ตอนที่ 19 ถึงที่หมาย
19
จางหมิงทะยานข้ามทั้งสองฝ่ายไปหลบอยู่หลังกลุ่มคนของเกาหงลี่ เมื่อเห็นหัวหน้าโจรหยุดลงหน้าคนคุ้มกันของตระกูลเกาโดยไม่ตามมา มันจึงได้ถือโอกาสนี้ฟื้นฟูพลังของตนเอง
“พวกเจ้ารู้จักมันผู้นั้นหรือ” หัวหน้าโจรชี้ไปที่จางหมิง
“ก็ใช่อยู่ หากก็เพียงผิวเผินเท่านั้น” เป็นเกาหงลี่ที่ตอบขึ้นมา
“ข้าไม่ได้ถามเด็กอย่างเจ้า! เป็นเพียงเด็กน้อยอย่าริมาอาจต่อปากต่อคำ”
ด้วยคำพูดนั้น เกาหงลี่ที่ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งกับปัญหาของจางหมิงถึงได้จำเป็นต้องยุ่งในที่สุด คนหนึ่งก็โจรปากดี อีกคนก็เด็กถือดี ช่างเป็นคู่ที่ประจวบเหมาะกันเสียจริงๆ
ทั้งสองกลุ่มปะทะกัน แม้เกาหลงลี่จะไม่ได้เก่งกาจมากมายหากก็ยังเป็นถึงนายน้อยของตระกูลใหญ่ มีหรือที่ทรัพยากรที่ใช้บ่มเพาะจะขาดแคลน นั่นทำให้มันอยู่ในขั้นต่ำระดับเจ็ดเลยทีเดียว
เกาหงลี่ที่จับคู่กับผู้ติดตามมากฝีมือคนหนึ่งก็สามารถทำให้หัวหน้าโจรล่าถอยออกไป ผู้ติดตามอีกหลายคนก็โดนลูกหลงจนบาดเจ็บบ้างแต่ไม่มากนัก เมื่อมันหันกลับไปเพื่อจะต่อว่าจางหมิง สิ่งที่มันพบก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“เจ้าอ่อนแอนั่น! ทำแสบนักนะ!”
จางหมิงที่ถูกขู่อาฆาตตอนนี้วิ่งออกไปไกลลิบแล้ว
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันมันได้สงบจิตใจตนเองเพื่อใช้สมาธิฟื้นฟูพลัง น่าแปลกใจที่ในสภาวะวุ่นวายมันกลับทำสมาธิได้ง่ายๆโดยไม่วอกแวกเช่นทุกที และเมื่อได้พลังกลับมาส่วนหนึ่งมันก็หาจังหวะที่ผู้คนจดจ่อกับคู่ต่อสู้หนีออกมา
บางทีมันก็ง่ายดายเกินไปจนหาความตื่นเต้นไม่ได้เอาเสียเลย
จางหมิงเตร็ดเตร่อยู่ในป่าจวบจนเย็น สิ่งที่มันทำก็เพียงแค่เดินไปมาสำรวจป่าและนำหลิงหลิงออกมาคุยเล่น บ้างก็สอนให้จิ้งจอกน้อยตัวนี้หัดพูด
พรึบ!
