ตอนที่ 10 ผลการต่อสู้
10
จางหมิงพยักหน้าตอบรับ แม้แปลกใจไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ มันเร่งพลังปราณใช้วิชาตัวเบาทะยานข้ามภพที่ได้ฝึกมาพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายตรงๆ หมัดถูกชกออกไปส่งๆอย่างไม่ใส่ใจมากนัก
“นั่นมันวิชาตัวเบาขั้นชำนาญ!”
“ทะยานข้ามภพนี่ ข้าเคยฝึกมาก่อน มันเหมาะกับการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงในระยะสั้น แต่ไม่คิดว่าจะมีคนฝึกได้มากกว่าขั้นสามัญด้วย”
ผู้คนต่างคุยกันอื้ออึงเพราะแสงสีเหลืองวูบวาบจากวิชายุทธ์ในดะดับขั้นชำนาญ แม้จะห่างจากระดับสามัญเพียงขั้นเดียวแต่การขึ้นไปถึงขั้นนั้นก็ยังนับว่ายากเย็นยิ่ง
จางซิ่งที่ความเร็วไม่อาจตามอีกฝ่ายทันจึงได้รวบรวมลมปราณเข้ากับทักษะทางร่างกายอย่างหนึ่งเพื่อปัดป้อง และพยายามจู่โจมให้อีกฝ่ายถอยร่นไปเรื่อยๆด้วยพลังปราณที่รุนแรงกว่า
“ลูกซิ่งเองก็ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้เกราะปราณจะไม่สามารถเข้าได้ถึงขั้นชำนาญแต่คาดว่าคงอีกไม่นานแล้ว” จางหลีไห่เอ่ยชมพลางพยักหน้าให้กับบุตรบุญธรรมคนนี้
“หมิงเอ๋อสามารถฝึกในระดับชำนาญได้ช่างน่าตื่นใจยิ่งนัก” จางไท่อิงยิ้มอย่างยินดีเต็มใบหน้า เพราะบัดนี้ลูกน้อยที่แสนบอบบางของนางแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากแล้ว
บนเวทีจางหมิงที่เป็นฝ่ายโจมตียังคงถูกต้อนให้ถอยร่น มันจึงใช้วิชาตัวเบาขยับถอยให้พ้นระยะอีกฝ่ายก่อนจะเร่งเร้าพลังภายในแล้วกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นเพื่อใช้วิชายุทธ์ออกมา
“อาชาไพรี”
ปราณสีขาวพุ่งตรงไปข้างหน้าก่อรูปเป็นม้าศึกตัวกำยำ รอบกายมันราวกับสายลมที่โหมพัดพร้อมฉีกกระชากสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง เสียงหวีดร้องของม้าป่าสนั่นหูผู้คนขณะทะยานออกมาทำให้น่าหวาดกลัวไม่น้อย
“นั่นมันวิชาอะไรกัน ช่างน่าเกรงขามนัก”
“มันคืออาชาไพรี! มันคือวิชาเดียวกับที่นายน้อยจางอี้ห้าวเลือกฝึกเป็นวิชาแรกเมื่อครั้งอดีต แม้จะเป็นเพียงแค่ระดับสามัญแต่ก็ยังคงทรงพลังยิ่ง”
ทุกคนฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งไม่เว้นแม้แต่เหล่าผู้นำตระกูลจาง ภายในสามอาทิตย์หากมีพรสวรรค์โหมฝึกวิชาเดียวก็พอจะมีโอกาสก้าวไปถึงระดับชำนาญ แต่นี่ถึงกับฝึกวิชาที่มากกว่าไร้ฐานถึงสองวิชาเพียงแค่สามอาทิตย์จะไม่ให้ตกตะลึงได้เช่นไร หากมันก็ใช่ว่าจะทำได้ยาก แต่เมื่อนายน้อยที่มีข่าวลือว่าไร้สามารถเป็นผู้แสดงให้มันปรากฏออกมา ไม่ว่าใครย่อมต้องตกตะลึงเป็นแน่
ดวงตาของจางซิ่งหดเล็กลงเมื่อเห็นเช่นนั้น แต่ความห่างชั้นของระดับพลังทำให้มันไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยก่อนจะรวบรวมเกราะปราณสีขาวปิดกันไว้ข้างหน้าเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม
