ตอนที่ 3 สันดานโจร
3
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็นายน้อยตระกูลเกานี่เอง” มันทักอีกฝ่ายอย่างสุภาพ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเพียงหัวเราะในลำคอและไม่มีทีท่าว่าจะตอบรับอะไร
“นายน้อยของข้าต้องการให้การค้าสมุนไพรที่พวกเจ้ากำลังทำล้มเลิกไปซะ” หนึ่งในผู้ติดตามของเกาหงลี่ชี้นิ้วแล้วตวาดใส่ทั้งคู่
“ร้านของพวกเจ้ามันขัดขวางกิจการร้านของเรา ร้านเราอยู่มานานนับหลายร้อยปีแล้ว พวกเจ้าพึ่งก่อตั้งมากลับทำให้พวกเราขาดทุนไปหลายหมื่นตำลึงทอง” ผู้ติดตามอีกคนกล่าวสมทบ
จางหมิงเลิกคิ้ว ค่อนข้างแปลกใจในความใจกล้าของฝ่ายตรงข้าในการข่มขู่มัน อย่างน้อยตัวมันก็ยังคงเป็นนายน้อยตระกูลจาง เอาไปเทียบกับพวกมันได้หรือ แลดูว่าจางหมิงคนก่อนคงจะหัวอ่อนยอมให้พวกนี้กดขี่กระมัง
“ข้าไม่ต้องการคุยกับคนเช่นเจ้า และไม่ต้องการเสวนากับคนใบ้!”
“เจ้า!” เกาหงลี่ชี้หน้ามันอย่างเดือดดาล
“เจ้าก็พูดได้นี่ อย่ามาทำตัวจองหองไม่รู้ผู้หลักผู้ใหญ่ ยืมปากคนอื่นพูดก็เหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจ หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายก็จงแสดงความกล้าที่จะทำจะพูดในสิ่งที่ต้องการด้วยตนเอง เด็กน้อยอย่างเจ้าใช่ควรสอดในสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำกันหรืออย่างไร”
เกาหงลี่กระพริบตามองนิ่งๆอย่างตามไม่ทัน มันถูกคนอ่อนแอขี้ขลาดกลัวกล่าวตักเตือนอย่างชัดคำต่อหน้าผู้คนมากมายกลางตลาด ไม่รู้ว่าคนแบบนั้นไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน
“ว่ากล่าวข้าเช่นนั้นไม่ดูตัวเจ้าเอง เจ้าก็ยังคงเป็นเด็กเหมือนกันล่ะน่า อายุมากกว่าข้าไม่กี่เดือนอย่ามาทำเป็นสั่งสอนหน่อยเลย ตัวข้านั้นเพียงอยากช่วยกิจการของตระกูล ไม่เหมือนคนป่วยออดๆแอดๆที่ผลาญทรัพยากรตระกูลไปวันๆเช่นเจ้า!” เกาหลงลี่ว่ากลับ หากแต่รอยยิ้มเยาะของฝ่ายตรงข้ามทำให้มันไม่รู้สึกถึงชัยชนะ
“ช่วยกิจการครอบครัว? โดยการข่มขู่เด็กบ้านอื่นน่ะหรือ ฮ่าๆๆ ช่างเป็นความคิดที่หลักแหลมเสียจริงๆ”
“เจ้า!”
“จุ๊ๆ นายน้อยเกา ท่านควรเอาเวลาไปช่วยบริหารบัญชีทางร้านสมุนไพรของท่านให้ดีมากกว่าจะมาหาเรื่องปิดร้านที่กำลังรุ่งเรืองของคนอื่น แล้วก็หัดดูแลคนของท่านให้รู้จักสงบปากสงบคำบ้าง ชีวิตมันจะได้ยาวขึ้นมาอีกหน่อย” จางหลิงเหลือบตาไปจ้องสบกับคนข้างตัวเกาหงลี่ไปด้วย
คนรับใช้ตระกูลเกาทั้งสองรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง แรงกดดันที่ไม่อาจเข้าใจทำให้พวกมันตัวสั่นน้อยๆ พวกมันไม่เข้าใจจริงๆว่าเพราะอะไรนายน้อยจางคนนั้นถึงแปลกไปแบบนี้
ไม่ใช่แค่คนจากตระกูลเกาที่มองพวกเขาแปลกๆ จางซิ่งเองก็ดูจะสนเท่ห์กับนิสัยที่แปลกไปของนายน้อยตนเอง แม้จะยังคงดูสุภาพเรียบร้อยและน้ำเสียงอ่อนๆ แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมากลับทำให้คิดไปถึงผู้นำคนปันจุบันที่เป็นบิดา วิธีพูดก็คล้ายอดีตผู้นำตระกูลคนก่อนซึ่งเป็นปู่ของจางหมิง
แปลกไปเพราะพิษ?
