ตอนที่ 20 พ่อค้าหน้าเลือด ปะทะ โจรหน้าเลือด
20
“นั่นห้าตำลึงทอง นั่นแม้ไม่มากแต่ก็ชิ้นละแปดร้อยตำลึงเงิน ...”
จางหมิงมองออกไปนอกหน้าต่างโรงเตี้ยม สายตาจับจ้องไปยังผู้คนที่จับจ่ายเบื้องล่าง ริมฝีปากก็พึมพำไปเรื่อยๆอย่างเบื่อหน่าย
ช่วงสองวันมานี้จางหมิงเพียงนั่งๆนอนๆเพิ่มระดับของตนเอง และมันได้เข้าสู่ขั้นต่ำระดับที่สามเป็นที่เรียบร้อย
ข่าวจากจางซิ่งได้ความว่าจางอี้เหลียนและคนตระกูลจางที่ต้องการทดสอบเข้าร่วมสำนักจะมาถึงในตอนเย็น จางหมิงนั้นจึงได้นั่งรออย่างไร้จุดหมายคนเดียวเพราะจางซิ่งออกไปรอต้อนรับตั้งแต่เช้า
เมื่อสุดจะทน จางหมิงได้ตัดสินใจออกไปดูการค้าภายนอกโดยไม่ลืมบอกผู้ดูแลคนหนึ่งให้แจ้งแก่จางซิ่งว่ามันจะกลับมาเองในตอนเย็น
บรรยากาศรอบด้านคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้า ตัวจางหมิงที่แม้จะสวมชุดผ้าไหมราคาสูงหากก็ไม่ได้สะดุดตาเมื่อเทียบกับอีกหลายคน เพราะด้วยไม่ใช่มันคนเดียวที่มาจะตระกูลของผู้มั่งคั่ง หากยังที่อีกหลายตระกูลทั่วทั้งอาณาจักรที่ต้องการเข้าร่วมกับสำนักพยัคฆ์อัคคีนี้
จางหมิงที่ออกมาเดินเตร่เพียงคนเดียวรู้สึกได้ว่ามีความคล่องตัวกว่านัก จางซิ่งไม่อยู่ และหลิงหลิงเองก็นอนหลับอยู่ในอัญมณีไม่ยอมออกมาเป็นวันแล้ว
ความจริงแล้วอัญมณีผนึกมีอยู่สามแบบ หนึ่งคือสีขาวที่สามารถบรรจุข้าวของที่ชิ้นไม่ใหญ่นักคล้ายกล่องที่กว้างไม่เกินฝ่ามือ สองคือสีส้มสดที่มันมีติดตัวซึ่งสามารถบรรจุสิ่งของได้เท่ากล่องเสื้อผ้าขนาดกลาง และสุดท้ายคือสีม่วงที่ใส่บ้านของคนทั่วไปได้ทั้งหลังหากแต่หายากและไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากราคาสูงและผู้คนคงไม่พกของมากขนาดนั้นติดตัวไปไหน
ของใช้บางอย่างมีราคาสูงมาก จางหมิงเห็นบางคนซื้อตำราจากร้านค้าโดยยื่นอัญมณีสีขาวบรรจุเต็มให้ทั้งก้อน นั่นมีราคาถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทอง
ไม่เพียงแค่ตำราที่มีราคาสูง เม็ดยาต่างๆก็ราคาสูงไม่แพ้กัน ส่วนของอื่นๆก็ราคาตามท้องตลาดทั่วไปที่มันทำความเข้าใจได้
“นี่มันจะเกินไปแล้วนะ!”
