ตอนที่ 21 ก่อนทดสอบ
21
ยาถอนพิษเย็นที่อาจารย์ของจางหมิงได้เคยใช้นั้นมีตัวยาทั้งหมดสามสิบสี่ชนิด หากมีอยู่ห้าชนิดที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง ส่วนผสมแรกก็คือสิ่งที่อยู่ในมือของมันตอนนี้ ‘บัวหิน’
ที่เหลือคือ ดอกหญ้าคายตะวัน ผลึกธาตุอัคคี และผลเมฆาสีชาด สุดท้ายคือตัวกลั่นผสม น้ำจากแอ่งลาวา
ถึงจะรู้สูตรยา แต่ปัญหามันก็มี...
เมื่อส่วนผสมทั้งหมดล้วนต้านพิษเย็นได้ดี ดังนั้นมันจึงส่งเสริมพิษร้อนให้ทวีคูณเช่นกัน
จางหมิงแม้จะวิตกอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเก็บบัวหินไว้ เพราะอย่างน้อยมันก็รู้สูตรยาหนึ่งอย่าง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากหากนำมาปรับใช้ แต่มันก็ต้องรู้สูตรยาแก้พิษร้อนควบคู่กันไป ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี
ตัวมันที่รับพิษร้อนและเย็นพร้อมกันได้นี่ก็นับว่าแปลกแท้
ตกเย็นจางหมิงได้กลับมายังโรงเตี้ยมโดยที่ไม่ได้ซื้ออะไรอีก สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือจางซิ่งที่ชะเง้อหามันอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนที่มันจะหันมาเห็นแล้วตรงดิ่งเข้ามาหา
“นายน้อยท่านกลับมาพอดี ตอนนี้พวกเรากำลังจะประชุมกันที่ห้องรับรอง เชิญขอรับ”
จางหมิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจแต่ก็ยอมตามไปโดยดี
ภายในห้องรับรองที่ทางโรงเตี้ยมจัดให้มีคนรอมันอยู่ภายในเจ็ดคนนั่นรวมถึงจางอี้เหลียนด้วย หากนับเข้ากับตัวมันและจางซิ่งก็รวมเป็นเก้าคน
“เพราะเจ้ามัวแต่เที่ยวเตร่ แล้ววันข้างหน้าหากเข้าสำนักไปเจ้าไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นเช่นนี้หรอกนะ” จางอี้เหลียนพูดขึ้น หากวาจาที่ดูเป็นห่วงนั้นแฝงมากับคำเสียดสีกลายๆ
“คารวะนายน้อยจางหมิง” คนที่เหลือลุกขึ้นโค้งตัวให้จางหมิง มันก็ทำเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
“แล้วที่เรียกมารวมกันนี่ท่านพี่ต้องการว่ากล่าวสิ่งใด” จางหมิงถามก่อนจะสำรวจผู้คนโดยรอบ
หากไม่นับจางอี้เหลียนและจางซิ่งแล้วทั้งหกคนที่เหลือมันไม่ได้รู้จักเลยแม้แต่น้อย สองคนในนั้นดูมีอายุราววัยกลางคนสมควรเป็นผู้ติดตามที่มาคอยคุ้มครอง พลังฝีมือที่ปิดบังได้อย่างมิดชิดนั่นย่อมต้องมีระดับพลังขั้นกลางเป็นอย่างน้อย ส่วนอีกสี่คนอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับมันและจางซิ่ง จางหมิงจึงได้ลงความเห็นว่าคงจะเป็นเด็กในตระกูลที่ถูกส่งมาเข้าร่วมสำนักเช่นเดียวกับพวกเขา
“ปกติท่านพ่อจะเป็นคนมาอธิบายเรื่องนี้ด้วยตนเอง หากแต่ครานี้ติดปัญหาเรื่องของการค้าจึงไม่สามารถมาด้วยตนเองได้เช่นเดิม ข้านั้นจึงได้รับมอบหมายมาแทน
ปีนี้ตระกูลเราส่งผู้ร่วมทดสอบเพียงหกคนซึ่งน้อยกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนเข้าร่วมกับสำนักให้ได้ทั้งหมด ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อตระกูลแต่เพียงเพื่อตัวพวกเจ้าเองด้วย เพราะหากสามารถเข้าสำนักได้อย่างน้อยก็รับรองได้ว่าพวกเจ้าจะเก่งกาจขึ้นอีกมากนัก”
สิ่งที่จางอี้เหลียนเกริ่นนำทำให้ผู้เข้าร่วมทั้งหมดพยักหน้าไม่เว้นแม้แต่ผู้ติดตามทั้งสอง หากยังมีคนผู้หนึ่งที่อ้าปากหาวอย่างไม่ไว้หน้ากัน
จางหมิงไม่ได้รู้สึกง่วงนอนแต่ประการใด หากความง่วงนี้เกิดจากความเบื่อหน่ายเสียมากกว่า เพราะไม่ใช่ว่ามันไม่รู้เสียหน่อยว่าการสอบเป็นเช่นไร การเรียกประชุมเช่นนี้ทำให้ฮึกเหิมและเกิดความสามัคคีในหมู่ขณะก็จริง หากแต่การสอบมันตัวใครตัวมันอยู่แล้ว วิธีการนี้จะช่วยอะไรได้ นั่นมันยังคงสงสัย
“รักษามารยาทหน่อยน้องเล็ก ที่ประชุมเจ้าควรสำรวม” จางอี้เหลียนตำหนิอย่างชัดเจนในน้ำเสียง
