ตอนที่ 346 หมิงเย่ว์กวง
หยดแสงสีขาวลอยออกมาจากพื้นที่ผนึกเหมือนกับฝูงปลา และหายไปโดยไร้ร่องรอยแทบจะทันที
ในที่สุดก็เหลือแต่เพียงกลุ่มแสงเท่านั้น
ภายในกลุ่มแสงปรากฏหญิงสาวนางหนึ่ง
นางดูเหมือนเอลฟ์จันทรา มีผมทอง หูแหลม เท้าเงินและนัยน์ตากระจ่างสุกใส เป็นไปได้ว่านี่คือน้องสาวของหมิงรี่ฮ่าวนามว่าหมิงเย่ว์กวง? เย่ว์หยางตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้หมิงเย่ว์กวงดูแตกต่างจากพี่ชายนางหมิงรี่ฮ่าวราวฟ้ากับเหว หมิงเย่ว์กวงเป็นนางเอลฟ์ที่สง่างาม ละเอียดอ่อนดูนุ่มนวลราวกับสายน้ำ ขณะที่พี่ชายนางเป็นยักษ์สูงสิบเมตร สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางสงสัยก็คือถ้าพวกเขาทั้งสองเป็นพี่น้องกัน อย่างนั้นบิดามารดาของพวกเขาผลิตลูกกันยังไงถึงได้ให้กำเนิดบุตรกับธิดาที่แตกต่างกันเช่นนี้
หมิงเย่ว์กวงถูกกลุ่มแสงอาบครอบคลุมตัวก็ค่อยๆ ลืมตามองเย่ว์หยาง จากนั้นนางโค้งศีรษะให้เย่ว์หยางกล่าวคำทักทายระหว่างนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่ไม่เหมือนใคร
ถ้าว่ากันในเรื่องรูปลักษณ์ของร่างกาย นางคงไม่สามารถเป็นน้องสาวของหมิงรี่ฮ่าวแน่
อย่างไรก็ตาม ถ้าว่ากันเรื่องพลัง หมิงเย่ว์กวง แม้ยังอ่อนแอเพราะนางเพิ่งถูกปล่อยออกมาจากผนึก แต่ดูเหมือนว่านางจะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าหมิงรี่ฮ่าว
แม้ว่าเย่ว์หยางเตรียมใจไว้อย่างดีแล้ว แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ และได้แต่รู้สึกเสียใจเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นหมิงเย่ว์กวง ถ้าเขารู้ว่าหมิงเย่ว์กวงยังคงครอบครองพลังมหาศาลอย่างนั้นได้หลังจากถูกผนึกไว้นานถึงหกพันปี เขาคงไม่ปล่อยนางง่ายๆ เพียงเพื่อจะได้รับดาบเทพจักรพรรดิอวี้แน่นอน
แน่นอนว่า แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่สามารถดึงดาบออกมาได้ แต่ด้วยพลังของหมิงเย่ว์กวง บางทีนางคงสามารถหลุดออกมาจากผนึกได้นานแล้ว
“ถึงตัวข้าจะหลับมาตลอด แต่ข้าก็ยังได้รับข่าวที่พี่ชายส่งให้ข้า เขาเล่าเรื่องข้อตกลงกับเจ้า เกี่ยวกับเรื่องทำสัญญาสันติภาพกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ นั่นคือความปรารถนาในใจของข้า เดิมทีข้าก็ไม่ได้แค้นหรือไม่พอใจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทุกอย่างเป็นแค่ความเข้าใจผิด ข้าต้องขอบคุณเจ้าที่ปล่อยข้าออกมา ข้าหวังว่าเราจะสามารถเป็นมิตรต่อกันในอนาคต”
หมิงเย่ว์กวงไม่ได้พูดออกมา นางเพียงพยักหน้าเบาๆ แต่ก็เหมือนกับทุกคนสามารถได้ยินเสียงของนาง คลื่นความคิดของนางก้องอยู่ภายในจิตใจของทุกคน คลื่นความคิดนี้คล้ายกับคลื่นความคิดของจักรพรรดิอวี้ที่เพิ่งปรากฏมาก่อนนี้ เสียงของนางชัดเจนและแตกต่างจากเสียงของจักรพรรดิอวี้
“ท่านจะทำอะไรต่อไป?”
