ตอนที่ 7 ดอกหญ้าโลหิตปีศาจ
7
ตำราเก่าแก่ส่วนมากเลือนรางดังที่จางซิ่งได้กล่าวไว้ แต่ความจริงแล้วมันก็มีวิธีดูอักษรที่เลือนรางเหล่านั้นได้อยู่ แต่วิธีการไม่ได้มีคนรู้มากนัก อีกทั้งมันจะทำลายตำราฉบับเดิมไปเลยอย่าสิ้นเชิงซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกวิชายุทธ์ส่วนมากให้ความสำคัญเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น
แต่มีหรือคนอย่างจางหมิงจะสนใจ
กฎตราไว้ห้ามนำออก แต่นี่ใคร! ทำตามกฎแล้วจะเรียกโจรได้อย่างไร
มีตำราหลายเล่มที่น่าสนใจ แม้ไม่อาจดูได้จนครบแต่มีเล่มหนึ่งที่มันต้องการอย่างแท้จริง
‘เคล็ดมีดสลักวิญญาณ’
ภายในตำราดังกล่าวนั้นเลือนรางแทบกลายเป็นหน้ากระดาษเปล่า มันไม่แม้จะอ่านออกได้แม้เพียงหน้าเดียว แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นตำราวิชามีดสั้นเล่มเดียวที่เห็น
ตอนนี้ปัญหามีอยู่ว่า ...มันจะเอาออกไปอย่างไร
มันคิดพร้อมกับเดินดูตำราเล่มอื่นๆ บ้างก็หยิบมาดูเพราะสนใจ บ้างก็จับมาดูส่งๆเพราะความแปลกประหลาดของวิชา เนื่องจากเก็บไว้เป็นเวลานานและไม่ได้รับความสนใจตำราหลายเล่มจึงหลุดออกจากกันเนื่องจากเชือกที่รัดไว้ขาด
!
เหมือนมันจะคิดอะไรดีๆออก
หลายวันมานี้มีข่าวลือว่านายน้อยจางหมิงที่อ่อนแออยู่แล้วไร้ความสามารถเชิงยุทธ์โดยสิ้นเชิง นับว่าเป็นตัวฉุดรั้งตระกูลให้ตกต่ำโดยแท้ สาเหตุมาจากตัวมันที่วิ่งเข้าวิ่งออกหอตำราเสียหลายรอบในช่วงนี้แต่แลดูไม่ได้ผลลัพธ์ในการฝึกแม้แต่วิชาเดียว
ในคราแรกไม่มีผู้คนใส่ใจมากนักเพราะปกติการเข้าถึงแต่ละวิชาล้วนใช้ความเข้าใจสูง แต่อย่างน้อยในการศึกษาคราแรกก็ต้องได้รับความเข้าใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หากแต่ตัวจางหมิงนำตำรามาเปลี่ยนเรื่อยๆ ไม่ใช่เพียงแค่สองหรือสามครั้งแต่เป็นวันละนับสิบรอบ
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ผู้คนเริ่มสงสัยหากแต่เมื่อเจ้าตัวเลือกตำราอีกสามเล่มไปก็ไม่ได้กลับมาอีก ดังนั้นผู้คนจึงเลิกสนใจไปเอง ส่วนผู้ที่หลายคนให้ความสนใจกลับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในห้องที่ปิดสนิท
บนโต๊ะกลมกลางห้องคืออ่างทองเหลืองใบใหญ่ กระดาษเปล่ากองหนึ่ง แท่นฝนหมึก และพู่กันขนกระต่าย ด้านข้างเป็นโต๊ะเล็กวางไว้ด้วยดอกไม้สีแดงสด และกระดาษเก่าๆที่ดูสิ่งมี่เขียนไว้ไม่ค่อยออก และช่างคลับคล้ายคลับคลาบางสิ่งที่อยู่ในอาคารกลางเหลือเกิน
