ตอนที่ 13 เดินทาง
13
“ไปเร็วพี่ซิ่ง”
“นายน้อยไม่รอร่ำลานายหญิงกับนายใหญ่ก่อนหรือ” จางซิ่งที่ควบม้ามาด้านข้างกล่าวถาม
“ข้าเขียนจดหมายไว้แล้ว”
“แต่เดี๋ยวนายหญิงจะเป็นห่วงท่าน”
“แล้วอย่างไร” จางหมิงไม่ได้สนใจจางซิ่งอีก ตอนนี้มันมีความสุขราวกับหลุดพ้นออกมาจากขุมนรก ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อต้องพูดดีกริยาเรียบร้อยทั้งวันทำเอามันเหนื่อยแปลกๆ
อีกอย่างมันไม่เคยชินกับการถูกรักและการทะนุถนอมจากบุคคลในครอบครัว นั่นทำให้มันอดรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้ ออกมาอยู่ข้างนอกนี่ก็ดีไปอย่าง อย่างน้อยก็ได้ออกมาดูโลกก่อนเข้าไปอยู่ในสำนัก
สำนักพยัคฆ์อัคคีเป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่แห่งอาณาจักรมังกรทะยาน เมืองหลวงซึ่งปกครองเมืองมังกรครามของมันอีกที ว่ากันว่าทั้งห้าสำนักล้วนแล้วแต่มียอดฝีมือมากมาย แต่ละคนที่อยู่ที่นั่นล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ในระดับหนึ่ง แต่ละสำนักกระจายอยู่สี่ทิศรอบเมืองหลวงและอีกสำนักที่เป็นของอาณาจักรมังกรทะยานเอง
จากตระกูลจางไปสำนักพยัคฆ์อัคคีเมื่อเทียบระยะทางแล้วสมควรเดินทางด้วยม้าไม่เกินห้าวันก็ถึง ซึ่งนั่นถือว่าใกล้ที่สุดในบรรดาสำนักทั้งหมด แต่ตามทางก็ยังมีสำนักขนาดเล็กอีกมากมายให้เลือกสรร
“เราต้องนอนในป่าหรือเปล่า” จางหมิงถามจางซิ่งที่ควบม้าอยู่ด้านหลัง
“ไม่ขอรับ ตามทางที่เรามานี้แม้จะอ้อมไปบ้างแต่ก็มีหมู่บ้านตั้งอยู่มากมายจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ยิ่งที่หลับนอนนั้นไม่เป็นปัญหา”
“แล้วถ้าตัดผ่านป่าไปโดยไม่ต้องอ้อมล่ะ จะถึงที่หมายในอีกกี่วัน”
“สามวันขอรับ แต่นั่นมันอันตรายมากไป ในป่ามีทั้งสัตว์ร้ายและโจรภูเขา ข้าว่าเราไม่ควรที่จะไปเสี่ยงแบบนั้น” จางซิ่งตอบคำถามแล้วเอ่ยเตือนกลายๆ
“สัตว์ร้าย? โจรป่า? ...หึหึ”
ก็น่าสนใจทั้งนั้น!
“นายน้อย! ท่านจะไปไหน!” จางซิ่งชักม้ามาขวางหน้าเมื่อนายน้อยของตนเลี้ยวม้าเข้าป่าเอาดื้อๆ
จางหมิงเลิกคิ้วมองคนข้างหน้า มันเบื่อกับความเถรตรงของคนตรงหน้าเสียจริงๆ
“ข้าให้เจ้าเลือก ระหว่างเข้าป่าไปกับข้า หรือไม่ก็ปล่อยข้าไปตามทางของข้า เจ้าจะเลือกอย่างไหน พี่ซิ่ง” รอยยิ้มที่มักจะแสร้งสุภาพตอนนี้เปิดเผยให้เห็นเพียงรอยยิ้มหยันเท่านั้น
“ข้า ข้า...”
“ถ้าตัดสินใจไม่ได้เจ้าก็อยู่ตรงนี้ต่อไป” จางหมิงไม่สนใจกระชากม้าให้พุ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
ข้อดีข้อหนึ่งของการเป็นโจร ...การจำแผนที่นั้นแม่นนักล่ะ!