แต่นี่แหละถึงเหมาะสมกับการเป็นนายน้อยตระกูลจางของมัน
“เฮอะ! จะพูดอะไรก็พูดไป เพราะอีกไม่นานข้าจะได้เข้าร่วมกับสำนักอินทรีย์สวรรค์ เกียรติยศตระกูลข้าก็จะมากขึ้น แล้ววันหน้าพวกเจ้าจะต้องเสียใจที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับข้า!” เกาหงลี่ถลึงตาใส่อย่างเดือดจัด และยิ่งโกรธขึงเมื่อฝ่ายตรงข้ามเอาแต่ยิ้มรับอย่างไม่ยี่หระ
ก็แน่ล่ะที่จางหมิงจะไม่หวั่นใจกับคำพูดของมัน ต้องถามก่อนว่าตัวมันรู้จักสำนักอินทรีย์สวรรค์หรือไม่ มันเองรู้จักที่แห่งนี้เพียงผิวเผิน จะให้ทำตัวเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์ก็ใช่เรื่อง จะเถียงเด็กก็กลัวเสียผู้ใหญ่ จึงได้แต่ยิ้มรับไปแบบนั้น
ขณะนั้นมีเสียงเอะอะโวยวายมาแต่ไกลทำให้คนทั้งหมดยุติการสนทนาแล้วหันไปมอง
ม้าสีน้ำตาลแก่ตัวพ่วงพีกำลังพยศ เจ้าของดึงรั้งบังเหียนเพื่อกระชากกลับแต่ดูแล้วจะสู้แรงไม่ไหว ผู้คนบริเวณนั้นแตกกระเจิงเมื่อเจ้าของม้าล้มลงและสายบังเหียนหลุดออกจากมือ
จางหมิงเห็นแบบนั้นก็ขยับเข้าชิดริมทาง มันมองชามกระเบื้องที่ขายอยู่ร้านด้านข้างแทนสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แต่ก็มีบางคนที่ไม่สนใจสถานการณ์เช่นกัน อีกทั้งยังขวางทางม้าวิ่งอีกต่างหาก
“หยุดนะเจ้าม้าโง่!” เกาหงลี่ตะโกนใส่ม้าที่กำลังห้อตะบึงมา
ก็ไม่รู้ว่าม้าหรือคนกันแน่ที่โง่
สายตาจางหมิงละจากชามใบสวยแต่ก็ยังคงยืนแอบแผงข้างทางนั้นเงียบๆ มันกำลังรอดูคนโง่ที่หาเรื่องกับสัตว์หน้าขน ผู้ติดตามสองคนทำได้เพียงกระวนกระวายแต่ก็ไม่กล้าขัดขวางในสิ่งที่นายน้อยมันทำ และก็เป็นไปตามคาด ม้ามันก็แค่สัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่เข้าใจความสูงต่ำที่มนุษย์แบ่งแยก มันก็แค่วิ่งไปตามทาง เมื่อมีสิ่งเล็กๆมาขวางทางมันก็แค่เขี่ยให้กระเด็น
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าทางที่นายน้อยตระกูลเกากระเด็นมาคือแผงลอยเครื่องเคลือบที่มันยืนอยู่ จางหมิงขยับหลบแทบไม่ทันแต่ก็พอจะพ้นวิถีเกาทัณฑ์มนุษย์ที่พุ่งมาได้
“นายน้อย!” คนรับใช้ตระกูลเการ้องตะโกนพร้อมกันแล้วรีบมาพยุงร่างนายตนเอง
“อึก! เจ้าม้านั่นบังอาจนัก! พวกเจ้ารออะไรล่ะ ไปจับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ผู้ติดตามทั้งสองไม่อาจขัดก็ทำได้เพียงวิ่งตามทางที่ม้าจากไปไกลลิบ
คนธรรมดาไหนเลยจะวิ่งตามม้าทัน คนสั่งก็ไม่รู้จักคิด!
