ตอนที่ 24 หลินเย่ถง
24
“พวกเจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้!”
เสียงดังมาไม่ไกลจากที่จางหมิงหยุดพักนักทำให้มันหยุดฝีเท้าของตัวเองลงแล้วมองหาต้นเสียง ก่อนที่จะพบกลุ่มคนสามคนที่อยู่ไกลออกไปไม่มากนัก
“ป้ายนี่ต้องเป็นของพวกข้าจริงไหม เพราะถ้าไม่มีพวกเราสองคนเจ้าก็คงโดนสัตว์อสูรตัวนั้นทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว” เด็กชายหนึ่งในนั้นพูดขึ้นเพื่อตอบคำถามเด็กสาวในคราแรก
“ใช่แล้วล่ะ หากไม่มีพวกเราเจ้าก็ไม่มีทางได้ป้ายนี้อยู่แล้ว”
“แต่พวกเจ้าบอกว่ามาเพียงแค่ช่วยข้าเท่านั้น ป้ายพวกนั้นเจ้าก็มีกันแล้วนี่” เด็กสาวยังไม่ยอมแพ้
“แล้วอย่างไร พวกเรามีแล้วหากต้องการอีกไม่ได้เช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าป้ายนี้ขายได้ในราคาเท่าไหร่ หากยิ่งขายให้กับพวกที่ไปถึงประตูสำนักโดยไม่มีป้ายก็ยังได้เงินเพิ่มอีกมากมายนัก” เด็กชายบอกเหตุผลโดยมีจางหมิงที่สังเกตการณ์อยู่พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
ในคราแรกจางหมิงคิดว่าจะปล่อยผ่านเหตุการณ์นี้ไปโดยไม่เข้าไปยุ่ง แต่ตอนนี้เมื่อมันรู้ว่าเด็กชายทั้งสองยังมีป้ายหยกแดงไว้ในครอบครองมันก็สมควรยุ่งเสียหน่อย
“พวกเจ้าเห็นผู้หญิงตัวคนเดียวเลยคิดจะเอาเปรียบหรืออย่างไร” จางหมิงตะโกนลงมาจากยอดไม้ก่อนจะกระโดดลงมาขวางระหว่างเด็กสาวและเด็กชายทั้งสอง
“เจ้ามันคนที่ตลาดนี่!”
จางหมิงมองเด็กสาวที่ทักตนสักพักก่อนจะจำได้ว่าเธอคือคนที่พยายามซื้อของจากพ่อค้าหน้าเลือดที่ตลาด มันในตอนนั้นเอาแต่สนใจบัวหินจึงไม่ได้จดจำสาวน้อยคนนี้ไว้
“เจ้าเป็นใคร พวกข้ากำลังตกลงกันอย่าได้มาขวาง”
“ตกลง? ข้าเห็นเพียงพวกเจ้าสองคนที่กำลังจะขโมยของไปจากผู้อื่น” มันที่พูดประโยคนี้ราวกับกำลังว่ากล่าวกระทบตนเองชอบกล
“แล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าเพียงแค่ขั้นต่ำระดับสามแล้วจะหาเรื่องพวกเราได้หรือ”
เด็กชายทั้งสองต่างพากันยิ้มเยาะเมื่อตรวจสอบระดับพลังของอีกฝ่าย มันทั้งสองอยู่ในขั้นต่ำระดับที่ห้าย่อมไม่เกรงกลัวผู้มีระดับพลังต่ำกว่าถึงสองขั้น
ป้ายหยกแดงแผ่นนั้นถูกเก็บลงกระเป๋าเงินข้างกายเด็กชายคนหนึ่ง เด็กสาวที่มองอยู่ก็ทำได้เพียงกัดฟันทดเพราะเธอก็มีระดับพลังเพียงแค่ขั้นต่ำระดับสี่เท่านั้น