ก่อนจากมามันได้แผนที่ทางไปสำนักมาแผ่นหนึ่ง รายละเอียดแม้ไม่มากนักแต่ก็แม่นยำพอจะนำทางได้โดยไม่หลง ตัวหนังสือมันจำได้ไม่หมดหรอกถ้าให้อ่านไม่กี่ครั้ง แต่ถ้าเป็นแผนที่ ขอแค่ได้มองสักครั้งมีหรือจะลืมได้
แค่เปลี่ยนจากทางเท้ามาเป็นป่า นั่นไม่ได้ทำให้มันหรอกทางหรอก
“คอยข้าด้วยนายน้อย!”
“ความจริงแล้วที่เหมือนจางไท่อิงไม่ใช่จางอี้เหลียนหรอก คงเป็นจางซิ่งผู้นี้นี่แหละ” จางหมิงพึมพำกับตนเอง
“นายน้อยพูดว่าอะไรนะขอรับ”
“ก็เรื่อยเปื่อย ...ไปกันเถอะ”
เรียกสตรีอายุน้อยเป็นมารดามานาน พอได้ออกจากบ้านมันก็เพิ่งจะได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองจริงๆก็คราวนี้ จางหลีไห่ จางไท่อิง หรือพี่น้องคนอื่นๆ สำหรับมันนั่นก็เด็กทั้งนั้น
แนวป่ารกชื้นเต็มไปด้วยสัตว์เล็กๆร้องระงมในช่วงกลางคืน เด็กชายตระกูลจางทั้งสองกำลังนอนก่ายเกยอยู่บนยอดไม้ไม่ห่างกันนัก หนึ่งดูจะสบายใจกับสายลมเย็นที่โชยพัดเมื่อฤดูเหมันต์ใกล้เข้ามา อีกหนึ่งดูจะกระวนกระวายมองรอบด้านอย่างระแวดระวังตัว
“เจ้าจะอะไรหนักหนา แค่นอนป่ามันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกน่า”
“ข้าเพียงต้องการระวังตัวไว้ เผื่อมีสัตว์ป่าได้กลิ่นเราหรือว่าโจรเห็นพวกเราเข้าจะเป็นอันตราย” จางซิ่งยังคงไม่คลายใจ
“เด็กน้อย... ที่นี่มันอยู่เหนือลม พวกสัตว์ป่าจะได้กลิ่นได้อย่างไร อีกทั้งบริเวณนี้ไม่มีร่องรอยของผู้คนผ่านมานานแล้ว และพื้นที่ก็ไม่เหมาะกับการตั้งค่ายเนื่องจากห่างไกลแหล่งน้ำ ถ้าเข้าใจแล้วก็นอนลงไปซะ” จางหมิงเอนหลังพิงต้นไม้ไม่สนใจจางซิ่งอีกต่อไป
จางซิ่งมองดูนายน้อยของมันที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร แถมยังวิเคราะห์แยกแยะทุกอย่างรอบกายได้อย่างเฉลียวฉลาด ความนับถือของมันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ติดอยู่อย่างเดียว
คำว่าเด็กน้อยนั่น! ทั้งๆที่มันอายุมากกว่าแท้ๆ
สายลมเย็นๆทำให้ทั้งสองเข้าสู่ห้วงนิทรา ไม่สิ เพียงแค่จางซิ่งเท่านั้น
ดวงตาสีดำดำสนิทแวววาวในความมืดมิด แสงจันทร์เว้าแหว่งที่เหลือเพียงน้อยนิดทำให้สามารถมองรอบข้างได้บ้าง เสียงสวบสาบเบาๆที่ดังมาแต่ไกลเป็นเหตุให้มันต้องตื่นขึ้นมา
จางหมิงโหนตัวลงจาต้นไม้อย่างแผ่วเบา ฝีเท้าของโจรจะอย่างไรก็ย่อมแทบไม่เกิดเสียง ทางข้างหน้ามีแสงไฟอยู่รำไรให้พอดูได้ว่าเสียงที่ดังมานั้นเกิดจากมนุษย์มิใช่สัตว์ป่า
“เจ้าแน่ใจหรือว่ามีงูเกล็ดนิลแถวนี้”
“แน่ใจสิ หลายวันก่อนข้าผ่านมาทางนี้กับท่านอาจารย์จึงได้พบเข้า แต่น่าเสียดายว่าตอนนั้นเร่งรีบเกินไปจึงไม่ทันได้จับตัวไว้ หากพวกเราจับมันได้คงนำไปแลกเม็ดยาที่สำนักได้มากมายทีเดียว”