เย่ว์หยางถาม
“ไปจากวิหารเทพของจักรพรรดิอวี้และกลับไปแดนสวรรค์.. สภาพข้าในปัจจุบันนี้อ่อนแอมาก ข้าไม่อาจให้ความช่วยเหลือจริงจังใดๆ เจ้าได้เลย ถ้าสักวันหนึ่งเจ้าสามารถมาเยือนแดนสวรรค์ที่งดงามได้ อย่างนั้นค่อยมาขอความช่วยเหลือจากข้าได้ ข้าเป็นสมาชิกของนิกายสุริยันจันทรา เป็นเรื่องง่ายมากถ้าเจ้าต้องการหาข้าให้พบในแดนสวรรค์”
คลื่นความคิดของหมิงเย่ว์กวงไม่เทียงถ่ายทอดมายังเย่ว์หยางเท่านั้น ทุกคนสามารถได้ยินเสียงนางได้ชัดเจน รวมทั้งผู้เฒ่าเต่ามังกร
“พวกเจ้าฆ่าขุนพลหนานและทหารหาญคนอื่นไปมากมาย พวกเจ้ายังบุกทำร้ายจักรพรรดิอวี้ ถ้าพวกเจ้าต้องการจากไป ก็ต้องผ่านข้าให้ได้ก่อน”
ผู้เฒ่าเต่ามังกรโกรธจนลืมตัว
“เกี่ยวกับเรื่องเข้าใจผิดในอดีต ข้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง”
หมิงเย่ว์กวงคำนับให้ผู้เฒ่าเต่ามังกร จากนั้น นางโบกมือสั่นศีรษะ
“ข้าไม่ต้องการสู้กับเจ้า มันเป็นความเข้าใจผิดที่นิกายสุริยันจันทรามีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าจะไม่ยอมให้เกิดการเข้าใจผิดอีกแน่นอน หยวนหลง แม้ว่าจะไม่พูดถึงก็ตาม แต่ข้าคิดว่าเจ้าก็คงรู้ว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ต่อให้เจ้าสู้กับข้าในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดก็ตาม เจ้าก็ยังไม่มีทางทำร้ายข้าที่ยังอยู่ในสภาพอ่อนแอได้ ในช่วงหกพันปีนี้ ขณะที่ข้าถูกกักขังอยู่ในวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ ข้ามักจะครุ่นคิดถึงคำถามหนึ่งเสมอ จริงๆ แล้วใครเป็นคนวางกับดักนี้และหว่านโปรยความขัดแย้งระหว่างเราจนทำให้พวกเราต้องต่อสู้กันเองจนตกตาย? หยวนหลง เจ้าควรจะรู้นะว่ามีคนคอยบงการอยู่หลังฉาก ในสถานการณ์เช่นนี้ อย่าบอกข้านะว่าเจ้ายังมุ่งมั่นที่สู้ตายกับข้า และยอมปล่อยให้ผู้บงการหลังฉากหนีลอยนวลไปพร้อมกับบาปของเขาต่อไป?”
“.....”
