ตอนที่ 25 ด่านที่สอง
25
การทดสอบได้ถึงเวลาสิ้นสุดลง มีผู้ผ่านการทดสอบครั้งแรกฝั่งประตูทางทิศใต้ทั้งหมดสองพันกว่าคนซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากพอสมควร
สิ่งที่จางหมิงเห็นแล้วแปลกใจก็คือเหล่าผู้คนที่มีช่วงอายุที่มากกว่ามันหลายปี หนึ่งในนั้นคือจางอี้เหลียนพี่ชายของมัน ชุดสีน้ำเงินปนขาวนั้นบ่งบอกได้ชัดเจนว่าพวกเขาคือศิษย์ของสำนักพยัคฆ์อัคคีเต็มตัว
“เงียบหน่อย อีกสักครู่จะทำการทดสอบในด่านที่สอง พวกเจ้าคงรู้กันแล้วว่าเป็นการทดสอบการควบคุมพลังปราณ เดิมทีผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นต่ำระดับห้าจะไม่สามารถเข้าร่วมนอกจากมีพี่น้องที่มีความสามารถอยู่ภายใน หากแต่ครั้งนี้ทางสำนักไม่ได้วัดจากพลังที่มีอยู่เดิมของพวกเจ้า ทางสำนักรู้ว่าพวกเจ้าทุกคนมาจากตระกูลที่ต่างกัน ขอบเขตการบ่มเพาะก็ต่างกันจากทรัพยากรที่ต่างกันด้วย”
คำกล่าวเหล่านั้นทำให้เกิดเสียงอื้ออึงอยู่บ้างแต่ก็ทำให้ผู้ที่มีระดับพลังน้อยยิ้มขึ้นได้ ก่อนทุกคนจะตั้งใจฟังในสิ่งที่ศิษย์สำนักพยัคฆ์อัคคีพูดต่อ
“สำนักจะเปิดใช้วงกตพลังปราณที่เลิกใช้งานมานานอีกครั้ง ผู้ที่สามารถออกมาได้เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าร่วมสำนัก ส่วนผู้ที่ไม่อาจออกมาได้ต้องรอจนครบกำหนดหนึ่งวันค่ายกลจะยกเลิกเอง”
ศิษย์สำนักพยัคฆ์อัคคียังได้พูกล่าวอีกหลายประโยคแต่จางหมิงสรุปคร่าวๆได้ว่า หากต้องการออกจากวงกตพลังปราณต้องใช้ปราณในการค้นหาทางออก และทางออกจะถูกส่งเข้าสู่แกนปราณที่เหมือนกับตัวเก็บรวบรวมพลัง
แต่มันไม่มีแกนปราณ... เช่นนั้นมันต้องทำอย่างไร?
“นายน้อย ในที่สุดข้าก็เจอท่าน” เสียงของจางซิ่งทำให้จางหมิงถอนหายใจออกมาก่อนจะหันกลับไปมอง
“เจ้ามองหาข้าทำไมกัน”
“ข้าเพียงกังวลว่านายน้อยอาจจะบาดเจ็บ”
“กลัวข้าบาดเจ็บหรือกลัวข้าไม่อาจผ่านการทดสอบแรกกันแน่... เอาเถอะ ถึงจะอย่างนั้นข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะผ่านการทดสอบที่สองอยู่ดี”
“นายน้อยอย่าได้เป็นกังวลในเรื่องนั้น ดูจากความรวดเร็วในการฝึกปราณของนายน้อยแล้วย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
ความจริงปัญหาของมันไม่ได้อยู่ที่วิธีการฝึกเสียหน่อย
“ว่าแต่ตระกูลจางมีผู้ผ่านเข้าสู่การทดสอบนี้กี่คน”
“เรียนนายน้อย ทุกคนสามารถผ่านการทดสอบแรกขอรับ” จางซิ่งตอบพร้อมกับยิ้มยินดีเต็มใบหน้า
จางหมิงเพียงแค่ถามเพื่อหาเรื่องคุยก็เท่านั้น มันไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก ตอนนี้มันกำลังคิดมากเรื่องการทดสอบเสียมากกว่า เพราะหากการทดสอบนี้จำเป็นต้องใช้แกนปราณเป็นตัวแปร นั่นนับว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
หากทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงแค่คำบอกเล่า อย่างน้อยก็ขอให้มันได้เข้าไปทดสอบสักหน่อยค่อยว่ากันอีกทีก็ยังไม่สาย
