ตอนที่ 9 เชิงยุทธ์
9
ขอจากหมิงคนนี้ทบทวนวิชายุทย์ในหัวเสียหน่อย
กว่าสามสัปดาห์ที่มันตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝน มีหนึ่งวิชาระดับเชี่ยวชาญซึ่งก็คือวิชาตัวเบาทะยานข้ามภพ สองวิชาอยู่ระดับสามัญเป็นวิชาท่าร่างมังกรเก้าเศียรและอาชาไพรี สุดท้ายคือเคล็ดมีดสลักวิญญาณขั้นแรกกวัดแกว่งฟ้าที่ยังไร้ฐานและไร้ร่องรอยว่าจะฝึกสำเร็จในเร็ววัน
ความจริงแล้ววิชาโบราณเหล่านี้กับวิชายุทธ์ในปัจจุบันต่างกันอยู่มาก ตัวอย่างเช่นวิชาในตำราเก่าที่มันได้มามีหลายขั้นที่แตกต่างและสามารถใช้แต่ละขั้นในระดับที่แตกต่างกันได้อีก หากแต่วิชาที่มีทั่วไปในตอนนี้มีเพียงขั้นเดียวโดดๆที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีกสามระดับหรือมากกว่า หากแต่ความยุ่งยากในการฝึกก็น้อยลงเป็นเงาตามตัว
อีกทั้งวิชายุทธ์โบราณอีกเล่มมันก็ได้ศึกษามาบ้าง แน่นอนว่ามันไร้ฐานเป็นที่แน่ชัดอยู่แล้ว เพราะบางวิชาก็ดึงออกมาจากกลางบทด้วยซ้ำ ซึ่งมันชอบเป็นการส่วนตัวล่ะนะ มันได้ตั้งชื่อตำราเล่มนั้นว่า คัมภีร์มหาโจร
ตำราเล่มนั้นเป็นของสุดรักสุดหวงของมันเชียวล่ะ ภายในประกอบไปด้วยสี่บท ท่าเท้าพิสดาร หัตถ์เร้นลับ เนตรจริงแท้ และกายาซ่อนเร้น แต่ถ้าคิดในแง่ของการดูเชิงยุทธ์อีกไม่นานนี้มันคิดว่าไม่ใช้ออกไปดีกว่า
จางหมิงรู้ตัวว่ามันไม่ได้ฉลาดมากมายที่จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง แต่มันมีความเฉลียวในการแยกแยะสิ่งต่างๆ นั่นทำให้สามารถฝึกฝนซึ่งศาสตร์หลายๆแขนงได้อย่างดีแม้ไม่เป็นไปตามขั้นตอน และที่ว่ามานั้นก็คือความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์กับคนธรรมดาที่รู้จักพลิกแพลงตลบตะแลงทุกสิ่ง
อย่างน้อยทั้งสองก็ไม่มีความต่างชั้นกันมากนัก
ด้วยคู่ปรับของมันคือจางซิ่งที่ไม่ได้เป็นอัจฉริยะบุคคล แต่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ขยันขันแข็งเท่านั้น แม้พลังปราณของอีกฝ่ายตอนนี้ก้าวไปสู่ระดับต่ำขั้นที่ห้า มันก็ไม่ได้หวั่นไหว เรื่องแค่นี้จะแพ้หรือชนะไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก การประลองแบบนี้ไม่ได้ทำให้มันได้อะไรอยู่แล้ว
การเปรียบเชิงยุทธ์คือการประลองเพื่อชื่นชมทักษะของแต่ละฝ่าย หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีการนองเลือดมากเกินไป ส่วนมากจะเป็นการแลกเปลี่ยนวิชากันเสียมากกว่า
สำหรับจางหมิงที่ไม่เคยประลองซึ่งหน้ามาก่อน นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิต มันก็ตื่นเต้นอยู่บ้างหรอก แต่สายตามากมายรอบข้างทำให้มันรู้สึกรำคาญแทนเสียนี่
แล้วนี่จะพากันมาทั้งตระกูลเลยหรืออย่างไร!