เต่ามังกรพบทันทีว่านางพูดถูก เขามีศัตรูมากเกินไป แต่หมิงเย่ว์กวงที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าเขามากแล้ว เขาในตอนนี้บาดเจ็บหนักและยังอยู่ในช่วงรักษาตัว คงไม่สามารถเอาชนะศัตรูผู้นี้ได้แน่
ที่สำคัญที่สุด คนที่ผู้เฒ่าเต่ามังกรต้องการฆ่าที่สุดก็คือขุนพลเทพของจักรพรรดิอวี้
ก่อนที่เขาจะฆ่าคนหักหลังได้สำเร็จ ผู้เฒ่าเต่ามังกรจะไม่ยอมตายง่ายๆ
มิฉะนั้น เขาจะตายไปพร้อมกับความเสียใจ
เป็นการเดินทางที่ยากลำบากในการเข้าวิหารเทพจักรพรรดิอวี้แล้วยังมาได้ไกลขนาดนี้
ตราบใดที่พวกเขาได้รับคทาเทพของจักรพรรดิอวี้ พวกเขาก็จะสามารถฆ่าขุนพลเทพแห่งจักรพรรดิอวี้คนทรยศได้ ผู้เฒ่าเต่ามังกรไม่ต้องการพลาดโอกาสเช่นนี้จริงๆ
สำหรับการฆ่าหมิงเย่ว์กวง อย่าว่าแต่ความจริงที่ว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในตอนนี้พอเท่านั้น ต่อให้พวกเขามี พวกเขาก็ต้องฆ่าขุนพลเทพของจักรพรรดิอวี้เสียก่อน คนทรยศนั่นมีชีวิตมานานถึงหกพันปีโดยไม่มีใครลงโทษมันได้ ผู้เฒ่าเต่ามังกรไม่อาจทนต่อความจริงที่ว่าคนทรยศนั้นยังทำอะไรได้อย่างอิสระเสรี
เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของทั้งสองแล้ว ผู้เฒ่าเต่ามังกรตัดสินใจปล่อยวางความแค้นเล็กน้อยที่มีต่อหมิงเย่ว์กวงไว้ชั่วคราวและคิดหาทางฆ่าขุนพลเทพจักรพรรดิอวี้
สำหรับศัตรูผู้หลับใหลมานานถึงหกพันปีผู้นี้ ผู้เฒ่าเต่ามังกรก็รู้สึกเสียใจ เพราะเขาไม่สามารถหยุดนางไม่ให้จากไปได้
เขาค่อยๆ เดินออกมาจากพื้นที่ผนึก ไม่อยากมองดูภาพศัตรูของเขาไปจากที่นี้โดยปลอดภัย
ด้านนอกพื้นที่ผนึก หมิงรี่ฮ่าวมีสภาพร่างกายที่หมดความสง่างามและเต็มไปด้วยบาดแผลสับฟันและอัดกระแทกพาซาฟี่ที่อยู่ในสภาพย่ำแย่พอกันและนักรบแดนสวรรค์อีกสามคนเข้ามาในพื้นที่ผนึก เมื่อพวกเขากระทบไหล่กับผู้เฒ่าเต่ามังกรทั้งสองฝ่ายทำเป็นเหมือนไม่เห็นกัน พวกเขาไม่พูดอะไรกันเลยแม้แต่น้อย เอาแต่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายของตนเอง
เมื่อหมิงรี่ฮ่าว, ซาฟี่และนักรบแดนสวรรค์อีกสามคนเห็นหมิงเย่ว์กวง สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนเป็นตื้นตันและเคารพเทิดทูน
ทุกคนคุกเข่าลงกับพื้น หมอบคำนับหมิงเย่ว์กวง
จากนั้นหมิงรี่ฮ่าวสร้างบอลแสงที่เต็มไปด้วยพลังงานและให้หมิงเย่ว์กวง
“เราพ่ายแพ้ในการรบครั้งนี้ แต่ควรจะยินดีที่พวกเราทุกคนยังรอดชีวิตอยู่ได้ ยังมีความหวังตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่”
หมิงเย่ว์กวงยื่นมือออกมาที่บอลแสงและรีบซึมซับรับพลังงานนั้นไว้ ขณะเดียวกันนางผายมือที่เหมือนดอกลิลลี่ปล่อยหยดแสงจันทร์ใส่หมิงรี่ฮ่าวและซาฟี่ และรักษาบาดแผลให้พวกเขาทันที
“ข้าไม่ได้ขัดขวางเทวทูตสายลม, เจ้าก็ไม่ได้ปล่อยผนึกให้ทันเวลาด้วยเช่นกัน งานของพวกเราทั้งสองไม่ได้เสร็จสมบูรณ์ดีนัก แต่ก่อนที่เราจะจากไป ขอให้ข้าแนะนำเจ้าสักหน่อยในฐานะที่เป็นพันธมิตรของเจ้า”
หมิงรี่ฮ่าวเงยหน้ามองเย่ว์หยาง
“บางทีสองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์อาจตื่นขึ้นในอีกชั่วโมงถัดไปก็ได้ พวกเขาสามารถเป็นอิสระจากผนึกโลงศพได้ ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถหยุดยั้งการตื่นขึ้นของพวกเขาได้ จงรีบไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ด้วยพลังของพวกเราในปัจจุบัน พวกเขาไม่ใช่พวกที่เราจะเอาชนะได้ ในอีกร้อยปีข้างหน้า บางทีเจ้าอาจทำได้และกลายเป็นจักรพรรดิอวี้รุ่นต่อไปและกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้ แต่ตอนนี้...”