ชายสองคนพูดคุยกันเบาๆ สายตาก้มสำรวจบนพื้นดินรอบๆอย่างตั้งใจ แต่ก็ตั้งใจเกินไปจนไม่ได้สังเกตจางหมิงที่ติดตามมาข้างหลัง
งูเกล็ดนิล ว่ากันว่าไม่มีพิษเช่นอสรพิษทั่วไปหากแต่มีความรวดเร็วสูง การจับจึงค่อนข้างยากแต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างสรรพคุณทางยาก็มากมายจึงจัดได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่า
จางหมิงตาเป็นประกายเมื่อได้รับรู้ สำหรับมันที่เรียนหมอมากับแค่วิธีใช้เจ้างูนั่นให้เกิดประโยชน์สูงสุดย่อมทำได้ไม่ยาก ดีที่ว่าหลายสิ่งบนโลกใหม่ของมันค่อนข้างเหมือนกับสถานที่ที่ชีวิตเดิมของมันอยู่ ดังนั้นตามหลักแล้วคงเป็นโลกใบเดียวกันแต่คงจะห่างไกลกันมากทีเดียว
ชายหนุ่มทั้งสองคนเริ่มถอดใจเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสามชั่วโมงแต่ก็ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตที่ตามหา มันจึงปรึกษากันว่าควรทำเช่นไรต่อไป
“งูก็ตัวดำ รอบข้างก็ดำมืด เจ้านี่ก็ช่างคิดให้มาหามันในเวลาแบบนี้”
“ฮึ่ย! ตอนเช้าเราจะเอาเวลาที่ไหนมากันเล่า ไหนจะต้องฝึกฝน ไหนจะภารกิจสำนัก บางครั้งก็ต้องปรนนิบัติพวกศิษย์พี่อีก เอาเถอะ หาไม่เจอก็ช่างมันปะไร กลับกันดีกว่าเสียเวลามากแล้ว”
“ก็ดี”
เมื่อคนทั้งสองจากไป จางหมิงก็ได้จากไปเช่นกัน มันกลับไปที่ต้นไม้ต้นเดิมก่อนจะปลุกจางซิ่งขึ้นมาแล้วรีบรุดเดินเข้าป่าไป จางซิ่งที่ยังมึนๆอยู่ก็ได้แต่เดินตามไปเท่านั้น
“นายน้อยหาอะไรหรือ” มันถามเมื่อเดินมานานพอสมควรแต่ผู้ที่เดินนำหน้าก็แค่เพียงก้มๆเงยๆกับพื้น
“ข้าหาต้นปอปีกเดียว”
“ปอปีกเดียว? มันเป็นแค่หญ้ามิใช่หรือ”
“สำหรับพวกเรามันคือหญ้าที่หาประโยชน์ไม่ได้ แต่สำหรับสัตว์บางชนิดมันคืออาหารชั้นดี มาเถอะ มาช่วยข้าหา เราต้องหาให้เจอก่อนรุ่งเช้า” จางหมิงกำชับแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
มันไม่คิดมาก่อนเลยว่าระหว่างทางมันจะเจอสมบัติ ความจริงมันแค่ต้องการมาดูว่าเหล่าโจรของดินแดนนี้จะเป็นเช่นเดียวกับพวกมันหรือไม่
งูเกล็ดนิลเป็นสัตว์กินพืชที่จะมองไม่เห็นในตอนกลางคืน แหล่งพักของมันจะอยู่ใต้ต้นปอปีกเดียวที่มีกลิ่นฉุน หากจะถามว่าทำไมต้องเป็นตอนกลางคืน? แม้ผู้อื่นไม่รู้แต่จางหมิงรู้ ความเร็วของงูตัวนั้นไม่ใช่ปัญหาสำคัญของการจับ แต่เป็นความลื่นของเกล็ดมันต่างหากที่จะทำให้จับมันไม่ได้เมื่อมันเคลื่อนไหวในตอนเช้า
รู้หรือไม่ว่าแส้ของมันเมื่อก่อนทำจากอะไร
หึหึ...
สมบัติของจางหมิง แส้ประจำตัวของมัน หรือก็คือแส้หนังงูเกล็ดนิล!
แต่แส้ก็ส่วนแส้ ความสำคัญจริงๆของงูเกล็ดนิลคือดีงู เพราะมันมีราคาถึงยี่สิบตำลึงทอง!
+++
แมว : หมิงน้อยงกนิดนึง เนอะ...
*แถม พิเศษ