ตอนที่ 342 หวงซาร่างที่ 2
วิหารเทพของจักรพรรดิอวี้ ท้องฟ้าเหนือวิหารที่สองมีเมฆหนาปกคลุม
พร้อมกับสายฟ้าแล่บแปลบปลาบเป็นแนวยาว พายุฝนก็ตกกระหน่ำทันที
ฝนนับล้านเม็ดตกลงมาราวกับลูกธนู ตอนแรกก่อรูปเป็นม่านน้ำจากนั้นก็กลายเป็นสายน้ำ และตกหนักขึ้นทุกที ในที่สุดก็กลายเป็นเหมือนน้ำตก ภายใต้พลังสังข์เรียกพายุ
เมฆดำครึ้มรวมตัวกันหนายิ่งขึ้นทุกขณะ ขณะที่เกิดพายุฝนตกลงบนวิหารที่สองซึ่งถูกทรายผนึกเอาไว้ ทรายแห้งกลายเป็นชื้นอมน้ำทันที เมื่อไม่สามารถดูดซับน้ำได้เร็วพอ ระดับน้ำภายในวิหารที่สองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ยักษ์น้ำสูงสิบเมตรผุดลุกขึ้นยืนจากกระแสน้ำท่วมและเริ่มพุ่งเข้าโจมตีกำแพงทรายที่ปกคลุมวิหารที่สอง มันพยายามทะลวงผ่านให้ได้
ตอนแรกมียักษ์น้ำเพียงสองตน แต่พายุฝนที่ตกต่อเนื่อง ทำให้จำนวนยักษ์น้ำเพิ่มขึ้นทีละตน ทีละตน
ภายใต้แรงกดดันของน้ำตกสายฝนจากด้านนอกและพลังโจมตีของยักษ์น้ำ ผนังทรายเริ่มยุบลงเป็นก้อนทรายอย่างรวดเร็ว
“นี่ .. นี่คือเงือกวายุหรือนี่?”
แน่นอนว่าหวงซารู้จักอสูรที่เป็นดาวข่มของเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคิดว่าในชีวิตของเขาจะโดนเงือกวายุเล่นงานอย่างน่าอนาถในพื้นที่สูงขนาดนี้
ถ้าหวงซาอยู่ที่พื้นผิวมหาสมุทร ไม่ได้อยู่ในท้องฟ้าสูง เขาคาดว่าถ้าไม่ตาย ก็คงบาดเจ็บหนักเป็นอย่างน้อย
แม้ว่าไม้ทะเลทรายอมตะของเขาจะดูดซับน้ำได้ แต่คงจะไร้ประโยชน์เมื่อพบมวลน้ำขนาดนั้น
หวงซาตกตะลึง เขารีบใช้พลังพายุทรายพิเศษปิดผนึกทางเข้าและทางออกวิหารที่สองไว้แน่นหนา บีบอัดเม็ดทรายนับล้านๆ เข้าด้วยกัน เขาสร้างหินทรายกันน้ำป้องกันไม่ให้น้ำเข้ามา
ด้วยพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 8 และทักษะพายุทรายที่ไม่ซ้ำกับใครของเขา บางทีเขาคงสามารถทนอยู่ภายใต้พลังโจมตีของยักษ์น้ำได้สักหนึ่งชั่วโมง ภายในหนึ่งชั่วโมง เขาอาจฆ่าเจ้านายของนางเงือกวายุผู้กำลังเป่าสังข์วายุของนางได้ ตราบใดที่ไม่มีน้ำเข้ามาข้างในวิหาร พลังของเขาจะไม่ลดลงมากนัก
แม้ว่าเขามีอนุภาคทรายนับล้านคอยขัดขวางการโจมตีของยักษ์น้ำก็ตาม ทว่าหวงซายังคงระมัดระวังและเรียกอสูรยักษ์มลพิษของเขาให้ลงมาจากวิหารที่สามเพื่อช่วยสูบน้ำ
นอกจากนี้เขายังเรียกอสูรหุ่นรังสีเข้ามาช่วยอีกด้วย งานของมันคือทำลายยักษ์น้ำ
สำหรับหนอนทรายปีศาจ น้ำคือจุดอ่อนของมัน ดังนั้นหวงซาจึงปล่อยมันไว้ข้างนอก เพื่อป้องกันการลอบทำร้ายจากศัตรู
บึ้ม!