อาชาสีขาวกระแทกการป้องกันที่ทรงพลังเสียงดังลั่น ไอพลังที่หลงเหลือกระจายออกจากเวทีทำให้เหล่าผู้ชมถอยหลบกันจ้าละหวั่น ผู้ดูแลการประลองเช่นจางอี้ห้าวจึงได้ส่งพลังของตนเองออกไปครอบคลุมพื้นที่รอบสนาม
การต่อสู่ของผู้ฝึกวิชายุทธ์ระดับต่ำแม้ไม่อาจเรียกได้ว่ารุนแรงมากมายแต่อันตรายต่อผู้ชมอยู่บ้าง เนื่องจากระดับขั้นที่ยังน้อยจึงไม่อาจดึงพลังที่ล้นออกมากลับเข้าสู่ตนเองได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นบางครั้งการประลองระดับนี้อาจจะอันตรายต่อผู้ชมมากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางเสียอีก
จางหมิงไม่ได้แปลกใจเมื่ออาชาของมันถูกป้องกันไว้ได้ พลังแบบนั้นมันยังรู้สึกได้เลยว่าน้อยนิด แล้วอีกฝ่ายที่มีพลังมากกว่ามันจะเห็นเป็นแค่ของเล่นก็ไม่ได้แปลกอะไรเลย
“นายน้อยจางหมิงฝึกวิชาระดับชำนาญได้ก็จริงแต่ไม่อาจชนะจางซิ่งได้หรอก”
“ทำไมหรือ”
“แม้จะเป็นวิชาระดับชำนาญแต่ก็หาใช่วิชาโจมตี หากไม่สามารถโจมตีเกราะปราณของอีกฝ่ายได้แล้วจะต่อสู้กับอีกฝ่ายได้เช่นไร นี่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่มีระดับต่างชั้นกันโดยแท้”
ความจริงขั้นต่ำระดับห้ากับระดับสองนั้นล้วนไม่อาจเทียบกันได้อยู่แล้ว ผู้คนจึงแปลกใจที่ท่านผู้นำตระกูลจัดการต่อสู่นี้ขึ้นมา ระดับที่ห่างกันเช่นนี้ ผลแพ้ชนะย่อมรู้กันอยู่แล้ว
“มังกรเก้าเศียร”
เสียงคำรามดังออกมาก่อนที่ปราณสีขาวจะก่อตัวสำเร็จ ลำตัวยาวพุ่งออกไปปะทะกับเกราะปราณอย่างรุนแรงก่อนที่มันจะร้าวและระเบิดออกปล่อยให้มังกรที่มีสองหัวผ่านเข้าไป
“มังกรนั่นช่างประหลาดนัก”
“มังกรเก้าเศียรเป็นวิชาที่หลายคนฝึกเพราะมันแข็งแกร่ง มันจะเพิ่มหัวขึ้นตามระดับการฝึก แต่นั่นต้องขั้นชำนาญถึงจะฝึกได้สองหัวเช่นนี้”
“แต่นั่นมันสีขาวนะท่าน ไม่ใช่มังกรสีเหลืองเสียหน่อย”
“มันจึงน่าแปลกอย่างไรเล่า!”
จางซิ่งที่ไม่คิดว่าการป้องกันของตนจะถูกทำลายจึงถูกการโจมตีนั้นเต็มๆ แต่ด้วยร่างการของผู้ฝึกยุทธ์ที่เน้นความสามารถด้านป้องกันเป็นหลักจึงไม่มีอันตรายมากนัก นอกเสียจากเกิดความรู้สึกเจ็บๆคันๆอยู่บ้าง และถูกดันให้ถอยหลังไปหลายก้าวเท่านั้นก่อนที่มันจะโจมตีกลับไป
“วิหคทะยาน”
ปราณสีขาวรวมตัวกันเป็นนกตัวเล็กหลายตัวที่พุ่งตรงด้วยความเร็วสูง จางหมิงที่ไม่อาจป้องกันจึงทำได้เพียงแค่หลบเลี่ยงอย่างทุลักทุเล แม้วิชาตัวเบาทะยานข้ามภพของมันจะเข้าสู่ขั้นชำนาญ แต่เมื่อเทียบกับวิชาขั้นสามัญที่ใช้ออกมาโดยผู้มีพลังปราณระดับต่ำขั้นที่ห้าก็มีความเร็วเกือบเท่ากับมันเลยทีเดียว
“นี่หมิงเอ๋อยังมีอีกวิชาในระดับสามัญ! ซิ่งเอ๋อก็มีความเชี่ยวชาญในวิชาของตนเองเป็นอย่างมาก นี่นับว่า... นับว่า...”
