ตอนที่ 12 แกนปราณ
12
มันเป็นคนปกติ มันเชื่ออย่างนั้นมาตลอด แต่ร่างกายมันตอนนี้ไม่ได้มีความปกติเลยสักนิด
จางหมิงนั่งจ้องถ้วยยาบำรุงรสขมฝาดตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย ปลายลิ้นแทบไม่รับรู้รสชาติอื่นใด แม้อยากเททิ้งแทบตายแต่เมื่อมารดานั่งจ้องอย่างคาดหวังมันก็ได้แต่ดื่มลงไป
“ยาพวกนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรข้าเลยท่านแม่ ดื่มต่อไปก็เท่านั้น”
“ไม่ได้นะหมิงเอ๋อ ยานี่ท่านหมอเป็นคนจัดให้ อย่างน้อยมันก็ช่วยบำรุงร่างกายได้ การถูกพิษร้ายแรงกัดกินร่างกายเช่นนั้นจะทำให้แกนปราณเสียหาย หากปล่อยไว้เจ้าอาจไม่สามารถเลื่อนระดับได้”
กล่าวถึงแกนปราณ ว่ากันว่ามันอยู่ระหว่างหัวใจและกระเพาะตรงช่วงกลางลำตัว ผู้ฝึกปราณจะมีช่วงว่างตรงนั้น เมื่อฝึกฝนมากเข้าแกนปราณก็จะยิ่งขยายและทำให้อายุขัยหรือพลังเพิ่มมากขึ้น และด้วยเหตุนี้ หากแกนปราณเสียหายร่างกายก็จะอ่อนแอลง อีกทั้งทำให้เสียชีวิตได้หากแกนปราณถูกลำลาย
“ท่านรู้ได้อย่างไรกันว่าแกนปราณข้าเสียหาย” จู่ๆจางหมิงก็ถามขึ้นมาเมื่อเกิดความสงสัยหนึ่ง
“คนเราเมื่อถูกพิษจากภายในที่ปราณไม่อาจยับยั้งมันจะแทรกซึมเข้าไปสู่แกนปราณก่อนจะค่อยๆทำลายมัน นั่นเหมือนกับเจ้าครานั้น อย่างน้อยเจ้าก็ควรห้ามละทิ้งยาบำรุงเหล่านี้เด็ดขาด”
“มีวิธีตรวจสอบมันหรือไม่ท่านแม่”
“มีสิ ปกติแล้วเราไม่อาจตรวจสอบแกนปราณของผู้อื่นได้ก็จริง แต่การตรวจสอบแกนปราณของตัวเองนั้นย่อมทำได้โดยง่าย”
“ท่านบอกไม่สามารถตรวจสอบแกนปราณของผู้อื่น เหตุใดจึงรู้ว่าแกนปราณข้าเสียหาย”
“แม้ไม่อาจตรวจสอบได้โดยตรง แต่แก้วผนึกวารีก็ตรวจสอบความเสียหายเหล่านี้ได้บ้าง”
จางหมิงจำได้ว่าเมื่อมันตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวันหลังจากพิษกำเริบ หมอที่มันพอจะจำหน้าได้ได้ให้มันถ่ายพลังปราณส่วนหนึ่งเข้าไปในลูกแก้วขนาดครึ่งฝ่ามือ ก่อนที่ลูกแก้วนั้นจะกลายเป็นสีดำเป็นผลให้มันต้องมานั่งดื่มยาอยู่แบบนี้