“พวกท่านสามารถไปจากที่นี่ด้วยหรือ?”
เย่ว์หยางสับสนเล็กน้อย ภายใต้ผนึกของจักรพรรดิอวี้ พวกเขาสามารถไปจากที่นี่ได้ด้วยหรือ?
“พวกเขาทำไม่ได้ แต่ในฐานะเทพธิดาผนึกสวรรค์ ข้าอาจเอาชนะเหนือปณิธานของจักรพรรดิอวี้ได้”
หมิงเย่ว์กวงค้อมศีรษะให้เย่ว์หยางและหญิงสาวอีกครั้ง ขณะที่นางเรียกคัมภีร์เล่มหนึ่งที่ฉายแสงสีรุ้ง เย่ว์หยางเลิกคิ้วเมื่อได้เห็นคัมภีร์ เพราะเขาพบว่านั่นคือ “คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์”
มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในโลกเพียงร้อยเล่มเท่านั้น
และหมิงเย่ว์กวงนี้ก็ครอบครองอยู่เล่มหนึ่ง
แม้ว่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของนางจะไม่แข็งแกร่งพอๆ กับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี แต่หมิงเย่ว์กวงก็ครอบครองคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่ง แม้ว่าเย่ว์หยางจะได้ยินสถานะที่แท้จริงของนางมาจากตัวประหลาดแองเจิ้ลแล้วก็ตาม เขาก็ยังรู้สึกตกใจ การได้ครอบครองคัมภีร์แพลตตินัมและคัมภีร์เพชรก็ว่าไม่ธรรมดาแล้ว แต่นางครอบครองคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ นี่หมายความว่านางเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างนั้นหรือ?
หมิงเย่ว์กวงครอบคลุมหมิงรี่ฮ่าว, ซาฟี่และนักรบอื่นๆ ไว้ด้วยสนามพลังพิเศษนามว่าแสงจันทราซึ่งสวยงามนุ่มนวลและนำพวกเขากลับเข้าไปไว้ในโลกคัมภีร์ของนาง
ในที่สุดนางโบกมือให้เย่ว์หยางและดูเหมือนกับว่าเตรียมจะจากไป
ทันใดนั้น นางก็หยุด
นางหันมายิ้มให้เล็กน้อยจากนั้นถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“เจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ในแดนสวรรค์ใช่ไหม?”
“โอว, ท่านเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์หรือนี่?”