“ลูกหมิง ลูกซิ่ง วันนี้ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีของพวกเจ้าทั้งสองคน จงเรียนรู้จากอีกฝ่ายให้มากแล้วกลับมาฝึกฝนในสิ่งที่ตนเองยังไม่สามารถ แม้ว่าจะต้องมีใครคนหนึ่งพ่ายแพ้ แต่จงอย่าได้เกรงกลัวต่อมัน อย่างน้อยนั่นจะทำให้พวกเจ้าเติบโต” จางหลีไห่ตบบ่าทั้งสองก่อนจะดันให้ขึ้นบนเวที
ที่นั่งของลูกหลานสายตรงของตระกูลจางและผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นอยู่รวมกันใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลแต่เห็นการประลองได้อย่างชัดเจน ส่วนด้านข้างเวทีเต็มไปด้วยเหล่าคนรับใช้และเด็กๆที่ยังไม่ได้เข้าร่วมสำนักมาก่อน ทุกคนดูจะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากทั้งสองคนนั้น หนึ่งคือนายน้อยคนเล็กของตระกูล ส่วนอีกคนคือรุ่นเยาว์อันเป็นความหวังที่ตระกูลจางได้เลี้ยงดูมา
“เรียนนายน้อย การประลองนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และนายใหญ่ได้อนุญาตให้บุคคลที่ต้องการเยี่ยมชมสามารถเข้ามาดูเพื่อเปิดหูเปิดตาได้ผู้คนจึงมากมายเช่นนี้ ในอดีตก็มีหลายครั้งที่นายน้อยจางอี้ห้าวและนายน้อยจางอี้เหลียนมักจะประมือกันบ่อยๆเช่นกัน” จางซิ่งยังคงทำหน้าที่ผู้ติดตามที่ดีแม้มันจะไม่ค่อยได้เรียกใช้ก็ตาม
แต่นั่นประเด็นเลยล่ะ!
การประลองหลายครั้งที่พี่ชายทั้งสองของมันต่อสู้กันคงเป็นต้นเหตุของนิสัยไม่ปกติของจางอี้เหลียน พรสวรรค์ที่ไม่อาจเทียบเท่าพี่ชายทำให้เหมือนโดนสะกดข่มอยู่ตลอดเวลาคงทำให้กดดันไม่น้อย อีกทั้งเมื่อจางหมิงเกิดมาก็ร่างกายอ่อนแอ บิดามารดาจึงรักใคร่มันมากกว่าพี่น้องคนอื่น นั่งก็คงจะทำให้มันน้อยใจอยู่บ้างแน่ๆ
จะอย่างไรเสีย ความจริงนั่นก็ไม่ใช่เรื่องของมัน...
