ตอนที่ 4 คนเปลี่ยน
4
หยกหิมะชิ้นนี้ดูแปลกๆ
มันไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่ หากดูด้วยตาก็แค่หยกหิมะเนื้อดีที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตที่ตรงกลางสลักคำว่าเกาไว้บนนั้น แต่ถ้าให้พูดจากความรู้สึกตอนถือ ราวกับว่ามีบางอย่างไหลวนบนมือของมัน แม้พลิกซ้ายพลิกขวาไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกพิสดารจริงๆมันจึงเก็บหยกไว้ใต้กองเสื้อผ้าในกล่องปลายเตียงแล้วปิดด้วยแม่กุญแจที่มีอยู่ก่อน และมันพบลูกกุญแจในกระเป๋าเงินของมันเอง
จางหมิงเปลี่ยนชุดแล้วเดินไปตามทางที่จางซิ่งได้บอกเอาไว้ สังเกตไปรอบทิศทางนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาชนิดดูร่มรื่นเย็นตา และมันก็จดจำทุกสถานที่เอาไว้
ก็นะ... เผื่อวันข้างหน้าต้องแอบออกไปไหนจะได้ไม่มีใครจับได้
มันหวังว่าจะไม่มีวันนั้น เพราะชีวิตมันไม่ได้อยากให้ยุ่งเหยิงเท่าไหร่ อยู่อย่างง่ายๆ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น คิดแค่ให้ตัวรอด ...ชีวิตมันก็แค่นี้
“นายน้อย ขอเชิญทางนี้ค่ะ ท่านหญิงและท่านผู้นำได้รออยู่ก่อนแล้ว” หญิงรับใช้ยิ้มให้อย่างอ่อนหวานเมื่อเดินมาเจอมันระหว่างทางและเชื้อเชิญให้มันเดินนำหน้าไป
คิดว่าคงให้มาตาม หรือไม่ก็เพราะมารดามันเป็นห่วงกลัวบุตรชายพิษกำเริบตายคาห้อง
“แล้วท่านพี่ทั้งสองของข้าล่ะ” จางหมิงถามขณะเดินไปยังห้องอาหาร
“นายน้อยทั้งสองยังคงศึกษาอยู่ที่สำนักตนเองค่ะ แต่ไม่นานคงกลับมาเพราะแต่ละสำนักใกล้เปิดรับลูกศิษย์ใหม่ ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่ศิษย์สำนักที่เหลือจะสามารถกลับบ้านได้” สาวใช้อธิบายให้อย่างไม่ติดขัด มันคิดว่าข่าวที่ความจำสูญหายคงกระจายไปทั่วแล้ว
“อืม... เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าในตระกูลทั้งหมดมีผู้ฝึกยุทธ์มากน้อยเพียงใด”
“ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบัง ตระกูลจางเป็นตระกูลใหม่ที่เพิ่งเติบโตภายในเมืองมังกรครามนี้ เริ่มจากรุ่นคุณปู่ของนายน้อย ซึ่งท่านได้มาตั้งรกรากและทำมาหากินที่นี่จากดินแดนห่างไกล ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ของตระกูลจึงมีไม่มากนัก ทุกคนเกิดจากเด็กกำพร้าหรือพวกคนรับใช้ที่มีพรสวรรค์ ตระกูลจางได้ชุบเลี้ยงพวกเขาโดยการส่งไปยังสำนักต่างๆก่อนจะกลับมารับใช้ตระกูลต่อไป แม้พวกเขาจะมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับอีกสองตระกูลใหญ่ แต่ระดับฝีมือนับว่าห่างชั้น” เธอพูดและยิ้มอย่างภูมิใจ
“ห่างชั้น?”