เกาหงลี่ลุกขึ้นชมาปัดชายผ้าของตนเอง ร่างกายมันไม่ได้เป็นอะไรมากมายเนื่องจากฝึกฝนร่างกายมาบ้าง สำนักที่มันจะเข้าเข้มงวดอยู่พอสมควรเหมือนกัน หากอ่อนแอมีหรือจะได้รับเชิญเข้าร่วม
“จะไปไหนเล่านายน้อยเกา” จางหมิงทักมันไว้เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะจากไป จางซิ่งที่รู้สถานการณ์ก็เข้าไปขวางหน้าอีกฝ่ายทันที
“มีปัญหาอะไรกับข้าอีก!” เกาหงลี่รู้สึกหงุดหงิดอยู่แล้วก็ยิ่งทวีความหงุดหงิดเข้าไปอีกเมื่อมีคนเข้ามาขัดขวางทางเดินของตนเอง
“เหมือนเจ้าจะลืมบางอย่างนะนายน้อยเกา” จางหมิงเอ่ยเตือนและยิ้มบางๆ
“ลืม? ข้ามีหรือจะหลงลืมอันใด”
“เจ้าลืมอย่างแน่นอน... ลืมว่าตนเองทำข้าวของของผู้อื่นเสียหายมากมาย แล้วท่านผู้เป็นถึงนายน้อยของตระกูลใหญ่จะจากไปง่ายๆเช่นนี้หรือ ออกจะไม่งามกระมัง” จางหมิงพยักพเยิดไปทางแผงขายของด้านหลัง
“ฮึ! แล้วยังไง ของก็ไม่ใช่ของข้า ทำไมข้าต้องสนใจ” คนพูดยิ้มเยาะ
“เจ้าไม่ต้องสนใจก็ได้ หากอยากให้ผู้คนตราหน้าว่าตระกูลเกาไม่มีปัญญาจ่ายค่าของไม่กี่ชิ้น” จางหมิงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ มันกำลังรออีกฝ่ายที่กำลังหันซ้ายขวาอย่างร้อนรนกับสายตาผู้คนรอบข้างออกปากยอมจ่ายเงิน
“มันจะเป็นเงินสักเท่าไหร่กันเชียว เจ้าน่ะ! เจ้าของร้านใช่ไหม เก็บของที่เสียหายของเจ้าไปขึ้นเงินที่ตระกูลข้าก็แล้วกัน ฮึ!” พอพูดจบก็จ้องจางหมิงอย่างมาดร้ายก่อนสะบัดหน้าจากไป
จางหมิงคำนับกลับเจ้าของร้านที่ก้มคำนับเขาเป็นพัลวัน จากนั้นมันกับจางซิ่งก็เดินสำรวจของในตลาดกันเสียจนเย็นค่ำ ก่อนที่จะกลับเพราะสาวใช้ในบ้านมาตามจากคำสั่งบิดา
ในระหว่างเดินทางมันได้ถามถึงสำนักอินทรีสวรรค์ที่เกาหงลี่พูดถึง ได้ความว่าที่นั่นเป็นหนึ่งในสำนักขนาดใหญ่หนึ่งในสี่แห่งของนครมังกรทะยานที่ซึ่งเป็นเมืองหลักที่ปกครองเมืองมังกรครามของมันอีกที พูดถึงสำนักสิ่งที่สอนก็ไม่พ้นวิชายุทธ์และกำลังภายในอย่างที่มันคิดไว้ ตัวเกาหงลี่เองได้ฝึกฝนกำลังภายในของตระกูลตนเองมาบ้างจึงได้แข็งแรงพอให้ม้าวิ่งชนไม่บาดเจ็บ มันก็มาคิดได้ว่าเด็กน้อยคนนั้นก็พอจะมีดีอยู่บ้าง
วิชากำลังภายในที่ตกทอดมาในตระกูลของมันก็มี หากแต่ตัวจางหมิงคนก่อนไม่เคยฝึกฝนเนื่องจากร่างกายอ่อนแอ จางซิ่งบอกไว้ว่าหากมันต้องการฝึกจริงๆจำต้องขออนุญาตจากนายใหญ่ซึ่งก็คือบิดาของมันเสียก่อน
พอกลับถึงบ้านมันก็ขอแยกตัวกลับเพื่อเปลี่ยนชุดที่เปื้อนฝุ่นออกก่อนแล้วค่อยไปพบบิดาที่ตึกใหญ่ จางซิ่งนั้นได้บอกทางไว้ให้แก่มันแล้วจึงไม่คิดว่าจะมีปัญหา
เมื่อประตูห้องปิดลงร่างของเด็กชายก็หัวเราะในลำคอ ความจริงแล้วที่มันรีบสอดปากเข้ายุ่งกับเรื่องข้าวของของคนอื่นนั้นเพราะไม่ต้องการให้เกาหงลี่สำรวจตัวเองก็เท่านั้น เพราะป้ายหยกที่ซ่อนในแขนเสื้อเขานี่เหมือนของร้อนเมื่อเจ้าของตัวจริงอยู่ใกล้ๆ
แผ่นหยกเรียบลื่นในมือช่างสวยสดสว่างไสวในสายตาคนมอง สิบห้าตำลึงทองแม้จะไม่มากนักแต่ก็ไม่ใช่ราคาน้อยๆสำหรับคนธรรมดา ถึงแม้ตอนนี้ตระกูลจางจะร่ำรวยด้วยทรัพย์มากมายแต่สำหรับมันนั่นไม่ใช่ของที่เป็นของมันเอง มันไม่ได้น่าภูมิใจเท่ากับของที่ได้มาด้วยฝีมือ
อา... มันกำลังขโมยของเหมือนตอนยังเล็ก
สันดานโจรเหมือนจะแก้ไม่หาย เป็นหมอก็ยังคงหยิบนั่นนี่ติดมือมาจากบ้านคนป่วยให้อาจารย์ได้ดุด่า เอาเถอะๆ
+++
แมว : โจรน้อยหมิง... สิ่งมีชีวิตมือไว แต่ก็ เอาเถอะๆ