่ควบคุมการสอบต้องเข้าไปห้ามปราม
แก้วผนึกวารีที่ถูกแจกจ่ายนั้นจางหมิงพอจะคุ้นชินอยู่บ้าง มันแอบลอบส่งพลังปราณเข้าไปเพื่อตรวจสอบแกนปราณของมันเหมือนครั้งที่พิษกำเริบครั้งแรก แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือสีดำสนิทที่ค่อยๆลุกลามจนแก้วใสมืดมัวเช่นเดิม
มันไม่อาจสรุปได้จริงๆว่าแกนปราณของมันเสียหายเช่นที่แก้วผลึกวารีตรวจสอบพบหรือไม่ เพราะอย่างไรร่างกายมันหากไม่นับเรื่องพิษก็ไม่ได้มีอื่นใดผิดปกติ
เอ่อ... เท่าที่รู้น่ะนะ
“นายน้อย ท่านต้องหยดเลือดลงไป”
“หืม... นี่คือสิ่งที่ใช้ในการทดสอบสุดท้ายหรือ” จางหมิงชูแก้วผลึกที่กลับมาสู่รูปลักษณ์เดิมแล้วให้อีกฝ่ายดู
“ขอรับ”
มันก็นึกว่าของรางวัลการทดสอบ ...นี่กำลังจะเก็บเข้ากระเป๋าแล้วเชียว
“ข้าอยากถาม” จางหมิงพูดขึ้นมาเมื่อหยดเลือดลงบนวัตถุในมือแล้ว
แก้วใสทรงกลมครึ่งฝ่ามือตอนนี้มีจุดสีแดงลอยอยู่ตรงกลาง และมันจะทำเป็นว่าตัวเองคิดไปเองที่เห็นหยดเลือดนั้นเปลี่ยนเป็นสีส้มจางอยู่แวบหนึ่ง
“มีอะไรหรือขอรับนายน้อย”
“แกนปราณนั้นมีในรูปแบบอื่นนอกจากก้อนทรงกลมกลางอกหรือไม่”
“มีสิขอรับ!” จางซิ่งตอบออกมาอย่างมั่นใจ
“จริงหรือ” จางหมิงยังไม่ทันจะคลายใจว่าตนเองก็ไม่ได้แปลกมากมายหากคำกล่าวต่อมาของสหายร่วมตระกูลทำให้มันรู้สึกว่าคิดผิดที่ถามคำถามนั้นออกไป
“มีสัตว์กลายพันธ์บางประเภทที่มีลักษณะเช่นนั้น มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีแกนปราณหากไม่นับว่าเป็นทั้งสัตว์อสูรหรือสัตว์ปีศาจ แกนปราณเช่นนั้นเรียกว่าแกนปราณไร้ลักษณ์ แม้จะมีอยู่หากก็ไม่อาจควบคุม โดยปกติแล้วสัตว์ประเภทนี้ไม่นานจะตายลงเองเมื่อแกนปราณแข็งแกร่งขึ้นจนเกินร่างกายจะรับไหว ...ข้าเคยอาจเจอขอรับ”
จางหมิงไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่กับการมีผู้ติดตามมากความรู้แบบนี้
ชีวิตมันนั้นดูจะมีความลับไม่จบไม่สิ้นเสียที
+++
แมว : พิมพ์แบบง่วงๆ แต่เลิกนิสัยพิมพ์นิยายตอนดึกไม่ได้ โอย...