“นายน้อยเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ได้รับอันตรายหรือไม่ ข้าขออภัยที่ไม่อาจปกป้องท่านได้ หากข่าวนี้รู้ไปถึงนายใหญ่และนายหญิง ทั้งสองคงเป็นห่วงอย่างแน่นอน อีกทั้งท่านควรจะมากับพวกผู้ติดตามมากกว่าข้าที่ไร้พลังเช่นนี้” คนที่โผล่พรวดเข้ามาเป็นจางซิ่งที่เหงื่อโทรมกาย
“ใจเย็นๆ ไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น โหวกเหวกไปทำไม”
“แต่นายน้อย... นั่นมันอันตรายมากเลยนะขอรับ หากไม่ได้พวกนายน้อยเกาช่วยไว้ข้าคงไม่มีหน้าไปพบกับเหล่าผู้คนของตระกูลเป็นแน่”
ความจริงแล้วจางซิ่งได้ลอบติดตามจางหมิงและหัวหน้าโจรอยู่ห่างๆ แม้ไม่อาจตามได้ทันจนระยะห่างค่อยๆยืดยาวออกไป แต่กระนั้นมันก็ยังเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางที่ผ่านมา
“หืม... เจ้าเจอพวกตระกูลเกาหรือ” จางหมิงเงยหน้าจากหลิงหลิงขึ้นมาถาม
“ขอรับ พวกมันบาดเจ็บกันเพียงเล็กน้อย”
“ข้าไม่ได้สนใจว่าพวกมันบาดเจ็บหรือไม่ ที่ข้าสนใจคือพวกมันปล่อยเจ้าออกมาง่ายๆเช่นนั้นหรือ” จางหมิงสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะเท่าที่เห็นดูเหมือนเกาหลงลี่จะไม่ได้ญาติดีกับพวกมันที่เป็นตระกูลจางเท่าไหร่นัก
จางซิ่งทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้พร้อมกับสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่เพื่อปรับสภาพของตนเอง หลังจากนั้นก็พยักหน้าให้กับคำถามของนายน้อยของมัน
“ความจริงแล้วนายน้อยเกาหงลี่ไม่ได้เลวร้ายมากนัก แม้จะหยิ่งยโสและถือดีไปบ้าง หากถ้าเทียบกับนายน้อยและคุณหนูตระกูลอื่นนั่นนับว่าดียิ่ง”
“?” จางหมิงเลิกคิ้วอบ่างแปลกใจ
นั่นนับว่าดีแล้วหรือ...
“เมื่อเจอกันครั้งแรกท่านอาจจะยังไม่รู้ระดับพลังของนายน้อยตระกูลเกาคนนั้น แต่ตอนนี้ข้าคาดว่าท่านคงทราบแล้ว ด้วยอายุเพียงสิบสามปีกลับสามารถอยู่ในระดับต่ำขั้นที่เจ็ดได้ นั่นย่อมเรียกว่าอัจฉริยะ หากนายน้อยเกาหงลี่ก็ไม่เคยใช้พลังของตนเองข่มเหงผู้อื่น เช่นเมื่อครั้งเจอท่านในครั้งนั้น นายน้อยเกาหงลี่ก็เพียงแค่เอ่ยว่าด้วยวาจาเพียงเท่านั้น” จางซิ่งได้อธิบายย้อนความให้ฟัง
“เหอะ เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ทำพาลไปทั่วราวเด็กน้อย มันเป็นผู้มีพรสวรรค์หรือพรจากทรัพยากรวันหน้าคงได้รู้กัน หากข้ายังมีความสงสัยข้อหนึ่ง”
“เชิญนายน้อยกล่าว”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดพวกตระกูลเกาถึงได้เข้ามาที่นี่”
“ข้าพอเดาออกบ้าง ...หากนับจากระยะทางของเมืองมังกรครามไปยังสำนักอินทรีย์สวรรค์ที่นายน้อยตระกูลเกาต้องเดินทางไป การเดินทางครั้งนี้ของมันนับว่าล่าช้าไปเสียหน่อย ดังนั้นจึงได้ตัดผ่านแนวป่าพร้อมคนคุ้มกันอีกหลายคน เพราะด้วยสำนักแห่งนั้นอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง นั่นนับว่าไกลกว่าสำนักพยัคฆ์อัคคีของเราพอสมควร”