“ใจเย็นๆไท่อิง มันทั้งสองเป็นบุตรของเรา หากจะเก่งกาจก็คงไม่แปลกเท่าใด”
ระดับขั้นของวิชาสามารถบอกได้จากสีของวิชายุทธ์นั้นๆ หากแต่ความเชี่ยวชาญในแต่ละขั้นมองได้จากจำนวนที่ปลดปล่อยออกมา ซึ่งทางจางซิ่งสามารถใช้วิชาวิหคทะยานในระดับสามัญได้มากมายก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความเชี่ยวชาญสูงในระดับนั้นๆ
จางหลีไห่แม้จะชื่นชมทั้งสองคนแต่ก็อดกังวลไม่ได้ สำหรับจางซิ่งไม่ได้มีปัญหาอันใดนอกจากขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ แต่จางหมิงนั้นดูไม่ได้หวาดกลัวการต่อสู้ราวกับคนที่ผ่านสนามมามากก็จริง แต่วิชาของมันนั้นประหลาด ตัวอย่างเช่นมังกรเก้าเศียรระดับสามัญที่ควรจะมีแค่หัวเดียวกลับมีถึงสอง นั่นเป็นสิ่งที่น่ากังวลเล็กๆ เพราะมันคิดว่าบางทีบุตรชายมันอาจควบคุมพลังปราณไม่ได้จากบางสาเหตุ หลังจากการสังเกตที่ไม่มีอะไรผิดแปลกมันจึงได้ละความสนใจไป
จางหมิงที่หลบหลีกวิชาของอีกฝ่ายอย่างยากลำบากกำลังคิดหาวิธีการต่อสู้ใหม่ เมื่อไม่อาจเอาชนะด้วยพลัง และไม่อาจปะทะตรงๆได้จากการปะทะซึ่งหน้าเนื่องจากทั้งความแข็งแกร่งของพลังปราณและร่างกาย สิ่งที่คิดได้คงมีเพียงการหลอกล่อให้อีกฝ่ายตกเวที
แต่มันจะทำอย่างไรล่ะ!
วิหคทะยานเพิ่มจำนวนขึ้นอีกเท่าตัว จางหมิงจึงได้ลดขั้นของวิชาตัวเบาจากระดับชำนาญที่เคลื่อนที่ได้ไกลแต่สิ้นเปลืองพลังมาเป็นระดับสามัญที่ใช้ก้าวในระยะสั้นหากสามารถใช้ได้รวดเร็วและใช้พลังน้อยกว่าแทน
“มันอยู่ที่เวลาแล้วล่ะว่านายน้อยจะยอมแพ้เมื่อไหร่”
“ข้าว่าบางทีนายน้อยอาจจะอยู่ได้จนพลังปราณเหือดแห้งไปแล้วก็ได้”
“จะอย่างไหนก็แล้วแต่ แม้ว่าจะแพ้แต่ด้วยอายุเพียงแค่นั้นกลับใช้วิชาได้ถึงสาม นั่นนับว่าสามารถเทียบเท่าได้กับท่านพี่ทั้งสองของนายน้อยจางหมิงเองอย่างแน่นอน”
ผู้คนต่างพิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา ก่อนที่ทุกคำจะหยุดกะทันหันเมื่อนายน้อยที่พวกมันพูดถึงจู่ๆก็กลับมาพุ่งตรงเข้าไปหาจางซิ่งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อาชาไพรีสีขาวกระทืบเท้าอย่างฮึกเหิมพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ จางซิ่งจึงยกเลิกการโจมตีมาใช้เกราะปราณป้องกันแทน
เมื่อพลังทั้งสองปะทะกันไอสีขาวของพลังปราณบดบังทัศนวิสัยจนขุ่นมัว ซึ่งนั่นเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อเสียสำหรับคนตั้งรับ แต่เป็นข้อดีสำหรับคนที่บุกจู่โจม!