เหล่าผู้ร่วมทดสอบถูกพาเข้าไปยังภายในเขตสำนักก่อนจะลัดเลาะไปตามแนวป่าที่ขึ้นรก เบื้องหน้าที่เป็นจุดหมายคือปากถ้ำที่ดูจะกว้างพอที่ให้หมียักษ์ที่จางหมิงเคยเห็นเข้าไปได้พร้อมกันถึงสองสามตัว เสียงหวีดหวิวที่ดังออกมาราวกับวิญญาณที่ร้องโหยหวน หลายคนดูจะลนลานอย่างหวาดกลัว หากแต่จางหมิงไม่ใช่ มันรู้ว่านั่นคือเสียงของลม ย่อมแน่นอนว่าถ้ำนี้มีทางออกไปยังอีกฝั่ง
“ถ้ำแห่งนี้มีทั้งหมดสิบแปดแห่งในสำนัก ทุกแห่งล้วนถูกผนึกด้วยปราณอันเข้มข้นของเหล่าเจ้าสำนักแต่ละรุ่น ตอนนี้มีสี่แห่งนับเป็นเหนือใต้ออกตกที่มีการเปิดใช้เนื่องด้วยเพื่อการทดสอบหาศิษย์ที่มีความสามารถ หากเข้าไปแล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นย่อมอยู่ที่ตัวพวกเจ้าเอง และพยายามอย่าทำนอกเหนือจากที่กำหนด ถ้ำนี้มีอีกหลายอย่างที่เป็นความลับ เช่นนั้นแล้วจงระวังตัวให้มาก ใครพร้อมแล้วเชิญก้าวเข้าไป นับแต่นี้จนถึงเย็นวันพรุ่งนี้จะเป็นตัวตัดสินอนาคตพวกเจ้าเอง”
ครานี้เป็นศิษย์ในสำนักที่ใส่ชุดสีแดงปนขาวพูด ศิษย์ร่วมสำนักที่ใส่ชุดฟ้าดูจะเกรงอกเกรงใจมันมากทั้งๆที่มีช่วงอายุใกล้เคียงกัน นั่นราวกับเป็นการแบ่งแยกระหว่าศิษย์ด้วยกันเอง
จางซิ่งที่อยู่ข้างๆโค้งให้จางหมิงก่อนจะก้าวตามผู้อื่นเข้าไปภายในถ้ำ เมื่อคนเหลืออยู่ไม่มากจางหมิงจึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆและตัดสินใจเดินเข้าไปภายใน
อย่างน้อยพอหมดเวลาการทดสอบมันคงถูกพาออกมาเอง...
สามนาที สามสิบนาที และผ่านไปอีกกว่าสามชั่วโมง
ข้างหน้าจางหมิงล้วนเต็มไปด้วยความมืดมิด เสียงลมที่เคยได้ยินตอนนี้หายไปสิ้น ทุกอย่างเงียบกริบราวกับช่วงชีวิตหลังความตายของมันครั้งนั้น หากสิ่งที่เห็นไม่ใช่สีขาวแต่เป็นสีดำ มันกำลังคิดว่าหากมีคนเรียกชื่อมันอีกครั้งมันจะตื่นขึ้นมาในร่างใหม่อีกหรือไม่
สีขาวโพลนทำให้คนคิดฟุ้งซ่านได้ แต่สีดำก็ไม่ได้ทำให้ความคิดในหัวดีกว่ากันมากนัก
จางหมิงไม่แน่ใจว่านี่คือบททดสอบพลังปราณหรือบททดสอบสภาพจิตใจกันแน่ ไม่รู้จะมีเด็กกี่คนหนอที่ทนกับมันได้ถึงหนึ่งวันเต็ม ไม่แปลกใจเลยหากที่นี่ถูกปิดผนึกไว้
การทดสอบที่จัดขึ้นของสำนักพยัคฆ์อัคคีนั้นไม่ได้จำกัดอายุของผู้เข้าร่วม แต่ด้วยผู้ทดสอบต่างไม่เคยมีผู้ใดเกินอายุสิบหกทำให้การทดสอบนี้เกิดเกณฑ์อายุขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ปัจจุบันไม่ว่าสำนักใดก็ล้วนยึดถือใช้ช่วงอายุนี้เช่นกัน และกล่าวว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมสำนักก่อนอายุที่กำหนดนั้นล้วนเป็นผู้ที่ไร้พรสวรรค์โดยสิ้นเชิง
การทดสอบนี้คงไม่ใช่เพียงแค่การทดสอบพลังปราณหากคงทดสอบพลังใจไปพร้อมๆกัน
จางหมิงพยายามค้นหาเส้นทางในแบบของตนเองบ้างเพราะได้ลองใช้แกนปราณแล้วผลออกมาไม่ดีนัก เนื่องจากช่องแกนปราณที่กลวงเปล่านั้นดูดซับพลังของมันไปกระตุ้นให้พิษทั้งสองเต้นเร่า แต่ก็ดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกเหนือจากนั้น
“เนตรจริงแท้”