จางหมิงพยักหน้ารับ ในใจยังคงคิดว่าผู้ติดตามของมันคนนี้ช่างรู้มากดีแท้
เดินทางกลางป่ากันอีกสองวันในที่สุดพวกมันก็มาถึงสำนักพยัคฆ์อัคคีในที่สุด
ในตลอดระยะเวลาในการเดินทางจางหมิงไม่ได้คืนอัญมณีให้แก่จางซิ่ง เจ้าของก็ไม่ได้ถามหาอีกมันจึงได้ยึดไว้เป็นสมบัติของตนเองไปเรียบร้อย อีกทั้งกล่องไม่เจ้าปัญหาที่เปิดไม่ออกก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออกได้ง่ายดายเช่นเดิม มันทั้งงัดทั้งทุบจนหมดปัญญาแล้วจริงๆ
ช่วงนี้มันขอบคุณนิสัยเถรตรงสุดๆของจากซิ่ง เพราะแม้มันจะทำอะไรก็ไม่ได้ถามมากความเนื่องจากเคารพความเป็นส่วนตัวของมัน แต่ก็น่าเบื่อตรงที่ความเป็นห่วงเป็นใยจนเกินพอดีนั่น
สำนักพยัคฆ์อัคคีหรือสำนักอื่นๆก็เปรียบดังเมืองเมืองหนึ่ง ทั้งใหญ่โต กว้างขวาง แต่ล้วนแล้วเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์เหาะเหินกันให้ว่อน
ตัวสำนักพยัคฆ์อัคคีจริงๆตั้งอยู่กลางเมือง รอบนอกคือหมู่บ้านของประชาชนทั่วไปที่อย่างน้อยก็ต้องเปิดปราณแล้ว บางครั้งผู้คนก็เรียกที่นี่ว่าเมืองพยัคฆ์อัคคี
“นายน้อยขอรับ ตอนนี้พวกเรามาถึงก่อนคนอื่นๆและนายน้อยจางอี้เหลียน คนเหล่านั้นจะมาถึงก็เกือบสองวัน เห็นทีพวกเราคงต้องหาโรงเตี้ยมพักกันก่อน อยากทราบว่านายน้อยต้องการโรงเตี้ยมแบบไหน”
“อย่างไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตมากขอแค่ไม่วุ่นวายก็พอ” จางหมิงปัดมือส่งๆ สายตายังคงมองไปรอบด้านอย่างสนใจใคร่รู้
การค้าของเมืองมังกรครามนั้นนับว่าใหญ่ที่สุดแต่มันก็ไม่เคยไปเห็นบริเวณจุดการค้านั้นมาก่อน เมื่อมองเมืองพยัคฆ์อัคคีที่ผู้คนมากมายจับจ่ายกันอย่างวุ่นวายมันก็ชักอยากหันหลังกลับเมืองของตนเองเพื่อไปดูที่โน่นเสียหน่อย แค่เมืองธรรมดาที่อยู่ในเขตการปกครองของหนึ่งในห้าสำนักยังคึกคักได้ถึงเพียงนี้ แล้วเมืองของมันที่ถูกกล่าวขวัญในเรื่องนี้เล่า...
ไม่เพียงแค่มนุษย์เดินกันให้ว่อนแต่สัตว์ประหลาดทั้งหลายที่มันไม่เคยเห็นยังถูกนำมาใช้งานมากมายเต็มไปหมด ตอนนี้มันเริ่มเข้าใจแล้วว่าก่อนเข้ามาทำไมจางซิ่งถึงได้ไม่ห้ามปรามที่มันอุ้มหลิงหลิงเดินไปมา
หากเพราะความแปลกของสิ่งมีชีวิตในอ้อมแขนยังไม่เท่ากับสัตว์ประหลาดเหล่านี้เลย!
“นายน้อยขอรับ เชิญทางนี้”
“เจ้ารู้จักโรงเตี้ยมแถวนี้หรือ” จากหมิงถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ออกไปสอบถามผู้คนหากกลับนำทางออกไปเลย
“ข้าเคยมากับนายใหญ่เมื่อครั้งมาส่งพวกคนในตระกูลครั้งหนึ่งขอรับ”
“อืม... ก็ดี”
+++
แมว : ตอนนี้ไม่น่าค้าง หรือเปล่า...
*แถม พิเศษ