“ค่ะนายน้อย แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าห่างชั้นนี่หมายถึงอย่างไร พวกคนอื่นๆมันก็พูดมาอีกที” จางหมิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ อีกอย่างก็ไม่ได้หวังหรอกว่าสาวใช้ในบ้านจะรู้ทุกเรื่อง
ห้องอาหารที่ว่าอยู่บนอาคารหลักซึ่งเป็นตึกขนาดกลางในหมู่อาคารหลายสิบแห่ง หญิงรับใช้ได้กล่าวว่าปกติแล้วจะไม่ได้อนุญาตให้อยู่อาศัยแต่จะใช้เป็นที่พบปะระหว่างครอบครัวหรือผู้มีส่วนร่วมทางการค้า อีกทั้งยังใช้ในการเลี้ยงรับรองในบางโอกาส อาคารหลังนี้หากไม่นับโรงเก็บม้าหน้าประตูมันจะเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้ประตูใหญ่มากที่สุด
จางหมิงได้รู้ว่าขนาดบ้านพื้นที่กว้างขวางนี้อยู่ทางทิศใต้ของเมือง ตระกูลจางมีประตูทางเข้าสี่ทิศและอาคารกลางซึ่งเป็นที่เก็บตำราต่างๆทั้งวิชาการและทักษะยุทธ์ ฝั่งเหนือคือประตูใหญ่ซึ่งใกล้กับอาคารหลัก ทิศตะวันออกติดกับแม่น้ำเลือดมังกรที่ใช้ขนส่งสินค้าทางเรือ ทิศตะวันตกติดกับตลาดของชาวบ้านซึ่งไม่ใช่ตลาดใหญ่มากนักที่มันได้ออกไปเมื่อช่วงเช้า และทิศใต้ซึ่งเป็นประตูปิดตาย
กล่าวถึงประตูปิดตาย หญิงรับใช้เกิดอาการหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะพยายามถามอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ปริปาก มันก็ไม่ได้อยากข่มขู่เธอมากนักจึงไม่ได้ทู่ซี้ถามต่อ
ตอนเป็นโจรก็อยู่อย่างระวังตัว ตอนเป็นนายน้อยก็ยิ่งต้องอยู่รอดปลอดภัยให้ได้มากกว่า
หากว่าที่แห่งนั้นไม่ควรกล่าวถึงมันก็มีได้สองความหมาย หนึ่งคืออันตรายจนไม่ควรเข้าใกล้ และสองคือความลับที่เปิดเผยแล้วจะเกิดภัย
ไม่ว่าอย่างไหนก็ควรหลีกเลี่ยงทั้งนั้น!
จางหมิงไม่ได้ต้องการเอาตัวเข้าไปหาอันตรายอยู่แล้วเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ
แต่หารู้ไม่!
...อันตรายมักเข้าหาคนที่พยามยามหลีกเลี่ยงมันเสมอ
อาคารหลักตระกูลจาง
“หมิงเอ๋อ เจ้าออกไปข้างนอกมารู้จึงเจ็บป่วยที่ตรงไหนหรือไม่” มารดามันปรี่เข้ามาถามเมื่อเห็นหน้า คราแรกมันก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่หรอก แต่บ่อยเข้ามันก็รู้สึกเบื่อหน่ายแทน
“ไท่อิง”
เสียงเรียบๆแต่เฉียบขาดทำให้มารดามันชะงักก่อนจะพามันมานั่งประจำที่ อาหารบนโต๊ะไม่มากหรือน้อยไปทำให้พอรู้ว่าเจ้าบ้านไม่ได้ฟุ้งเฟ้อในการใช้เงินทอง นั่นทำให้มันพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะแอบสำรวจผู้ที่นั่งหัวโต๊ะช้าๆ
คนผู้นี้ถูกเรียกโดยคนรับใช้ว่าท่านผู้นำ เรียกโดยคนแบบจางซิ่งว่านายใหญ่ และตัวมันเองเรียกว่าบิดา สถานะที่เรียกแล้วรู้สึกแปลกชอบกล