เสียงตวาดของผู้หญิงดังขึ้นไม่ไกลทำให้จางหมิงหันไปมองอย่างสนใจ
เด็กผู้หญิงตัวเล็กอายุพอๆกับมันกำลังพยายามต่อรองกับพ่อค้า ดวงตาโกรธเกรี้ยวมองไปข้างหน้าไม่แม้จะสนใจผู้คนรอบกาย การแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายชั้นดีก็พอจะมองออกว่าฐานะครอบครัวไม่ได้ย่ำแย่ หากก็คงไม่ได้ร่ำรวยมากมายอะไร
“ท่านขายให้ผู้อื่นเพียงสิบตำลึงทองแล้วเหตุใดท่านจึงขายให้ข้ายี่สิบตำลึงทองเล่า” ริมฝีปากสีสดโวยวายเมื่อถูกโก่งราคาขึ้นเป็นเท่าตัว
“ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จงไปซื้อร้านอื่นเสีย ของที่ข้าขายล้วนคุณภาพดีทั้งสิ้น จะราคาเท่านี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรได้” พ่อค้ายังคงไม่สนใจเสียงร้องของเด็กสาว
“ถ้ามีร้านอื่นขายข้าก็คงไปซื้อที่ร้านอื่นแล้วล่ะ หากมิใช่เพราะเจ้าผูกขาดการขายก้อนผลึกโลหะแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้ ตัวข้าก็ไม่ทนเห็นหน้าเจ้าเช่นนี้หรอก” เด็กสาวยังคงไม่ยอมลงให้พร้อมทั้งว่าด้วยวาจาเสียดสี
“เช่นนั้นก็จ่ายข้ามายี่สิบตำลึงทอง ของร้านข้ามีคุณภาพทั้งนั้น เงินเพียงเล็กน้อยเจ้าจะตระหนี่ไปไย”
“แต่ข้ามีเพียงสิบห้าตำลึงทอง เช่นนั้นขายให้ข้าสิบห้าก็พอ” เด็กสาวยื่นเงินให้หากแต่พอค้าเพียงเหยียดยิ้มอย่างดูแคลนแล้วเมินสายตาหนี
“ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายก็ออกไป”
“เจ้า!”
จางหมิงรับชมฉากเช่นนั้นอย่างนึกสนุกเช่นเดียวกับผู้มุงดูคนอื่นๆ หากจะให้มันเข้าไปช่วยก็ต้องตรองดูก่อนล่ะว่ามันจะได้ประโยชน์อะไรหรือไม่
ไม่ทันที่จะกวาดสายตามองอย่างทั่วถึงมันก็เจอกับผลึกหินก้อนหนึ่งเข้า แววตายินดีฉายชัด เท้าของมันก้าวนำเข้าไปก่อนที่สมองจะทันได้คิดเสียอีก
“นี่พ่อค้า ข้าอยากทราบว่าก้อนผลึกนี้ราคาเท่าไหร่” จางหมิงถามขัดจังหวะการต่อรองที่ยังคงอยู่นั้น
“ชิ้นนี้ห้าตำลึงทอง”
“ห้า?”
“ใช่แล้ว ...หากนายน้อยต้องการข้าจะลดราคาให้ขอรับ” พ่อค้ากล่าวอย่างไพเราะเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่น่าจะมีฐานะที่ร่ำรวย ตัวมันค้าขายมาหลายสิบปี เพียงคาดเดาจากเครื่องแต่งกายและท่าทางของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันที
“แล้วทำไมของข้าเจ้าถึงลดให้ไม่ได้เล่า! แต่กับคนผู้นี้เจ้ายินดีจะลดให้” เด็กสาวเถียงกลับเมื่อพ่อค้าหันไปต้อนรับคนอื่นแทนเธอที่กำลังต่อรองราคา
จางหมิงรู้สึกระอาใจกับกริยาของเด็กสาว แม้เธอจะยังเด็กหากก็ขาดเขลาในด้านการจับจ่ายซื้อของเป็นอย่างมาก อีกทั้งเอาแต่ใจจนไม่ยอมลดราวาศอก เป็นมันก็ไม่ยอมลดให้เช่นพ่อค้าคนนี้นี่แหละ หรือไม่มันจะโก่งราคาขึ้นยิ่งกว่านี้อีก
“ข้าต้องการเพียงผลึกก้อนนี้ชิ้นเดียว แต่ข้าจะจ่ายเจ้าเพียงห้าร้อยตำลึงเงิน” จางหมิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนักหากรอบข้างกลับเงียบกริบลงทันที
พ่อค้าที่ได้ฟังนิ่งอึ้งเมื่อยังไม่เคยเจอผู้ใดที่ตัดราคาผลึกของมันลงแทบไม่เหลือชิ้นดีแบบนี้ แม้แต่เด็กสาวที่อยู่ใกล้ๆยังยากที่จะเอ่ยวาจาตัดราคาเช่นนั้น ผู้คนที่มุงดูยิ่งแล้วใหญ่ พวกมันส่วนมากต่างอยู่ที่นี่มานานและรู้ถึงนิสัยใจคอของพ่อค้าผลึกคนนี้ดีว่ามันหน้าเลือดเพียงไหน แต่เด็กชายนี่กลับ...
