ตอนที่ 1 จางหมิง
1
ความตาย...
ตัวมันนั้นคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความเจ็บปวดในชั่วพริบตาก่อนดับมืดลง และคงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น หากแต่อาการล่องลอยอยู่บนอากาศเมื่อลืมตาตื่นและภาพเก่าๆในอดีตที่ฉายชัดในหัวตอนนี้คือสิ่งใดกัน
เริ่มต้นตั้งแต่เล็กคือเด็กที่เกิดในสลัมแออัด ตัวมันช่างกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชาการเรือนแสนที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย บิดามารดาทอดทิ้งตั้งแต่เริ่มจำความได้ มันลักเล็กขโมยน้อยมาตั้งแต่นั้นเช่นเดียวกัน
อายุได้สิบสามมันได้เข้าร่วมกับกลุ่มโจรเล็กๆทั้งโดนรีดไถ่บังคับสารพัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้มีที่ซุกหัวนอนเป็นของตนเองที่ไม่ใช่ข้างถนน ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนมิอาจสร้างความลำบากใดๆเพราะคุ้นชินเสียแล้ว
จวบจนอายุย่างสามสิบห้าก็กลายเป็นหัวหน้าโจรอย่างเต็มตัว กลุ่มลักขโมยกลายมาเป็นปล้นสะดมและตั้งตัวเป็นเจ้าของพื้นที่บริเวณแนวป่ารอบตัวเมือง ชีวิตฟุ้งเฟ้อสุขสบาย มีลูกน้องในปกครองมากหน้าหลายตาแต่ล้วนกลับกลอกเยี่ยงโจรทั่วไป สีสันของชีวิตช่างสดใส
จนกระทั่งอายุได้ห้าสิบ โรคระบาดเกิดขึ้นพร่าชีวิตผู้คนไปเรือนหมื่นในเวลาไม่กี่วัน ตัวเมืองร้างไรผู้คน บางคนหอบลูกหลานหนีไป บางคนก็ตกตายลง
ชีวิตหัวหน้าโจรอย่างมันก็หนีไม่พ้นโรคภัยเช่นกัน
กระเสือกกระสนพาตัวเองเข้าป่าคิดว่าจะหาที่นอนตายอย่างสงบ ครั้งนั้นเหมือนว่ายังไม่ถึงที่ตาย ประเหมาะเคราะห์ดีพบหมอชราเข้าจึงรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์
ไม่กี่เดือนต่อมาโรคที่ผู้คนบอกว่าไม่สามารถรักษาก็หายขาดอย่างน่าประหลาดใจ มันเองออกจะทึ่งไม่น้อยจึงขอกราบหมอชราผู้นั้นเป็นอาจารย์ ศึกษาพืชสมุนไพรอีกกว่าสิบปีก็อายุย่างเข้าหกสิบโดยไม่รู้ตัว
โรคภัยก็หนึ่ง ความชราก็หนึ่ง แต่ละอย่างคร่าชีวิตคนได้ทั้งนั้น
ตอนนั้นหมอชราอายุได้สองร้อยกว่าปี ท่านบอกตนเองเป็นผู้ฝึกยุทธ์จากแดนไกล ท่านมีกำลังภายในคอยช่วยส่งเสริมอายุของตัวเอง และมันก็ได้ร่ำเรียนมาจากท่านบ้าง
เฮ้อ...
แปลกใจที่กลายเป็นผีก็ยังมีเวลามาถอนหายใจ ไม่รู้ว่านรกภูมิทำงานล่าช้าหรือไรมันจึงยังล่องลอยในที่ว่างเปล่าแบบนี้ เห็นรอบด้านมีแต่สีขาวตลอดเวลาก็ทำเอาปวดหัวอยู่เหมือนกัน
แต่ผีนี่ปวดหัวได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
อ้อ... จะว่าไปวิชากำลังภายในที่ฝึกมาก็ไม่ได้สำเร็จหรอก ไม่รู้ว่าบาปกรรมตามทันหรือไร มันไปเก็บสมุนไพรบนเขาแต่ต้องลื่นตกเขาตายไปเสียก่อน เหมือนว่าบาปกรรมห้าสิบปีมันหนักหนาจนการช่วยคนนับสิบปีกับอาจารย์ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
อา... ยังจำถึงเสียงกระดูกคอที่หักลงของตัวเองได้อยู่เลย
ถึงจะอย่างไร บุคคลชื่อ จางหมิง คนนั้นก็ได้ตายไปแล้วจริงๆ
‘หมิงเอ๋อ’
ไม่ใช่... มันชื่อจางหมิงก็จริงแต่ไม่เคยมีใครเรียกแบบนั้น
‘หมิงเอ๋อ’
เมื่อได้ยินอีกครั้งมันก็หันมองไปรอบตัวเพื่อหาต้นเสียง แต่ทุกอย่างล้วนขาวโพลนเหมือนกันไปเสียหมด ก่อนที่มันเหมือนจะถูกฉุดลงพื้นอย่างรุนแรง ร่างกายกระตุกเกร็งพร้อมกับแสงจ้าที่จำต้องหลับตาลง
“ท่านหมอ เมื่อไหร่ลูกข้าจะตื่นเสียที ท่านตรวจดูอีกครั้งได้หรือไม่ พิษอาจจะยังแพร่กระจายอยู่ก็ได้ ท่านโปรดตรวจรักษาดูอีกครั้งเถอะค่ะ”
“ท่านหญิงโปรดระงับอารมณ์ก่อน ข้าซึ่งเป็นหมอระดับสามขอรับรองว่านายน้อยปลอดภัยแล้ว แม้จะไม่อาจขับพิษทั้งหมดได้แต่ก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิตในเร็วๆนี้แน่ ตอนนี้ที่ยังไม่ตื่นอาจเพราะร่างกายอ่อนเพลียไปบ้าง อีกทั้งยังพักผ่อนน้อยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่รอดมาได้นี่ก็ปาฏิหาริย์แล้วล่ะ”
เสียงสองเสียงยังคงพูดคุยกันต่อไป จางหมิงอยากเอ่ยปากเรียกแต่ก็ไม่สามารถ ดวงตากระพริบถี่มองหลังคาเตียงอย่างพร่าเลือนก่อนสติจะดับลง
ไม้สีน้ำตาลแก่เคลือบมันเงาวับคือสิ่งแรกที่มันเห็นในคลองสายตา รอบข้างฉลุลายอย่างวิจิตรจนอดนึกไปถึงบ้านเศรษฐีในย่านคนมีเงินที่เคยเข้าไปขโมยของ ตอนนั้นได้แจกันเครื่องเคลือบใบเล็กออกมาแค่นั้น
ยังไม่ตาย?