“เข้าเรื่องเถอะท่านพี่ ท่านต้องการกล่าวอะไรกันแน่”
“ฮึ! ความจริงมันไม่ใช่เรื่องของข้าที่อยู่ในสำนักอยู่แล้ว แต่มันเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าที่ต้องการจะเข้าร่วมในปีนี้โดยตรง เนื่องมาจากว่าเมืองหลวงต้องการจัดการแข่งขันระหว่างสำนักเพื่อจัดอันดับโดยให้เวลาเตรียมตัวสามปี และเพื่อให้สำนักตนเป็นที่หนึ่งทุกสำนักจึงได้รับศิษย์เป็นจำนวนมาก หากแต่การรับเข้าร่วมในปีนี้เป็นต้นไปค่อนข้างเข้มงวดและยุ่งยากกว่าที่ผ่านมา กฎเกณฑ์บางอย่างจึงได้มีการเปลี่ยนแปลง และสิ่งเหล่านี้รู้แค่เพียงผู้คนวงในเท่านั้น”
“นั่นไม่นับว่าเป็นการโกงหรือขอรับ” จางซิ่งแทรกขึ้นมา
“ไม่หรอก เพราะถึงเราจะรู้ก่อนว่าการสอบเป็นแบบไหนหากแต่รายละเอียดปลีกย่อยจริงๆมีเพียงเหล่าผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่ทราบ ที่เราทำได้เพียงแค่รู้จักที่จะเตรียมตัวก่อนเท่านั้น”
จางอี้เหลียนมองไปรอบๆเมื่อพบว่าไม่มีคนที่จะแย้งขึ้นมาอีกจึงได้กล่าวต่อไป
“การทดสอบครั้งนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งและสองนั้นเป็นเช่นเดิมคือทดสอบการต่อสู้และการควบคุมพลัง หากส่วนสุดท้ายที่เพิ่มเข้ามาจะว่าง่ายก็ง่าย หากจะว่ายากก็ยากที่สุดเช่นกัน ส่วนนี้คือทดสอบไหวพริบและโชค ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้นยังไม่ปรากฏ แต่ข้าจะขอเตือนไว้ ...นี่คือการทดสอบโดยตรงจากผู้อาวุโส หากพวกเจ้าแสดงความสามารถทั้งหมดออกมาได้ดีอาจเข้าตาผู้อาวุโสสักคน และนั่นจะช่วยส่งเสริมเจ้าเป็นอย่างยิ่ง” จางอี้เหลียนยิ้มอย่างภูมิใจ เพราะอย่างน้อยมันก็คือหนึ่งในศิษย์ของผู้อาวุโสเช่นกัน
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังนายน้อย”
“ข้าก็เช่นกัน!”
หากไม่นับจากหมิงทุกคนล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความตื่นตัวพร้อมกับรับคำของนายน้อยของมัน และก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันออกไปจางอี้เหลียนได้หยุดจางหมิงไว้
“เดี๋ยวก่อนน้องพี่”
ทั้งสองคนอยู่ในที่ประชุมกันเพียงลำพัง สีหน้ายิ้มเสแสร้งที่จางอี้เหลียนปั้นแต่งก็ได้คลายลงกลายใบบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ สายตาสำรวจจางหมิงอย่างจาบจ้วงก่อนจะเค้นเสียงออกมา
“เหอะ! พลังแค่เพียงขั้นต่ำระดับสาม เหตุใดท่านพ่อจึงรีบส่งเจ้ามานักนะ เจ้ารู้หรือไม่ทุดอย่างที่เจ้าทดสอบนั่นคือหน้าตาของตระกูลเรา ข้าคิดว่าเจ้าถอนตัวออกไปเสียตอนนี้เถอะ”
จางหมิงยกยิ้มมุมปากแต่ก็ไม่ได้ตอบกลับไป คนที่รอคำตอบจึงได้เป็นคนกระวนกระวายเสียเอง ราวกับว่าคำพูดของมันถูกเมินเฉยอย่างไร้ค่า
“อย่าคิดว่าที่บ้านรักเจ้าแล้วเจ้าจะมากร่างที่นี่ได้ รู้จักประเมินตนเองเสียบ้าง ข้าที่เป็นพี่ชายเพียงไม่อยากให้ตระกูลและเจ้าต้องเสียหน้าเกินไปเพียงเท่านั้น หากเจ้าไม่ยอมฟังก็เรื่องของเจ้าก็แล้วกัน ฮึ!” จางอี้เหลียนเมื่อกล่าวจบก็ได้สะบัดตัวออกจากห้องไป
จางหมิงถอนหายใจก่อนจะเหม่อมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง ดวงจันทร์เว้าแหว่งถูกเติมเต็มไปบ้างแล้ว หากเมฆมากมายที่ลอยล่องทำให้มันหายใจไม่ทั่วท้อง
ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังเขย่าอยู่ภายในความรู้สึกของมัน
ครั้งเป็นโจร เมื่อลางสังหรณ์แจ้งเตือนมันจะยุติทุกอย่างลง หากตอนนี้มันจะทำได้หรือ...
ลางสังหรณ์ที่เคยแม่นยำจนสามารถหลบหลีกผู้ตามล่าและกับดักมานักต่อนัก ครั้งนี้มันหวังให้ลางสังหรณ์ของมันนั้นผิดพลาดเสียบ้างก็ดี
การทดสอบวันพรุ่งนี้...
ทั้งน่าสนใจและน่าหวั่นเกรงพอๆกัน
++++
แมว : เหมียววววว...ฉับๆ