เย่ว์หยางทราบมาก่อนแล้ว เมื่อตัวประหลาดแองเจิ้ลบอกความลับนั้นให้เขารู้ เพราะข้อมูลนี้ เย่ว์หยางและหญิงสาวจึงตัดสินใจร่วมมือกับหมิงรี่ฮ่าวและช่วยถอนดาบเทพจักรพรรดิอวี้ เพื่อปล่อยหมิงเย่ว์กวงในคราวเดียวกัน
“แม้ว่าเจ้าจะทำท่าทางที่เกินจริงไปบ้าง แต่ความรู้สึกของข้าบอกว่าเจ้ารู้สถานะของข้าแล้ว”
หมิงเย่ว์กวงมองเขาอย่างสงสัยเล็กน้อยขณะที่นางถามอีกว่า
“เจ้าบอกข้าได้ไหม ทำไมเจ้าตัดสินใจถอนดาบเทพจักรพรรดิอวี้และปล่อยข้าจากผนึก? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าทันทีที่ถูกปลดปล่อยออกมาหรือ? ไม่สงสัยว่าข้ามีพลังจะทำเช่นนั้นหรือ แม้ว่าตอนนี้ข้าจะอ่อนแอก็ตาม แต่ข้าก็ยังสามารถฆ่ามนุษย์ที่มีพลังต่ำกว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 10 ได้อย่างง่ายดาย”
“ถ้าข้าไม่ถอนดาบเทพจักรพรรดิอวี้ออกมา ท่านจะใช้เวลามากแค่ไหนกว่าจะปลดปล่อยตัวเองออกมาจากผนึกได้?”
เย่ว์หยางย้อนถามนาง
“สามวันเป็นอย่างมาก!”
หมิงเย่ว์กวงประเมินชั่วขณะ
“ท่านก็สามารถปลดปล่อยตัวเองออกมาได้ อย่างนั้นทำไมถึงให้หมิงรี่ฮ่าวขวนขวายมาขอความร่วมมือจากข้า?”
เย่ว์หยางถามอีกครั้ง
“เพราะเขาไม่ต้องการให้ข้าตื่นทีหลังสองผู้ยิ่งใหญ่น่ะสิ เจ้าก็รู้ เวลาคือชีวิต”
หมิงเย่ว์กวงตอบ
“เมื่อเราปล่อยท่านออกมา ทำไมท่านถึงไม่ฉวยโอกาสฆ่าเรา? ท่านก็เพิ่งพูดเองไม่ใช่หรือว่าท่านมีพลังมากพอจะฆ่าพวกเราได้ทั้งหมด? ทำไมท่านถึงไม่ทำเช่นนั้น?”
วิธีที่เย่ว์หยางย้อนถามเป็นไปแบบสบายๆ เหมือนกับว่ากำลังถามว่าเย็นนี้จะกินอะไรกันดี ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องชีวิตและความตายเลย
“เจ้ายังอายุเยาว์กว่าจักรพรรดิอวี้ ดังนั้นเจ้าน่ากลัวกว่าเขามาก อภัยให้ข้าด้วยเถอะ แต่ข้าคิดว่าคำว่าน่ากลัวยังไม่พอจะอธิบายตัวตนของเจ้าได้”
หมิงเย่ว์กวงหมุนตัวกลับไปและร่างของนางค่อยๆ เลือนหายไปในสนามพลังแสงจันทราของนาง อย่างไรก็ตามคำตอบสุดท้ายของนางถ่ายทอดเข้าสู่จิตใจของเย่ว์หยางผ่านคลื่นความคิด
“ความจริง ข้าก็คิดจะฆ่าเจ้านะ แต่ข้าเปลี่ยนใจทันทีเมื่อข้าลืมตาขึ้น ข้าคงไม่มีสิทธิ์ฆ่าลูกหลานของเผ่าบูรพาอมตะผู้สามารถคืนชีพได้ด้วยเพลิงอมฤตทุกครั้งที่เขาตาย นั่นไม่ใช่การกระทำของคนที่ฉลาดเลย และไม่ใช่สิ่งที่ข้าผู้มีทักษะเนตรจันทราจะทำอย่างแน่นอน ลาก่อนในตอนนี้ มนุษย์หนุ่มน้อยผู้ได้รับการปกป้องจากอสูรอมตะ เมื่อเจ้าครอบครองพลังของจักรพรรดิอวี้ในอนาคต ข้ายินดีจะแบ่งพื้นที่แดนสวรรค์ตะวันตกให้กับเจ้า”
“สตรีนางนี้ มีความทะเยอทะยานจริงๆ”
เย่ว์หยางลอบถอนหายใจ เขาเข้าใจว่าหมิงเย่ว์กวงกำลังเสนอความร่วมมือกับเขาให้ฆ่าสองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ที่เหลือ
“ยังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงหนึ่ง, เราจะหนีได้ทันเวลาไหม?”