“เจ้าจะยอมแพ้เพียงแค่ระดับต่ำกว่าเพียงน้อยนิดเช่นนั้นหรือ” จางหมิงหันไปถามเด็กสาว
ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกมันก็พอจะเข้าใจนิสัยไม่ยอมคนของเด็กสาวคนนี้ คนเช่นนี้ล้วนแล้วแต่เต้นตามแรงยุได้ง่ายเสมอ และก็เป็นเช่นเดียวกับที่มันคิดไว้
“เจ้าว่าอะไรนะ!” เด็กสาวจ้องกลับมาตาขวางอย่างไม่พอใจ
“หากเจ้าไม่กล้าต่อสู่เพื่อชิงของของเจ้าคืนก็ตามใจ แต่นั่นเจ้าคงจะถูกตราหน้าว่าขี้แพ้ไปตลอดกาล ในเมื่อเจ้ายังไม่ได้ทดลองกลับถอดใจไปเสียแล้วแบบนี้” จางหมิงยังคงพูดจายั่วยุต่อไป
“ข้าไม่ได้ถอดใจเสียหน่อย ฮึ! มาดูกันว่าระดับพลังต่างกันเพียงแค่ขั้นเดียวจะเป็นอะไรได้”
เด็กหนอ... ก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ
“หากเจ้ากล้าก็เข้ามา” เด็กชายทั้งสองยังคงเหยียดยิ้มเยาะเช่นเดิม พวกมันไม่คิดหรอกว่าขั้นต่ำระดับสี่คนเดียวจะทำอะไรพวกมันได้ แม้จะเพิ่มระดับสามเข้ามาอีกคนก็คงไม่ต่างกันเท่าใด
เด็กสาวพุ่งตรงเข้าใส่คนทั้งคู่ พลังปราณกลายเป็ระลอกคลื่นกระจายออกมารอบตัวโถมซัดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง เด็กชายทั้งคู่ขมวดคิ้วก่อนจะกระโดดถอยเพื่อทิ้งระยะห่าง สายตาสองคู่มองอย่างหวาดระแวงไม่น้อยเมื่อเด็กสาวตัวเล็กๆที่มีพลังในระดับต่ำกว่าสามารถกดดันมันได้
“ผ่าสวรรค์” ปราณสีขาวรวมตัวกันใต้เท้าของเด็กสาวก่อนที่เธอจะกระทืบลงพื้นเสียงดัง
พื้นดินบางส่วนยกตัวขึ้นพุ่งตรงเข้าหาฝ่ายตรงข้ามที่เรียกใช้เกราะปราณกันไว้ แม้จะทำให้เกราะปราณสั่นไหวไปมาแต่ก็ไม่ได้แตกออก ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งตรงเข้าใส่เด็กสาวอย่างพร้อมเพรียง
จางหมิงที่แอบยืนมองโดยไม่ช่วยก็โดนสายตาจิกกัดของเด็กสาวจนจำต้องเข้าไปร่วมด้วยอย่างไม่เต็มใจ ทะยานข้ามภพของมันปรากฏแสงสีเหลืองเรืองรองก่อนจะเข้าไปดึงเด็กสาวออกจากวิถีการโจมตี
ทุกคนแม้จะแปลกใจกับวิชาในระดับชำนาญแต่ก็เพียงชั่วครู่เพราะเมื่อจางหมิงใช่วิชามังกรเก้าเศียรเข้าใส่ทำให้มันสองคนต้องหลบพัลวัน ขนาดจางซิ่งที่ตั้งใจฝึกเกราะปราณยังไม่อาจต้านรับวิชานี้ได้ แล้วไฉนเลยพวกที่เพียงแค่เรียนรู้มาแบบงูๆปลาๆจะป้องกันไว้ได้
“ทำไมมังกรเก้าเศียรขั้นสามัญของเจ้าถึงได้มีสองหัวล่ะ” เด็กสาวถามอย่างสนใจใคร่รู้
“มันเป็นเวลาที่ควรถามไหมสาวน้อย”