“ความเสียหายของแกนปราณจะรับรู้ได้เมื่อแก้วผนึกวารีกลายเป็นสีดำโดยไม่สนว่าจะเสียหายมากหรือน้อย หากแกนปราณสมบูรณ์ดีแก้วผนึกวารีจะเป็นสีขาว แต่โดยปกติแล้วแกนปราณจะไม่มีทางเสียหายได้โดยง่าย แต่การทดสอบของเจ้าออกมาเป็นสีดำนั่นย่อมเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย” จางไท่อิงพูดอย่างเป็นห่วงพร้อมกับสังเกตปฏิกิริยาบุตรชายที่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“แล้วที่ท่านแม่บอกว่าตรวจสอบด้วยตนเองนั้นเป็นอย่างไร”
“หืม... ปกติเจ้าบ่มเพาะก็ต้องสัมผัสถึงมันได้ตลอดมิใช่หรือ หากจะให้ชัดเจนขึ้นก็ลองโคจรพลังที่อยู่ภายในสำรวจดูว่ามันเกิดความเสียหายหรือไม่ก็ได้”
จางหมิงขมวดคิ้วทันทีที่มารดามันเอ่ยจบ มันไม่เข้าใจว่าแกนปราณที่ว่าตรวจพบได้โดยง่ายของมันเป็นอย่างไร ในเมื่อมันไม่เคยสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ว่ามานี่เลย
“ขอบคุณท่านแม่ที่สั่งสอน ตอนนี้ข้าขอตัวพักผ่อนก่อนได้หรือไม่”
“ได้ๆ ได้สิหมิงเอ๋อ เช่นนั้นแม่จะไม่รบกวนเจ้าแล้ว พักผ่อนให้มากๆเจ้าจะได้หายเร็วๆ หากว่างเจ้าก็อย่าลืมตรวจสอบแกนปราณของเจ้าว่าหายดีแล้วหรือไม่” จางไท่อีกลูบผมมันเบาๆก่อนจะผละจากไป
ทำไมผู้คนเหล่านี้จึงชอบเล่นหัวมันนัก!
อาคารกลาง ชั้นสอง
จางหมิงกำลังหาข้อมูลของการตรวจหาแกนปราณในตำราต่างๆ แต่จนแล้วก็ไม่อาจหาเจอวิธีอื่นใดได้อีก ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็ไม่อาจหาแกนปราณของตนเองพบ
“นายน้อยจางหมิง ท่านผู้นำเรียกหาขอรับ”
“ได้” จางหมิงตอบรับข้ารับใช้ก่อนจะวางหนังสือกลับเข้าที่เดิมแล้วตามออกไป
กว่าสามวันแล้วที่จางหมิงไม่ได้พบหน้าบิดาของมันเอง ครั้งสุดท้ายก็คือตอนที่มันตื่นขึ้นมาหลังจากพิษกำเริบตอนนั้น ความจริงมันก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่กับกายหายไปของจางหลีไห่
“มาแล้วหรือลูกหมิง”
“คารวะท่านพ่อ”
“เจ้าจำเรื่องที่ข้าอยากให้เจ้าเข้าร่วมสำนักพยัคฆ์อัคคีได้หรือไม่” ยังไม่ทันได้นั่งลงบิดาของมันก็ถามขึ้นมาเสียก่อน
“ข้าจำได้”
“ตอนนี้ตระกูลจางเรากับตระกูลเกามีปัญหาการค้ากันอย่างรุนแรง ช่วงนี้ข้าจึงไม่มีเวลาสั่งสอนเจ้าได้ แต่ข้าก็ยังมั่นใจว่าเจ้าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองดังเช่นที่แล้วมา และข้าอยากให้เจ้ารีบเรียนรู้ทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นให้พร้อม”
“ท่านพ่อ นั่นหมายถึง...”
