ตอนที่ 6 ระดับขั้น
6
อาคารกลาง ห้องเก็บวิชายุทธ์ตระกูลจาง
ตำราเก่าแก่บนชั้นวางที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ช่างขัดกันยิ่งในความรู้สึกของผู้ที่มองดู ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่ราวกับว่าถูกขนย้ายมาจากบางแห่ง จางหมิงได้แต่ยืนมองอย่างไม่เข้าใจ
อาคารกลางแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นแรกเก็บรวบรวมวิชายุทธ์พื้นฐาน เช่นการฝึกฝนความแข็งแรงของร่างกายเป็นส่วนๆ และวิชาตัวเบาอย่างง่าย ชั้นที่สองเก็บตำราสมุนไพร ตำราการค้าและความรู้ทั่วไปอื่นๆ ส่วนชั้นสุดท้ายเก็บไว้ซึ่งตำราไร้ที่มาที่ไม่อาจฝึกฝนไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งคือตำราทั่วไปที่แจกจ่ายมาจากทางเมืองหลวงซึ่งล้วนเป็นระดับที่สูงกว่าชั้นล่าง
หากกล่าวถึงระดับของวิชายุทธ์ มีการแบ่งระดับตามลักษณ์ที่ปรากฏ ขาวสามัญ เหลืองชำนาญ เขียวปรมาจารย์ สามขั้น ความจริงยังมีอีก เช่น น้ำเงินปราชญ์ที่เคยมีคนพบเห็นในอดีตกาล และยังกล่าวกันว่ายังมีขั้นอื่นๆอยู่อีก แต่นั่นยังคงถูกกล่าวถึงว่าเป็นตำนานเท่านั้น
วิชายุทธ์บางวิชาหากฝึกครั้งแรกอาจก้าวกระโดดไปสู่ขั้นความชำนาญได้เลยหากมีความเข้าใจทีมากพอ กลับกัน หากไม่มีความเข้าใจอยากลึกซึ้งก็ไม่สามารถฝึกสำเร็จแม้กระทั่งสามัญ ซึ่งเรียกวิชาเหล่านั้นว่าไร้ฐาน เมื่อใดที่เกิดวิชาไร้ฐานขึ้นเมื่อฝึก ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนจะละทิ้งมันไปเนื่องจากเป็นที่แน่นอนแล้วว่าไร้พรสวรรค์ในการฝึกวิชานั้นๆ
ในการโจมตีระหว่างสองฝ่าย วิชาขั้นสามัญอาจชนะวิชาในระดับขั้นชำนาญได้ เหตุผลมาจากพลังภายในของผู้ที่ใช้วิชาออกมา
พลังภายในที่อยู่ในร่างกายคนเราเรียกว่าพลังปราณ มันสามารถแบ่งออกได้อีกเจ็ดขั้น ต่ำ กลาง สูง มนุษย์ โลก พิภพ และสวรรค์ ที่เหนือกว่านั้นคือการฝึกลมหายใจแห่งจิตวิญญาณ
การแบ่งระดับของปราณยุ่งยากกว่าการแบ่งระดับของวิชายุทธ์อยู่มาก แต่ละขั้นของปราณแบ่งออกได้อีกเจ็ดระดับ ในแต่ละตับแบ่งออกเป็นระดับต้นและระดับปลายอีกที กล่าวกันว่าระดับพลังปราณเปรียบได้กับขั้นบันไดที่ละเอียดอ่อน หากก้าวพลาดหมายถึงการบาดเจ็บร้ายแรงยากรักษา วิธีการฝึกจึงค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่างช้าๆ
วิชายุทธ์สามขั้นลมปราณเจ็ดขั้นนั่นคือการฝึกลมหายใจแห่งชีวิต
วิชายุทธ์เกิดจากความเข้าใจและการฝึกฝน หากพลังภายในเกิดจากทรัพยากรและการบ่มเพาะ ทั้งสองคือความแตกต่างที่ควบคู่กันไป
จางหมิงเองเพียงแค่เริ่มก้าวเดินบนเส้นทางของผู้ฝึกฝนเท่านั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นต่ำระดับหนึ่งช่วงต้น ซึ่งเป็นระดับที่สำคัญในการเริ่มฝึกวิชายุทธ์
“นายน้อยขอเชิญทางนี้ขอรับ” จางซิ่งเรียกขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเหม่อมองไปที่ตำราเก่าแก่อีกฝั่ง
“แล้วตำราเก่าพวกนี้ล่ะ”
“ทั้งหมดเป็นวิชาไร้ฐานขอรับ แม้ทางฝั่งนั้นไม่อาจนำออกไปได้แต่สามารจดจำมันออกไปได้อยู่ ผู้คนที่เคยฝึกไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เข้าได้ถึงขั้นสามัญ ดังที่เห็น มันเป็นวิชาที่เก่าแก่มาก วิธีการฝึกนั้นแสนซับซ้อน บางทีก็พร่าเลือนจนมองไม่เห็นอักษร หากนายน้อยสนใจสามารถอ่านดูได้ ข้อห้ามอย่างเดียวนั้นคือไม่อาจนำออกไปข้างนอก”
มันพยักหน้ารับเบาๆอย่างเข้าใจ หากว่าวิชายากมากเกินไปมันก็ไม่ได้หวังจะฝึกสำเร็จ
แต่การห้ามนำออกไปนี่ช่าง...