วิชามังกรเก้าเศียรถูกใช้ออกมาอีกครั้งหลังจากอาชาไพรีสลายหายไป เกราะที่ว่าแข็งแกร่งแตกกระจาย จางซิ่งที่รับรู้ได้ต้องถอยร่นออกไป แล้วก็ต้องถอยไปเรื่อยๆเพื่อปัดป้องมังกรเก้าเศียรตัวต่อๆไปที่ตามมาติดๆ
“ช่างคิดนัก! ใช้โอกาสจากไอพลังที่ปะทะกันเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ช่างดียิ่ง! ดีจริงๆ” ผู้เย็นชาอย่างจางหลีไห่ถึงกับตบโต๊ะออกอาการเกินหน้าเกินตาเมื่อได้เห็น
“ข้าเคยบอกให้หมิงเอ๋อรู้จักพลิกแพลง แล้วก็ทำได้อย่างที่ข้าว่า ประเสริฐนัก”
“น้องเล็กเคยต่อสู้เช่นนี้มาก่อนหรือท่านแม่ มันดูไม่ได้ตื่นสนามแถมยังใจเย็นยิ่ง” จางอี้เหลียนที่แม้ไม่ชอบอีกฝ่ายก็อดที่จะเอ่ยปากถามด้วยความแคลงใจไม่ได้
“น้องจะเคยทำเช่นนั้นได้อย่างไร น้องเจ้าเพิ่งจะกลับมาแข็งแรงหลังจากถูกพิษเมื่อไม่นานมานี้เอง” จางไท่อิงตอบกลับคำถามนั้น
แม้ผู้คนกำลังตกตะลึงเมื่อเห็นผู้ที่มีฝีมือสูงกว่าต้องถอยร่นไปใกล้ขอบเวทีเรื่อยๆ แต่ก็ไม่นานนักเมื่อจางซิ่งตั้งตัวได้ก็ระเบิดพลังปราณระดับต่ำขั้นห้าออกมาอย่างเต็มที่จนจางหมิงกระเด็นออกไปไกล
“เฮ้อ... ข้าขอยอมแพ้” เสียงเอื่อยๆของจางหมิงทำให้จางซิ่งที่กำลังก่อรูปปราณชะงักด้วยความแปลกใจ ก่อนจะสังเกตอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วยถึงได้เข้าใจเหตุผลนั้น
ผู้กล่าวยอมแพ้นั้นตอนนี้แทบไม่มีพลังปราณหลงเหลืออยู่ ลมหายใจหอบเหนื่อยเบาๆที่พยายามเก็บอาการไม่ให้แสดงออกมาก็พอจะเข้าใจได้อย่างดี ผู้ชมปรบมือกันอย่างพร้อมเพรียงให้กับผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสอง รอยยิ้มยินดีล้วนปรากฏแก่ทุกผู้คนด้วยว่าในอนาคตจะต้องเกิดผู้เก่งกาจในตระกูลอีกอย่างแน่นอนแล้วสองคน
“ขอบคุณพี่ซิ่งที่ชี้แนะ”
“เช่นกันขอรับนายน้อย ชอบคุณที่ชี้แนะ”
จางหมิงที่ตอนแรกไม่ได้จริงจังกับการต่อสู้นัก ตอนนี้มันเริ่มรู้สึกถึงความสนุกสนานของการใช้พลังที่ไม่เคยมีนี้ คนที่รู้จักกับพลังเหล่านี้มาตั้งแต่แรกคงไม่ได้ประจักษ์ถึงความแปลกใหม่เท่าใด แต่สำหรับมันหากจะให้กล่าวตามตรง พลังปราณและวิชายุทธ์เหล่านี้ราวกับสมบัติที่เป็นของเล่นใกล้มือ นั่นทำให้มันมีความสุขที่ได้ใช้ทุกกระบวนท่าให้ออกมาอวดโฉม
สิ่งที่จางหมิงกังวลตอนนี้คือการควบคุมพลังให้เหมาะสมไม่ให้หมดไปดื้อๆอย่างเมื่อครู่ และคงต้องได้เร่งการบ่มเพาะของตนเองขึ้นอย่างจริงจังเสียแล้ว
หลังจบการประลองผู้คนได้แยกย้ายกันไปทำงานของตนเอง ครอบครัวตระกูลจางเข้ามาให้กำลังใจมันไม่กี่คำก่อนแยกย้ายกันไปเช่นกัน เมื่อต้องเคว้งคว้างอยู่คนเดียวมันจึงได้คิดจะกลับไปที่ห้องของมันเพื่อเพิ่มการบ่มเพาะพลัง
ตึกตัก! ตึกตัก! ...