ไม่ๆ ...ไม่แค่คล้าย แต่มันคือเนื้อในตำราเก่าแก่ในหอตำราจริงๆ
จางหมิงโปรยดอกหญ้าโลหิตปีศาจลงไปอย่างช้าๆ สีแดงจากดอกไม้ค่อยๆกระจายตัวออกจางๆและลุกลามออกไปทีละน้อย มือหนึ่งก็ฝนหมึกไปด้วยอย่างไม่เร่งรีบ
หากถามว่าวิธีการไหนที่มันนำตำราพวกนี้ออกมาได้ทั้งๆที่มีผู้ฝึกปราณระดับสูงเฝ้าตรวจตราหน้าประตู อันความจริงนั้นไม่ยาก กล่าวกันว่าซ่อนใบไม้ต้องซ่อนในป่า มันเพียงแค่ดึงตำราออกเป็นชิ้นๆก่อนจะประกอบบางส่วนลงในตำราเล่มที่จะนำออกมา จากนั้นก็ค่อยๆทยอยนำออกมาเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ตำราเล่มเดิมดูใหญ่โตเกินจริง
ผู้เชี่ยวชาญหรือจะตรวจสอบภายในหนังสือ มันสังเกตอยู่ก่อนแล้วว่าวิธีการตรวจตราเป็นเพียงแค่กวาดผ่านพลังปราณออกไปรอบตัวเพื่อหาสิ่งที่ซ่อนอยู่บนตัวอีกฝ่ายก็เท่านั้น
อะไรก็ช่าง! อย่างไรตอนนี้ตำรามีดสลักวิญญาณก็ได้มาอยู่ในห้องมันแล้ว อีกทั้งเนื้อหาตำราที่น่าสนใจที่พออ่านออกมันก็นำออกมาอีกบางส่วน
ความสุขใจตอนนี้ไม่ใช่แค่ได้ตำราดีๆ หากแต่ได้สิ่งของต้องห้ามมาเป็นของของตัวเอง
จางหมิงรออยู่พักใหญ่จนกระทั่งสีแดงของดอกไม้กระจายไปทั่วแล้วจมลงใต้อ่างทองเหลืองใบใหญ่ มือก็ยังฝนหมึกต่อไปอย่างไม่เร่งร้อนนัก
อะไรคือสิ่งที่มันกำลังทำ?
เกิดมาเป็นโจรเกือบทั้งชีวิตก็ต้องมีวิชาติดตัวบ้าง กับแค่กระดาษเก่าๆที่อักษรเลือนรางทำไมมันจะทำให้อักษรปรากฏไม่ได้ บ่อยครั้งไปที่แผนที่สมบัติของสุสานโบราณที่พวกคนมีเงินเก็บไว้ก็เป็นเช่นนี้ จะว่าไปหลังจากที่กองโจรมั่งคั่งพวกมันก็เริ่มที่จะตามหาสมบัติจากสุสานโบราณมาเก็บไว้ดูเล่นบ้าง
แผนที่ยิ่งเก่าแก่ของภายในยิ่งมีราคา และเช่นเดียวกัน ตำรายิ่งเก่าแก่ก็ยิ่งทรงคุณค่า
ได้มาแล้วขายนั่นเรียกว่าโจรกระจอก หากได้มาแล้วเก็บสะสมเพื่อชื่นชมนั่นถึงเรียกว่าโจรที่แท้จริง
‘อะไรที่เป็นของมันย่อมไม่มีใครเอาไปได้ หากของคนอื่นที่มันอยากได้ยังไงก็ต้องเป็นของมัน’ ดูแล้วในใจมันยังคงยึดมั่นกับประโยคนี้อยู่เช่นเดิม
ตอนนี้ดอกหญ้าโลหิตปีศาจจมลงไปหมดแล้ว สีแดงจางๆในน้ำที่นิ่งสนิทดูสวยงามราวกับทับทิมมีราคา แต่อย่าได้นำมือลงไปสัมผัสเชียว ความรู้สึกเจ็บๆคันๆของกรดอ่อนๆไม่ได้ทำให้รู้สึกดี เมื่อก่อนมันลองมาแล้ว...