จางหลีไห่อายุได้สี่สิบห้าห่างจากจางไท่อิงผู้เป็นภรรยาสิบกว่าปีแต่ดูจะรักใครกันดี หากว่าบุคลิกเย็นชาและแสนมั่นคงนั้นช่างตรงข้ามกับความอ่อนโยนหากแต่ขี้ระแวงของคู่ชีวิตจริงๆ ทำเอาจางหมิงไม่อยากคาดเดานิสัยของพี่ชายทั้งสองของมัน
“เห็นว่าเจ้ายังไม่หายดี” ผู้ที่นั่งหัวโต๊ะหันมาถามเมื่อลูกชายของมันนั่งนิ่งไม่พูดจา
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้วครับท่านพ่อ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดี พรุ่งนี้เจ้าก็ควรเริ่มร่ำเรียนด้านการค้าอีกครั้ง”
“แต่ลูกเราเพิ่งหายป่วยนะท่านพี่!” จางไท่อิงขัดขึ้นมา
“ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร มันเป็นลูกผู้ชาย เมื่อมีสิ่งที่ต้องทำถึงแม้แทบจะสิ้นลมมันก็ต้องทำให้ได้!” น้ำเสียงเข้มชัดดังไปทั้งห้อง ผู้แย้งก็ได้แต่หันไปมองบุตรชายอย่างนึกเป็นห่วง
“ท่านพ่อพูดได้ถูกต้องแล้วท่านแม่” มันสมทบ
การค้ากับโจรมันเป็นของคู่กัน เมื่อมีพ่อค้าก็ต้องมีโจรดักปล้น เมื่อพ่อค้ารู้จักขายโจรก็ต้องรู้จักราคา พ่อค้าเป็นโจรไม่ได้เพราะขาดทักษะเยี่ยงขโมย แต่โจรเป็นพ่อค้าได้เพราะทักษะด้านการหลอกล่อนั้นมีอย่างครบถ้วน
สำหรับมันจะมีอะไรง่ายไปมากกว่านี้อีกหนอ...
“อ่อ ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากร้องขอ” เมื่อทุกคนเงียบไปนานจู่ๆจางหมิงก็พูดขึ้นมาเสียงดัง
“เจ้าว่ามา” จางหลีไห่พยักหน้ารับ
“ข้าอยากฝึกฝนวิชายุทธ์!”
“!!”
ไม่เพียงแต่บิดาและมารดามันที่รู้สึกแปลกใจ คนรับใช้ทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงก็ประหลาดใจไปตามๆกัน
วันดีคืนดีนายน้อยคนสุดท้องของตระกูลก็เปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ ก่อนหน้านั้นเป็นเพียงเด็กอ่อนแอขี้โรคทั้งยังเรียนรู้ได้ช้ายิ่ง แต่ตอนนี้กลับยอมรับสิ่งต่างๆได้โดยง่ายอีกทั้งดูสง่าผ่าเผยเหมือนบุคคลแข็งแรงสมบูรณ์ผู้หนึ่ง การวางท่าทางก็เรียบร้อยขึ้นอีกโข นี่เหมือนกับกลายเป็นคนละคนเสียด้วยซ้ำ
เพราะยาพิษ? หรือเพราะความทรงจำที่ขาดหาย?
แต่อย่างไรมันก็เกิดขึ้นแล้ว และทุกคนก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยนายน้อยคนเล็กของตระกูลอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยเชิดชูวงศ์ตระกูลให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก
“ข้าไม่แน่ใจว่าร่างกายเจ้าจะทนการฝึกไหว” จางหลีไห่ขมวดคิ้ว
“ยาพิษก็คือยาท่านพ่อ หากมันใช้คร่าชีวิตได้ มันก็ช่วยคนได้เช่นกัน” จางหมิงยิ้มกลับไป
อ่อ... จะว่าไปช้อนเงินที่มันใช้ก็น่าจะมีราคาไม่น้อย
+++
แมว : ...