มันจำเป็นที่จะต้องใช้วิชาเก่าแก่ที่สิ้นเปลืองพลังนี้อีกครั้ง แต่ถ้ำแห่งนี้ราวกับปิดกันทุกสิ่งออกจากสายตามัน ทุกอย่างล้วนมืดบอดไร้หนทางเช่นเคย
บางครั้งมันก็อดถามตนเองไม่ได้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ทำไม
รอบด้านที่มืดมิดทำให้สภาพจิตใจดิ่งลงเหวจริงๆ
...แต่นี่นับว่าเล็กน้อยสำหรับคนที่ผ่านโลกมามากแบบมัน
สิ่งที่จางหมิงทำต่อจางนั้นก็เป็นเพียงแค่เหม่อลอยแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าการบ่มเพาะที่นี่จะทำให้พลังปราณในร่างยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ผู้ที่เดินไปเรื่อยๆอย่างมันจึงรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นที่สุด อีกทั้งความง่วงเข้าครอบงำให้หนังตาหนักอึ้งจนอยากที่จะล้มตัวลงนอน
อา... นอน
แล้วมันก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นจริงๆ
ก่อนที่ตาจะหลับลงมันมองเห็นดวงดาวมากมายที่อยู่ด้านบน ทั้งสวยงามจับตาแต่ก็เหมือนไม่ใช่ของจริง ทั้งอยู่ใกล้แค่มือเอื้อมถึงแต่ก็ไม่สามารถจับต้องได้
ดวงดาว!
ทำไมถึงมีดาวที่นี่!
จางหมิงผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะแหงนมองด้านบนแต่กลับมองเห็นแค่เพียงความมืดมิดเฉกเช่นรอบด้าน นั่นทำให้มันรีบล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
แม้มันจะออกไปไม่ได้แต่ได้รู้ความลับของถ้ำนี้บ้างก็ดีไม่น้อย
การจัดเรียงตัวของดวงดาวมีแบบแผนแปลกๆ อีกทั้งไม่เหมือนดวงดาวบนฝากฟ้าที่มันเคยเห็นมาก่อน ยิ่งมองนานเข้ามันก็ยิ่งเคลื่อนที่เร็วยิ่งขึ้น การวางตัวเริ่มเป็นระนาบเดียวกัน มันมองดูพักใหญ่ก่อนร่างกายจะกระตุกเฮือก
พลังปราณสายเล็กๆหากทรงพลังราวกับถูกกระตุ้นขึ้นมา พิษเย็นและร้อนที่รวมกันอยู่ในช่องแกนปราณเหมือนจะตอบรับพลังนั้นเช่นกัน ทั้งสองล้วนเต้นเร่าและส่งพลังของตนเองออกมา
จางหมิงกัดฟันแน่นเมื่อพิษเย็นและร้อนเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง แม้ครั้งนี้ไม่ได้รุนแรงนักหากก็ทำให้เจ็บปวดเจียนตายอยู่เหมือนกัน
เหมันต์กัดกินผิวหนัง อัคคีแผดเผาภายใน
มันไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลยจริงๆ
จางหมิงกอบกุมตนเองและดิ้นรนอยู่บนพื้นหากแต่สายตายังคงจับจ้องไปยังดวงดาวด้านบน ตอนนี้พวกมันนั้นเรียงตัวกันเป็นวงกลมสิบแปดวง ไม่รู้ว่าตัวเลขนี้คืออะไร แต่มันต้องมีความหมายอย่างแน่นอนเมื่อจำนวนวงกตพลังปราณก็คือสิบแปดเช่นเดียวกัน
ไม่นานความเจ็บปวดเริ่มหายไปอย่างช้าๆ พิษทั้งสองกลับมาสงบลงอีกครั้ง หากตอนนี้มันสัมผัสพลังปราณสายเล็กๆนั้นได้อย่างงชัดเจนและรู้ทางออกของวงกตนี้เช่นกัน
ความเหนื่อยอ่อนเกาะกุมจิตใจและร่างกายจนต้องปิดตาลงเพื่อปรับลมหายใจ แต่ตอนนี้มันรู้อย่างหนึ่งแล้วว่าพลังปราณสายนั้นคือสิ่งใด
หากถ้ำแห่งนี้สามารถออกไปได้เพราะการควบคุมแกนปราณ
พลังนั้นก็คงจะเป็นแกนปราณของมัน
...ถึงแม้จะแปลกอยู่มากก็ตามที
+++
แมว : เมื่อวานลงไม่ได้ เพิ่งลงตอนเช้า ส่วนตอนของวันนี้ก็มาดึกมากเช่นเดิม