อะแฮ่ม! เอาเถิด
จางหมิงหยิบกระดาษเก่าๆแผ่นแรกวางลงไปบนผิวน้ำ บนตัวกระดาษเมื่อดูดซับน้ำแล้วมันก็ค่อยๆจมลง ขณะนั้นอักษรสีแดงเข้มค่อยๆปรากฏบนแผ่นกระดาษที่เกือบว่างเปล่า ผู้มองจึงได้คว้าพู่กันมาเขียนตามอักษรเหล่านั้นอย่าง
รวดเร็ว และไม่นานกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกน้ำสีแดงนั้นกัดกร่อนหายไปอย่างช้าๆ
มันทำแบบเดิมๆตั้งแต่ช่วงเย็นก่อนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามเที่ยงคืน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นมันก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วนวดศีรษะอย่างอ่อนเพลีย
การเพ่งสายตาจ้องอักษรสีแดงจางๆนั้นนานเข้าก็ทำเอามันมึนไปเหมือนกัน
เชือกป่านเส้นเหนียวร้อยเข้ากับสันหนังสือโดยฝีมือของจางหมิง ความละเมียดละไมหาได้มีไม่แต่ก็ยังคงดูมีระเบียบอยู่บ้าง
ตำราที่เขียนขึ้นใหม่ถูกแบ่งเป็นสองเล่ม หนึ่งคือเคล็ดมีดสลักวิญญาณ และอีกเล่มคือบางบทของตำราหลายๆเล่มมารวมกัน แม้ฝึกแล้วจะกลายเป็นวิชาไร้ฐานแต่ก็น่าสนใจสำหรับมัน
ปลายพู่กันจรดลงบนปกหนังสืออย่างช้าๆ อักษรบนนั้นไม่ได้สวยงามแต่ทรงพลังและมั่นใจตามวิสัยของเจ้าตัว อีกทั้งยังแฝงความเฉียบคมและเอาแต่ใจอยู่ด้วย ส่วนเจ้าตัวนั้นไม่ได้สนใจหรอก ยังคงเหยียดยิ้มอย่างพออกพอใจในความสำเร็จก็เท่านั้น
เมื่อวางพู่กันลงมันก็เก็บตำราทั้งสองเล่มไว้ใต้หมอน อากาศร้อนอบอ้าวและกลิ่นชื้นของดินที่ลอยฟุ้งทำให้คาดได้ว่าฝนกำลังจะตก มันเดินไปเปิดหน้าต่างออกเพื่อรับลมและผ่อนคลายความเมื่อยล้า ตัวเอนพิงขอบหน้าต่างเหม่อมองออกไปข้างนอกจนสุดสายตา เงาตะคุ้มของต้นไม้ที่ไหวโยกราวกับปีศาจที่กำลังเดินเข้ามา แต่มันไม่ได้สนใจเท่าใด
นึกย้อนไปช่วงเย็นที่มันไปขอดอกหญ้าโลหิตปีศาจที่อาคารเก็บสมุนไพร ทุกคนดูจะตกอกตกใจกันไม่น้อย แม้จะเป็นตัวเร่งการผสมของยาบางอย่างแต่มันก็มีพิษร้ายแรง ทุกคนทำราวกับว่ามันจะฆ่าตัวตาย มันจึงได้ขุดคุ้ยเอาตำราแพทย์ในหัวมาอ้างอย่างช่วยไม่ได้ ว่าด้วยดอกหญ้าโลหิตปีศาจนี้นอกจากจะใช้เป็นตัวยาในการผสมยังสามารถเผาไฟเพื่อสูดดมแทนยานอนหลับได้อีกด้วย แม้จะมีบางคนยัดเยียดสมุนไพรตัวอื่นมาก็ตาม เมื่อมันยืนยันว่าต้องการดอกไม้นี้มีหรือพวกมันจะขัดใจนายน้อยได้
นอกหน้าต่างดวงจันทร์เว้าแหว่งไปบ้างตามการเปลี่ยนหมุนของโลก แต่สีทองสว่างยังคงงดงามจับใจ แสงนวลตาทำให้ผู้จ้องมองผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน
“จันทราหนอ ไม่ว่าชาติภพใดก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงแดงก่ำและสวยสด” ปากพึมพำก่อนมันจะทบทวนคำพูดตนเองที่ดูแปลกๆ
หืม... แดง!
มันกระพริบตาปริบๆเพ่งมองดวงจันทร์ที่ยังคงมีสีทองอ่อนๆสบายตา มันได้แต่คิดว่าคงเพราะจ้องน้ำสีแดงจากดอกหญ้าโลหิตปีศาจมากเกินไปจึงได้ติดตาไปชั่ววูบ ก่อนที่มันจะมุ่งหน้าไปยังเตียงแล้วล้มตัวลงนอน
แต่อีกใจหนึ่งมันคิดว่าเพราะความผิดปกติของร่างกายนี้ แต่ก็สรรหาคำมาปฏิเสธเรื่อยไป อย่างน้อยมันก็หวังว่าความแปลกของมันจะไม่มากไปกว่าที่เคยรับรู้อีกแล้ว
+++
แมว : ติดบรรยายมาก ไอ้ที่คนคุยกันแมวขี้เกียจสุด