“เจ้าไม่ควรเรียกข้าแบบนั้น” ดวงตาเป็นประกายนครั้งแรกกลับมาขุ่นมัวเมื่อถูกเรียกราวกับเด็กผู้ไม่รู้ประสา ก่อนที่เธอจะหันไประบายอารมณ์กับฝ่ายตรงข้ามแทน
ผ่าสวรรค์ถูกเรียกใช้งานอีกครั้ง คราวนี้ปราณสีขาวรวมตัวกันไปที่กำปั้นที่เธอยกขึ้นมาแทน หมัดนั้นชกลงไปบนเกราะปราณที่เด็กชายคนหนึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ ความรุนแรงนั้นทำให้เกราะปราณสั่นไหวแต่ก็ไม่ได้แตกออกเช่นเดิม ก่อนที่พลังทั้งสองจะระเบิดออกเป็นไอรอบตัวจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใดๆ เด็กชายอีกคนที่รอคอยเวลานี้มาก่อนแล้วได้ใช้ทักษะอาชาไพรีเช่นเดียวกับของจากหมิงพุ่งทะยานตรงเข้าไป
แสงสีเหลืองได้มีโอกาสวูบไหวอีกครั้ง มันเกาะเอวของเด็กสาวก่อนจะพุ่งทะยานออกไปจากเขตการต่อสู้ และไม่ได้คิดจะหยุดฝีเท้าลงเมื่อออกมาได้ช่วงหนึ่ง
“นี่เจ้าจะไปไหน ข้ายังจัดการพวกมันไม่ได้เลยนะ” เด็กสาวพยายามสะบัดตัวให้หลุดแต่ฝ่ามืออีกฝ่ายก็เหนียวแน่นเหลือเกิน
“เจ้าไม่ชนะหรอกน่า เห็นอยู่ว่าการโจมตีของเจ้าไม่อาจทะลุเกราะปราณได้”
“เจ้าก็ใช้วิชาของเจ้าสิ”
“นั่นอาจจะทำได้จริง หากไม่เห็นหรือว่าพวกมันยังไม่ได้ใช้วิชายุทธ์ของพวกมันเลย หากไม่นับทักษะอาชาไพรีเมื่อครู่ที่รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด เจ้าคิดหรือว่าหากกลับไปแล้วพวกมันใช้วิชาอย่างเต็มที่แล้วเจ้าจะป้องกันได้”
“นั่นมัน...”
“เอาเป็นว่าค่อยเอาคืนเมื่อเจอกันครั้งหน้าก็แล้วกัน” ...ถ้าพวกมันสามารถเข้าสำนักได้ล่ะนะ
เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอครุ่นคิดกับตัวเองจนลืมไปแล้วว่ากำลังถูกหิ้วราวกับกระเป๋าใบหนึ่ง จนกระทั่งมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่า
“ปล่อยข้าเสียที”
จางหมิงปล่อยเธอลงอย่างง่ายดายพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ มือหยิบป้ายหยกออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วยืนให้เด็กสาวที่ไม่เข้าใจว่ามันให้เธอทำไม มันจึงได้หยิบป้ายหยกอีกชิ้นขึ้นมาให้ดูแล้วกล่าวยิ้มๆ
“ข้ามีอยู่แล้ว อีกชิ้นหนึ่งที่เหลือให้เจ้าก็แล้วกัน”
“ข้าจะหาด้วยตัวข้าเอง!” แต่ด้วยทิฐิเธอจึงไม่อาจรับไว้ได้
“อีกไม่ถึงสองชั่วโมงจะหมดเวลาการทดสอบ เจ้าคิดว่าจะเหลือป้ายเหล่านี้อีกเท่าไหร่กันที่รอดมาจากมือของเหล่าผู้เข้าร่วมหลายพัน”
“แต่...”