“เจ้าพูดว่าเช่นไรนะ!” พ่อค้าหลุดปากถามอย่างไม่ตั้งใจ
“ข้าบอกว่าจะซื้อผลึกก้อนนี้ในราคาห้าร้อยตำลึงเงิน” จางหมิงก็ยังคงตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้าเช่นเดิม
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ผลึกก้อนนี้คือสินแร่โลหะขนาดกลาง มันจะมีราคาต่ำเช่นนั้นได้อย่างไร หากไม่มีเงินจริงๆเจ้าก็ไม่ควรออกมาซื้อของ ไปซะ ตอนนี้ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า”
แม้พ่อค้าไล่อย่างโกรธเกรี้ยวจางหมิงก็ยังคงยืนมองผลึกก้อนนั้นอย่างไม่ใส่ใจ เด็กสาวที่อยู่ข้างๆพลอยให้ความสนใจผลึกก้อนนั้นไปด้วย หากแต่มองแล้วก็ยังคงเห็นว่าเป็นผลึกสินแร่โลหะที่ยังไม่ได้ถลุงเช่นเดิม
“เจ้ายังไม่ไปอีก เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าหน้าที่จากสำนักอัคคีสวรรค์มาจัดการเจ้า คราวนี้เจ้าได้...”
“เจ้าคิดว่าสิ่งนี้คือสินแร่โลหะจริงหรือ?” จางหมิงเอ่ยปากถามแทรกขึ้น
“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าโกหกหรือ”
“เจ้าไม่ได้โกหก หากสินแร่นี่ไม่ใช่ผลึกสินแร่โลหะระดับกลาง หากเป็นระดับต่ำที่แทบจะไม่มีโลหะอยู่เลย”
“เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่เคยรับสินแร่ระดับต่ำเช่นนั้นมาขาย เจ้าอย่าได้เอาเรื่องเหลวไหลมาทำให้ร้านค้าของข้าปั่นป่วนจนเสียลูกค้าแบบนี้” พ่อค้าชี้หน้าจางหมิงที่ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน
“เจ้าจะลองพิสูจน์ไหมล่ะ หากมันเป็นผลึกสินแร่โลหะระดับกลางอย่างที่เจ้าว่าข้าจะจ่ายเงินให้ในราคาหนึ่งร้อยตำลึงทอง หากไม่ ข้าต้องการผลึกก้อนนี้ในราคาหนึ่งร้อยตำลึงเงินแทน” จางหมิงแสยะยิ้ม
“นั่น... นั่นมัน...”
พ่อค้าที่เห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างมั่นใจก็ชักเริ่มที่จะไม่แน่ใจแล้วว่าผลึกก้อนนั้นของมันเป็นดังที่ว่า แต่เมื่อเห็นเศษแร่โลหะที่โผล่ออกมามันก็รับคำของจางหมิงทันที
“ก็ได้ ข้ารับคำท้านั่น”
“เช่นนั้นข้าจะเป็นผู้พิสูจน์ให้เอง!” เด็กสาวที่มองเหตุการณ์มานานอาสาขึ้นมาอย่างนึกสนุก
ผู้คนรอบข้างเริ่มมากขึ้น เมื่อสถานการณ์เริ่มจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ทีแรกเริ่มจากการต่อราคา จนตอนนี้กล่าวโยงไปถึงความเชื่อมั่นทางการค้าก็ว่าได้ เพราะหากบทพิสูจน์นั้นเป็นจริงตามที่จางหมิงว่า ความน่าเชื่อถือของพ่อค้าคนนี้ย่อมต้องลดลงอย่างมาก
“พ่อค้า เจ้าคงมีมีดโลหะเงินใช่หรือไม่” เด็กสาวถาม
“มี ย่อมต้องมี” เมื่อได้ฟังคำถามทางพ่อค้าย่อมรู้ว่าเธอต้องการจะพิสูจน์อย่างไร
มีดโลหะเงินคืออุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ปกติแล้วจะใช้ในการพิสูจน์ผลึกโลหะชนิดต่างๆ เมื่อใดที่โลหะนั้นมีดเงินเล่มนี้ไม่สามารถกรีดให้เป็นรอยได้นั่นย่อมนับเป็นโลหะชั้นดีตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป
“ข้าจะเริ่มละนะ”
ผู้คนรอบข้างมองไปที่ของสองสิ่งในมือเด็กสาว ปลายมีดวาววับค่อยๆแตะลงไปบนตัวผลึกสินแร่อย่างช้าๆ คมมีดที่ว่าคมค่อยๆเจาะลงไปบนตัวผลึกอย่างง่ายดายทำให้เสียงผู้คนฮือฮากันเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะพร้อมใจกันมองไปยังพ่อค้าที่หน้าถอดสี
“เป็นไปไม่ได้ ผลึกพวกนี้ถูกประเมินจากสายตานักประเมินชั้นสูงว่ามันเป็นผลึกสินแร่โลหะที่ไม่มีทางต่ำไปกว่าระดับกลางอย่างแน่นอน นี่จะเป็นไปได้เช่นไร”
พ่อค้ายังคงไม่ยอมรับมันจึงหันไปคว้าผลึกและมีดมาจากมือเด็กสาวและลองกรีดลงไปบนตัวผลึกเอง หากแต่แสงสีเงินที่มันเห็นกลับยุบตัวลงตามรอยมีดจนมือไม้ของมันสั่นไหวด้วยความไม่เข้าใจ
“พอแล้ว” จางหมิงคว้าผลึกออกมาจากมือของพ่อค้าทันทีที่ผลทุกอย่างพิสูจน์ออกมาได้อย่างชัดเจน
จางหมิงโยนเงินให้พ่อค้าเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงินอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้า จากนั้นก็ได้จากไปเพื่อเดินเยี่ยมชมตลาดการค้านี้ต่อโดยไม่หันไปมองหน้าพ่อค้าคนเดิมแม้แต่น้อย อีกทั้งยังคงได้ยินเสียงแจ้วๆของเด็กสาวคนที่กำลังต่อราคาของสิ่งที่เธออยากได้อีกครั้ง
จางหมิงที่ได้ของที่ต้องการแล้วจึงได้สำรวจผลึกในมือ รอยขีดข่วนสองรอยทำให้มันปวดใจไม่น้อย หากแต่สิ่งที่ได้มาก็คุ้มค่ามากนักจึงไม่ได้ใส่ใจความเล็กน้อยนั่น
สิ่งที่มันถือนั้นไม่ใช่ผลึกสินแร่โลหะอย่างที่มันว่า แต่สายตาของมันก็ย่อมไม่พลาดว่าของชิ้นนี้มีราคาสูงกว่าผลึกสินแร่มากนัก มันไม่ใช่ของที่จะนำไปสร้างอาวุธหรือเครื่องใช้ ดังนั้นย่อมแน่นอนว่าความคงทนก็มีไม่มากตามไปด้วย
จางหมิงตัดสินผลึกนี้ไม่ใช่ด้วยสายตาของพ่อค้า หากแต่ตัดสินด้วยสายตาของหมอ
‘บัวหิน’ นั่นคือชื่อของมัน
หนึ่งในสมุนไพรที่หาได้ง่ายแต่มักถูกมองข้ามจนเกิดความเสียหายให้ไม่สามารถใช้งานได้เสียส่วนใหญ่ ดังนั้นสมุนไพรชิ้นนี้หากนำไปถลุงอย่างถูกวิธี ราคาย่อมไม่ต่ำกว่าพันตำลึงทอง
หนึ่งร้อยตำลึงเงินแลกพันตำลึงทอง
นี่นับว่าคุ้มค่าเสียจริงๆ
+++
แมว : เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เริ่มเดือนใหม่ ตอนแถมจะมาตามLikeบนเฟส 50:1
แต่ตอนปกติมาวันละตอนเช่นเดิม (ไม่ได้บังคับ แต่แมวอ้อวนวอน T____T ซิก)