มันหยุดเท้าเมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว มือขยุ้มอกแน่นเมื่อเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะในอกเหมือนกับจะทะลุออกมาข้างนอกจนปวดร้าวไปทั้งซี่โครง ไม่นานหลังจากนั้นความเจ็บปวดก็ค่อยๆลุกลามไปทั่วร่าง กลางแดดจ้าที่ไม่ร้อนนักหากกลับหนาวยะเยือกจนควันเย็นๆกระจายออกมาจากลมหายใจ
ไม่ดีแล้ว!
จางหมิงใช้พลังปราณที่ฟื้นฟูมาไม่มากนักผสานเข้ากับวิชาตัวเบาระดับชำนาญของตนเองพุ่งทะยานไปยังอาคารเก็บสมุนไพร แม้ยิ่งใช้พลังความเจ็บปวดจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นแต่มันก็ไม่ได้สนใจและยังคงพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
นี่คืออาการของพิษเหมันต์นิรันดร์ที่กำลังกำเริบ!
เพื่อรักษาชีวิตของตนเองมันจำเป็นต้องกินยาที่ปรุงขึ้นเพื่อต้านธาตุหยินโดยเฉพาะ แต่มันไม่ได้คิดว่าพิษจะกำเริบเร็วขนาดนี้จึงไม่ได้ตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า ทางเดียวที่เป็นไปได้คือต้องกินสมุนไพรที่มีธาตุหยางโดยตรงเพื่อต้านพิษ แม้จะอันตรายอยู่มาก นั่นก็คงจะดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วปล่อยให้พิษลุกลามสะสม
ผู้คนที่อยู่ในอาคารเก็บสมุนไพรกำลังคัดแยกสมุนไพรกันอยู่ เสียงแหวกอากาศที่ดังมาแต่ไกลทำให้หลายคนต่างเหลียวมอง เมื่อเห็นนายน้อยของมันมาทุกคนจึงเตรียมต้อนรับหน้าประตูหากแต่นายน้อยของพวกมันกลับเลยผ่านเข้าไปข้างใน พวกมันแม้จะงุนงงไปบ้างหากแต่ก็ตามเข้าไปเช่นกัน
จางหมิงลงมือค้นสมุนไพรแต่ละตู้จนกระจายไปทั่วทำให้หลายคนเข้าไปห้ามพัลวัน แต่เมื่อมือแตะเข้ากับผิวกายของนายน้อยของมันทุกคนก็ต้องชักมือกลับ ความเย็นเสียดกระดูกที่ได้สัมผัสทำให้ทุกคนรู้ว่านั่นมันไม่ปกติ คนในตระกูลทุกคนย่อมรู้ถึงพิษที่นายน้อยโดนและจำกันได้ว่าพิษนั้นยังคงตกค้างอยู่ ตอนนี้จึงพอจะคาดเดากันได้แล้วว่านายน้อยของมันคงตามหายาแก้พิษ
ตามหายาในห้องสมุนไพร... ใช่ว่าควรไปตำหนักหมอที่มียาพร้อมสรรพหรอกหรือ?
ตอนนี้ทุกคนได้แต่ปล่อยให้จางหมิงค้นไปทั่ว และไม่นานมันก็เจอสมุนไพรที่มันต้องการก่อนจะนำเข้าปากแล้วกลืนลงไปทันที
“นะ นะ นายน้อย! นั่นมันบัวอัคคีสวรรค์! นั่นมันมีพิษ!”
+++
แมว : แล้วหมิงน้อยก็ตาย จบ! (ล้อเล่น)