เสวี่ยอู๋เสียขมวดคิ้ว
“ข้าพนันได้เลยว่าพวกเจ้าไม่สามารถเข้าไปในโถงวิหารที่สามได้ภายในชั่วโมงเดียว อย่าว่าแต่เข้าไปทำการบูรณะซ่อมแซมเลย เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ เรายอมเสียสละสหายไปมากมาย ถ้าพวกเจ้าไม่มายังที่นี่ เราก็ยังสามารถหลับต่อไปได้และไปจากวิหารเทพจักรอวี้ได้ในอีกร้อยปีข้างหน้าโดยไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือพวกเจ้ายังกล้าร่วมมือกับหมิงรี่ฮ่าวและปล่อยศัตรูน่ากลัวที่พวกเจ้าไม่มีทางคาดถึง ความจริงนั่นเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ หมิงเย่ว์กวงซึ่งปกปิดสถานะของตนเองไว้ นางไม่สามารถหลบหนีกลับแดนสวรรค์และถูกผนึกไว้ในดาบเทพจักรพรรดิอวี้ เจ้าพวกมนุษย์น่ารังเกียจ เจ้าทำลายแผนการที่เราวางเอาไว้เมื่อห้าพันปีที่แล้วอย่างราบคาบ ตอนนี้ข้าไม่อาจระงับความโกรธได้อีกต่อไปแล้ว ข้าต้องสั่งสอนพวกเจ้ากันเสียบ้าง.. เมื่อพวกเจ้าเกิดใหม่ชาติหน้า จำไว้ว่าอย่ากระตุ้นโทสะข้า!”
ในทางผ่านเข้าพื้นที่ผนึก มียักษ์ร่างโปร่งแสงและมีเสียงคล้ายเสียงคำรามของพายุและสายฟ้า ทันทีที่เขาอ้าปาก เขาก็พุ่งเข้าหาเย่ว์หยางและคนอื่นๆ ดุจพายุสลาตัน
“เทวทูตสายลมใช่ไหม?”
เย่ว์หยางอ้อมแอ้มถาม
“ข้าไม่ต้องการเสียเวลาคุยกับเจ้า ไปตายซะ เจ้ามนุษย์น่ารำคาญ!”
ยักษ์โปร่งแสงพุ่งเข้าใส่เหมือนพายุ ได้หายไปโดยไม่มีร่องรอย
ที่ด้านนอกเต่ามังกรชราถูกเป่ากระเด็นด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่และกระเด็นกลับเข้ามาในพื้นที่ผนึกเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่
เมื่อเย่ว์หยางตามเขาทัน ผู้เฒ่าเต่ามังกรที่มักดูสงบและใจเย็นแสดงให้เห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกแล้ว
เขาชี้นิ้วไปที่โถงวิหารด้านนอกทางผ่านผนึก ปากของเขาสั่นเล็กน้อยขณะกลืนน้ำลายและกล่าวว่า
“ทุกคนระวังให้ดี มีอสูรปีศาจอยู่ข้างนอก อสูรปีศาจจากแดนสวรรค์เหล่านี้เพิ่งตื่นขึ้นมา พวกมันกำลังหิวจัด พวกเจ้าต้องไม่ประมาทพวกมันเด็กขาด..”
เย่ว์หยางชักมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขา
“อสูรปีศาจ?”
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=367