“ข้าจะเป็นคนดูแลการประลองเอง” จางอี้ห้าวกระโดดขึ้นมาบนเวทีก่อนจะเอ่ยอย่างเสียงดัง ผู้คนรอบข้างต่างโห่ร้องอื้ออึงจนจางหมิงคิ้วกระตุก
คนที่ต้องประลองเป็นมัน ไม่ใช่พี่มันเสียหน่อย แต่จางหมิงก็ทำได้เพียงแค่คิด
ผู้ดูแลการประลองที่จางอี้ห้าวกล่าวถึงคือบุคคลที่คอยดูแลทั้งสองฝ่ายที่กำลังขับเคี่ยวกัน เพราะในบางครั้งวิชายุทธ์เมื่อใช้ออกไปแล้วนั้นยากหยุดยั้งจึงจำเป็นต้องมีผู้มีฝีมือสูงคอยสกัดกั้น อีกทั้งยังมีสิทธิยุติการประลองหากมีฝ่ายใดฝ่าฝืนกฎข้อห้ามที่ได้ตั้งขึ้นมา
“กฎการประลองเชิงยุทธ์แม้คู่ประลองทั้งสองฝ่ายจะสามารถตกลงเรื่องกฎกันเองได้ แต่หากเมื่อเป็นการประลองที่อยู่ภายในตระกูลจาง กฎนั้นย่อมต้องเป็นไปตามที่ตระกูลกำหนด นั่นคือการต่อสู้ของทั้งสองต้องไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามพิการหรือสิ้นชีวิต เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งยอมแพ้ ตกลงจากเวที หรือไม่อาจสู้ได้อีกจะยุติการประลองทันทีและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป” น้ำเสียงก้องกังวานของจางอี้ห้าวทำให้ผู้คนเงียบฟังอย่างตั้งใจ
จางหมิงแสดงออกเพียงรอยยิ้มบางๆ ช่วงนี้มันเริ่มชินกับการเป็นนายน้อยผู้ว่านอนสอนง่ายและใจดี อีกทั้งเรียบร้อยและอ่อนแอ อย่าได้กล่าวเลยว่าความจริงเป็นอย่างไร เหอะๆ
อ่อ.. เว้นจางซิ่งไว้คนหนึ่งที่เหมือนจะรู้เพราะเหตุการณ์ที่ตลาดไปแล้ว
แต่ก็เอาเถอะ...
จางอี้ห้าวส่งยิ้มให้กำลังใจมาเป็นระยะ จางหมิงก็ได้แต่สาปส่งในใจไปให้เรื่อยๆเช่นกัน มันยังเคืองไม่หายกับการที่โดนเล่นหัวเมื่อครู่
“เริ่มการประลอง” ผู้ดูแลการประลองตะโกนขึ้นเมื่อทั้งคู่ดูจะพร้อมแล้ว
“...”
ผู้คนเงียบกริบด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก เวลาผ่านไปเรื่อยๆแต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ขยับเขยื้อน สายลมอ่อนๆช่วยให้กลางแดดจ้าไม่ร้อนจนเกินไป แต่ใครเล่าในที่นี้จะสนใจสภาพรอบข้าง!
จางซิ่งที่ยืนรอรับมือกับอีกฝ่ายเริ่มขยุกขยิกไปมาอย่างทำอะไรไม่ได้ แม้ไม่มีกฎตราไว้อย่างแน่นอนแต่ปกติคนที่มีพลังปราณน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายบุกก่อนเสมอเพื่อเป็นการให้เกียรติ แต่มันก็คงตื่นเต้นจนลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายหาได้มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไม่
จางหมิงที่ไม่ได้รู้ตัวก็เหม่อลอยเพิ่มการบ่มเพาะของตนเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อครั้งอดีตก็มีเรื่องแบบนี้บ่อยไปในระหว่างที่ใกล้จะชิงตำแหน่งหัวหน้าโจร แต่มันก็คงลืมไปแล้วว่าที่พวกสมุนทั้งหลายบุกหามันก่อนเพราะตัวมันนั้นเก่งกว่ามากนั่นเอง
ผ่านไปกว่าสิบนาที ทุกสายตาที่จับจ้องคู่ต่อสู้ทั้งสองพร้อมใจกันหันไปยังผู้ดูแลการประลองที่ก็ยังคงงงงวยไม่แพ้กัน จางอี้ห้าวกระแอมไอครั้งหนึ่งเพื่อให้น้องชายมันได้รู้ตัวแต่อีกฝ่ายก็เพียงแค่หันมาแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“น้องชาย”
“ขอรับ” มันตอบเสียงเรียกของพี่ชายตนเอง
“บุกก่อนเลยไป” พี่ชายมันแทบชี้หน้าเลยทีเดียว
+++
แมว : ยังๆ ช่วงต่อสู้แมวยังไม่พร้อม (น้ำตาไหล)