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
“นายน้อย”
จางหมิงหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียก เมื่อเห็นจางซิ่งรออยู่จึงได้เดินตามไป
ตำราสองฝั่งแบ่งแยกกันชัดเจนด้วยทางเดินทอดยาว ฝั่งหนึ่งเก่าแก่ควรค่าแก่การเก็บรักษา อีกฝั่งใหม่เอี่ยมและจัดวางอย่างเรียบง่าย หากแต่ความจริงก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน อย่างน้อยตำราเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เมืองหลวงส่งมาช่วยสนับสนุนบุคคลผู้มีความสามารถ
“นายน้อยสามารถเลือกฝึกได้ทุกวิชาที่อยู่ที่นี่ และสามารถหยิบยืมออกไปได้ไม่เกินสามเล่ม นี่เป็นกฎประจำตระกูลที่ไม่อาจฝ่าฝืน หากท่านเลือกได้แล้วให้แจ้งแก่ผู้ดูแลหน้าประตู” จางซิ่งอธิบายก่อนจะขอตัวไปเลือกวิชายุทธ์ของตน ตัวมันอยู่ขั้นต่ำระดับสามช่วงต้นแล้ว แต่นั่นยังไม่ดีพอจะเข้าห้าสำนักมันจึงยังรั้งอยู่ที่นี่
จางหมิงกวาดสายตาดูรอบๆ ชั้นหนังสือกว้างขวางมีวิชายุทธ์ให้เลือกสรรนับหมื่นเล่ม มีการจัดวางอย่างมีแบบแผน ทางหนึ่งคือวิชาตัวเบา อีกทางคือวิชาดาบ ทวน กระบี่ และอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแบ่งแยกไว้อย่างชัดเจน
เอาแบบไหนดีหนอ
ชีวิตมันก็เคยจับดาบมาแกว่งบ้างหรอก แต่วิสัยกองโจรใช้คนมากรุมคนน้อยชั้นเชิงจะมีได้อย่างไร และส่วนใหญ่ก็คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังเสียมากกว่า
หากถามว่าหัวหน้าโจรอย่างมันมีอาวุธที่ถนัดไหม
ก็ต้องตอบว่ามี
เป็นหัวหน้านั้นไม่ง่าย ยิ่งหัวหน้าผู้คนที่พลิกลิ้นได้ตลอดเวลาอย่างมิจฉาชีพทั้งหลายย่อมต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะบางคืนอาจมีธนูพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างบ้างล่ะ มีดพุ่งมาบ้างล่ะ อาหารเป็นพิษบ้างล่ะ และการลอบกัดอีกสารพัด นี่ยังไม่นับรวมการโจมตีซึ่งหน้าอีก
มันมีของสองอย่างที่อยู่ติดกายเสมอ หนึ่งคือมีดสั้นประจำตัวที่ติดมาตั้งแต่จำความได้ สองคือแส้หนังงูที่หัวหน้าโจรคนเก่าได้ทิ้งเอาไว้ และทั้งสองเป็นสิ่งที่ถนัดมือมันยิ่ง
จางหมิงเดินสำรวจไปเรื่อยๆเพื่อตามหาวิชาที่ถูกใจ เหมือนว่าวิชาดาบ กระบี่ และท่าร่างจะมีเยอะที่สุด ดังนั้นมันจึงเลือกท่าร่างไปสองเล่มและวิชาตัวเบาอีกหนึ่ง
มันไม่ได้แตะต้องวิชาที่ว่าด้วยอาวุธอื่นๆ คนเรามีเพียงสองมือ หากมือหนึ่งมันถือมีด อีกมือถือแส้รวมกับวิชาตัวเบา แล้วมันจะเอามือที่ไหนไปคว้าจับอาวุธอื่นๆได้อีกเล่า ดั้งนั้นวิชาพวกนั้นล้วนแต่ไร้สาระสำหรับตัวมันเอง
วิชายุทธ์นับหมื่น น่าแปลกใจที่ไม่มีวิชาไหนว่าด้วยการใช้มีดสั้นหรืออะไรที่คล้ายคลึง หากจะมีจำพวกแส้บ้างแต่ก็แค่พื้นฐานที่ไม่อาจเป็นประโยชน์ มันจึงคิดฝึกฝนร่างกายอย่างเดียวแทน
อาคารกลางเปิดช่วงเช้าถึงเย็น เวลาจึงเหลืออีกมากมายมันจึงได้เดินสำรวจตำราเก่าแก่อีกฝั่ง เล่มแรกที่มือแตะลงไปราวกับเลือดในกายดิ้นพล่านขึ้นมาชั่ววินาทีหนึ่งก่อนจะหายไป มันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ชั่วขณะนั้นมันรู้สึกคล้ายกับเมื่อครั้งการเปิดลมปราณครั้งแรก บิดาได้กล่าวว่าเป็นผลข้างเคียงจากการฝืนเปิดที่เร็วเกินไปร่างกายจึงรับไม่ไหว มันก็ไม่ได้เอะใจ แต่นี่เป็นอีกครั้งที่เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน
นอกจากพิษเหมันต์นิรันดร์ ร่างกายนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ปกติ
นั่นคือสิ่งที่มันสรุปเอาเอง จริงเท็จแค่ไหนเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
+++
แมว : กำลังปูพื้นเรื่องนา อาจวกวนไปบ้าง