เหมือนว่ามันจะรอดมาได้อีกครั้งจากการตกเขา แล้วครั้งนี้อาจจะเป็นเศรษฐีสักคนที่ได้ช่วยเขาไว้ ในคอยังรู้สึกขมปร่าของรสยาที่ฝืดเฝื่อน มันกำลังคิดว่าหากเป็นตนเองปรุงขึ้นรสชาติคงจะออกมาดีกว่านี้มากนัก
จางหมิงพยุงตัวขึ้นนั่ง หันมองรอบตัวที่เต็มไปด้วยสิ่งของดูมีราคา ส่วนในหัวกำลังตีค่าเป็นตัวเงิน
เป็นเงินไม่น้อย... ไม่น้อยเลยจริงๆ
มือเอื้อมไปหยิบจอกหยกบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาลูบไล้อย่างประเมิน นิ้วเรียวขาวซีดไม่ต่างจากหยกที่กำลังถือทำให้มันจ้องมือตนเองอย่างประหลาดใจ
มือหยาบหนากร้านดำกลายเป็นขาวหมดจด ร่องรอยเหี่ยวย่นจากวัยกลับมาตึงแน่นราวกับเด็ก หรือคราวนี้จะเจอหมอเทวดาที่เก่งยิ่งไปกว่าอาจารย์มัน แต่เหมือนผลข้างเคียงจะทำให้นิ้วสั้นลงหรืออย่างไร
ในตอนนี้สภาพแวดล้อมไม่ได้น่าสนใจเท่ากับเงาบนกระจกทองเหลืองที่อยู่ไม่ไกล มันลุกพรวดจากเตียงจนแทบล้มแต่ก็พาตัวเองไปจนถึงหน้ากระจก ตาจ้องสบกับสิ่งที่เห็น เด็กชายผู้มีอายุเกินสิบไปไม่ไกลนักจ้องมองกลับมา ผิวขาวซีดเซียวราวต้องโรคแต่ก็ยังดูดีบนใบหน้าเนียนละเอียด
นี่คือมันกำลังหลับฝันไป หรือทั้งหมดที่แล้วมามันฝันแล้วเพิ่งตื่นจริงๆ
จางหมิงกำลังทำความเข้าใจกับตนเอง ความทรงจำในชาติภพที่ตกตายยังคงอยู่ครบถ้วน แต่ความทรงจำเกี่ยวกับร่างปัจจุบันไม่ได้มีเลยแม้แต่น้อย ชีวิตมันเจอเรื่องแปลกมาก็เยอะ แต่คงไม่มีอะไรแปลกเท่ากับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี่
เคร้ง!
เสียงดังที่ได้ยินทำให้มันหันกลับไปมอง หญิงสาวหน้าตาธรรมดาแต่งเนื้อตัวเรียบกริบแสดงสีหน้าตกใจ กะละมังทองเหลืองล้มกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างไม่มีใครสนใจไยดี
“...นี่”
“นะ นายน้อย ท่านหญิง ต้องบอกท่านหญิง!”
หญิงสาวร้อนรนพูดขึ้นเมื่อมันทักออกไปแค่คำเดียว จากนั้นก้มลงคว้าหยิบกะละมังทองเหลืองแล้ววิ่งออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แต่คนเรียกที่ยืนมองตาปริบๆ
เหมือนว่ามันคงต้องรอคำอธิบายเรื่องนี้จากคนที่กำลังจะมาเสียแล้ว
คิดได้แบบนั้นจางหมิงจึงเคลื่อนร่างตัวเองไปนั่งรอบนเก้าอี้ตัวงามกลางห้องอย่างสงบใจ รินชาให้ตัวเองแล้วยกขึ้นจิบอย่าละเมียดละไม
ชาดี!
อืม... 300ตำลึงเงิน
+++
แมว : อืม... ชาดี