“เจ้าต้องทดสอบเข้าสำนัก! มีเวลาอีกเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น ซึ่งนั่นรวมเข้ากับระยะเวลาเดินทาง หมายความว่าเหลือเพียงอาทิตย์เดียวที่เจ้าจำต้องศึกษาหาความรู้ที่ตระกูลเรา และข้าหวังว่าเจ้าจะพร้อม ช่วงนี้ข้าจะละเว้นให้เจ้าไม่ต้องเรียนรู้ด้านการค้า”
“ขอบคุณขอรับ และข้าจะพยายามท่านพ่อ” มันตอบรับอย่างจริงจัง
ความจริงแล้วจางหมิงรู้สึกเบื่อหน่ายการเคารพและพิธีรองตองทั้งหลาย การเข้าร่วมสำนักที่เคร่งครัดราวกับว่ามันถูกส่งไปเข้าคุก แต่มันจะปฏิเสธได้อย่างไร
“ข้าต้องการพูดคุยแค่นี้แหละ เจ้าออกไปเถอะ” จางหลีไห่ก้มลงขีดเขียนอย่างเร่งรีบบนโต๊ะทันที คิ้วขมวดเป็นปมตลอดเวลา คาดว่าปัญหากับตระกูลเกาคงใหญ่ไม่น้อย
“ข้าอยากจะสอบถามสักเรื่องท่านพ่อ”
จางหลีไห่ชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนพูด บุตรชายมันหลังๆดูจะเงียบขรึมลง แม้จะยังเชื่อฟังอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีเป็นกังวลเล็กๆแบบนี้
“ว่ามาลูกหมิง”
“ข้า... ข้าเพียงสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมที่คนเราจะไม่มีแกนปราณ”
คราแรกจากหมิงอยากถามว่ามันไม่มีแกนปราณจะเป็นอะไรหรือไม่ แต่เมื่อคิดสักพักจึงได้เปลี่ยนคำถามไป มันกลัวว่าชีวิตมันจะวุ่นวายมากกว่านี้
“เป็นไปได้สิ คนปกติก็เป็นเช่นนั้น”
“อ่อ...”
“เพราะพวกเขาไม่ได้ฝึกฝนพลังปราณ เมื่อเริ่มต้นเปิดปราณรับรู้ถึงพลังภายในนั่นนับว่าก้าวเข้าสู่ขั้นต่ำระดับแรกเริ่ม แกนปราณจะก่อกำเนิดนับตั้งแต่ช่วงนั้น” คำตอบที่ตามมาอีกทำให้จางหมิงยิ่งฉงน
“แล้วถ้าหากผู้ฝึกปราณไร้แกนปราณล่ะท่านพ่อ” มันยังคงถามต่อ
“แกนปราณคือส่วนหนึ่งของชีวิต หากเสียหายย่อมกระทบถึงชีวิต หากขาดหายไปคนผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร หรือว่าแกนปราณของเจ้าจะเสียหายหนักจากอาการเมื่อหลายวันก่อน” จางหลีไห่แทบลุกออกมาจากโต๊ะเมื่อนึกขึ้นได้แต่ก็ถูกห้ามไว้ก่อน
“ไม่!ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรและหายดีแล้ว ข้าเพียงสงสัยก็เท่านั้น เช่นนั้นไม่รบกวนแล้ว ขอตัว”
“เช่นนั้นก็ดี ไปเถอะ”
หลังประตูห้องปิดลงจางหมิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะรีบเดินทางกลับห้องตนเอง พอมาถึงก็ปิดประตูแน่นแล้วลองโคจรพลังภายในเพื่อตรวจสอบแกนปราณอีกครั้ง และยังคงเป็นเช่นเดิม มันหาแกนปราณที่ว่านั้นไม่เจอ
มันเจอความแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งในชีวิตของมัน นั่นนับว่าวุ่นวายโดยแท้
แต่มันจะทำอะไรได้...
กลางอกที่ต้องมีแกนปราณความจริงไม่ได้ว่างเปล่า แม้ไม่มีแกนปราณอยู่แต่ภายในนั้นมีพิษร้อนและเย็นคับเคี่ยวกันอย่างบ้าคลั่งรอเวลาระเบิดออกมา
ความผิดปกติของมันนับวันยิ่งมากขึ้นทุกที
+++
แมว : เมื่อไหร่จะออกบ้านหนอ เบื่อบ้านเธอแล้วหมิงน้อย