“หากลำบากใจ เช่นนั้นค่อยหาของมีค่าอื่นๆมาตอบแทนข้าทีหลังก็แล้วกัน” เมื่อจางหมิงพูดแบบนั้นเด็กสาวจึงได้รับไปแต่โดยดี
“นามของข้าคือ หลินเย่ถง แม้เป็นเพียงทายาทจากตระกูลรองที่ไม่ได้เป็นที่สนใจนัก หากข้าก็มีพี่ชายที่เก่งกาจอยู่ภายในสำนัก หากวันหนึ่งเจ้ามีปัญหา เจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากพี่ชายข้าได้ ข้ารับรองว่าพี่ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน อีกทั้ง... ข้าจะหาของที่มีค่าเท่ากันมาคืนให้ในเร็ววัน” เธอกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“เอาเถอะ จะอย่างไรก็ดี ตอนนี้ข้าขอตัวก่อน”
“เจ้าเป็นคนบอกเองว่าเวลาเหลือไม่มากเหตุใดจึงไม่ไปที่สำนักพร้อมกัน”
“ข้ายังมีหลายอย่างที่ต้องทำ หากข้ามั่นใจว่าไปถึงได้ทันเวลา ขอตัว”
ด้วยวิชาตัวเบาในระดับเชี่ยวชาญของจางหมิงทำให้เด็กสาวยอมพยักหน้าอย่างเข้าใจ จางหมิงยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะทะยานไปอีกทาง
หลินเย่ถงลืมถามชื่อฝ่ายตรงข้ามไปเสียสนิทแต่ถึงอย่างนั้นก็จดจำใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ได้อย่างชัดเจน เธอกำลังจะเก็บป้ายหยกนั้นลงกระเป๋าเงินแต่มันได้หายไป แต่เธอก็ไม่ได้คิดมากอันใด เพราะคิดว่าอาจตกไประหว่างต่อสู้จึงได้เก็บป้ายหยกนี้ไว้ในอกเสื้อแทน
จางหมิงที่ทะยานมาไกลได้หยุดลงก่อนจะยิ้มให้กับตัวเอง และเป็นรอยยิ้มที่หุบไม่ลงเอาเสียเลย
ในกระเป๋าเงินของมันตอนนี้ อัญมณีก้อนหนึ่งบรรจุไว้ด้วยกระเป๋าเงินสามใบ กลุ่มควันของการปะทะระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ขั้นต่ำเป็นอะไรที่บังตาได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ
จะคว้าหยิบอะไรก็ช่างง่ายดาย...
มันนำของทั้งหมดออกมาตรวจสอบ ป้ายหยกของเด็กชายทั้งสองคนมีรวมกันได้สามแผ่นหากภายในมีเศษเงินอีกเพียงไม่กี่เหรียญทองมันจึงส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย ส่วนกระเป๋าของเด็กสาวมีมากกว่าอยู่บ้างนั่นรวมถึงเม็ดยาพลังปราณที่มีราคาสูง อย่างน้อยก็มากกว่าราคาป้ายหยกแดงที่มันเสียไปแผ่นหนึ่ง
จางหมิงไม่ได้ใจดี...
สัญลักษณ์ตระกูลหลินที่อกเสื้อของเธอเด่นเพียงนั้นทำไมมันจะมองไม่เห็น ที่ทำไปทั้งหมดก็เพียงเพราะมันอย่างผูกมิตรไว้ต่อกรกับตระกูลเกาก็เท่านั้น อย่างน้อยหากได้อีกหนึ่งตระกูลใหญ่ของเมืองมังกรครามมาช่วย ชีวิตมันอาจไม่ต้องวุ่นวายมากนัก
รวมทรัพย์สมบัติของมันตอนนี้ได้แก่ป้ายหยกหิมะตระกูลเกา เงินห้าพันทองกับอีกนิดหน่อย กล่องที่เปิดไม่ได้ ป้ายหยกแดงสามแผ่น และยาเม็ดพลังปราณรวมสามสิบสองเม็ด นับว่าค่อยๆเพิ่มพูนโดยแท้ ส่วนป้ายหยกแดงอีกแผ่นที่เป็นของมันเองก็คงต้องมอบคืนแก่สำนัก นั่นก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย
+++
แมว : เกือบเป็นคนดีแล้วหมิงเอ๋ย