อสูรยักษ์มลพิษปรากฏตัว
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ปรากฏตัวเพราะเจ้านายเรียก มันถูกโยนลงมาบนพื้นด้วยฝีมือของดอกหนามยักษ์ที่นางพญาดอกหนามมงกุฏทองเรียกออกมาสู้ มันถูกทุบเละเหมือนแตงโม กลิ่นเหม็นของมันคละคลุ้งไปทั่วพื้น เย่ว์หยางกลับคิดว่ากลายเป็นว่ามันไม่เหมือนสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวน้อยที่อุลตร้าแมนต่อสู้ด้วยแม้แต่น้อย
อย่างน้อยพวกมันดิ้นรนต่อสู้และปล่อยท่าไม้ตายสูงสุดของพวกมันก่อนตาย แต่ว่าต่อหน้านางพญาดอกหนามมงกุฎทอง อสูรหุ่นรังสีไม่มีโอกาสแม้แต่ร้องครางด้วยความเจ็บปวด
ต้นดอกหนามนับไม่ถ้วนชอนไชออกมาจากใต้ดิน กินศพของอสูรยักษ์มลพิษ
ต้นดอกหนามยักษ์ต้นหนึ่ง ฟาดใส่หัวใจของยักษ์มลพิษจนแหลกเป็นชิ้นและถูกต้นดอกหนามนับไม่ถ้วนกินลงไป ต้นดอกหนามพอได้กลืนกินเลือดเนื้อเหมือนกับที่งูเหลือมกินก็ยกระดับกันต่อเนื่อง
หวงซาตกตะลึง
ยักษ์มลพิษ อสูรแพลตตินัมระดับ 8 ของเขาถูกกินง่ายๆ ได้อย่างไร?
น่าเสียดายที่ อาการตกใจของเขายังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น หุ่นกัมมันตรังสีก็ยังถูกฟาดลงมาบนพื้นด้วย ชิ้นส่วนของมันกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นขณะที่กระแสไฟฟ้าสถิตย์ยังเปล่งประกายอยู่ตามชิ้นส่วนต่างๆ แม้ว่ามันจะเอาชนะศัตรูได้ช้า แต่อสูรทองน้อยก็กัดแทะปากของอสูรหุ่นกัมมันตรังสีเข้าไปจนถึงสมองของมันและกินแก่นพลังงานของมัน
นางพญาดอกหนามมงกุฏทองชี้นิ้วของนาง
ต้นดอกหนามนับไม่ถ้วนเจาะไชร่างหุ่นกัมมันตรังสีและรัดร่างของมันซึ่งสูญเสียการควบคุมไว้กับพื้น
ตอนแรก ต้นดอกหนามเหล่านั้นโอนเอนด้วยความเจ็บปวดเพราะผลข้างเคียงจากกัมมันตรังสี บางส่วนหดกลับลงไปในพื้นดินด้วยความเหนื่อยอ่อน บางส่วนก็เกือบจะตาย แต่ต้นดอกหนามที่เพิ่งกินยักษ์มลพิษเสร็จเข้ามาร่วมวงด้วยทันที ต้นดอกหนามไม่กี่ต้นนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสีเลยแม้แต่น้อย
หลังจากกินหัวใจของยักษ์มลพิษและยกระดับแล้ว ต้นดอกหนามเหล่านี้จับหุ่นกัมมันตรังสีตรึงไว้กับพื้นได้อย่างแน่นหนา และพวกมันจับหุ่นนั้นยกขึ้น ถ้านางพญาดอกหนามมงกุฏทองมิได้ขวางไว้ ต้นดอกหนาม คงจะฉีกรื้อร่างของหุ่นกัมมันตรังสีและฟาดกับพื้นให้แหลกเป็นชิ้นไปแล้ว
“พวกเจ้าโง่จริงๆ พวกเจ้าต้องเก็บร่างของอสูรหุ่นกัมมันตรังสีไว้ให้เหมือนเดิม ข้าไม่อนุญาตให้ทำลายหรือแยกชิ้นส่วน”
นางพญาดอกหนามมงกุฎทองไม่ค่อยพอใจกับบริวารของนางที่ไม่มีปัญญาและมีแต่พลังป่าเถื่อน
“.....”
หนอนทรายปีศาจก็มีสติปัญญาอยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อมันเห็นภาพต่อหน้าต่อตามัน ทำให้มันกลัวแทบตาย
ภูตควันไฟพุ่งเข้าหาหนอนทรายปีศาจที่กำลังตกตะลึงโดยไม่รู้จะทำอย่างไร
นางหงุดหงิดตัวเองจริงๆ เพราะนางยังไม่สามารถเอาชนะศัตรูชั้นแพลตตินัมระดับ 10 ได้ ด้วยพลังของนางในปัจจุบัน
ยิ่งกว่านั้น ศัตรูเจ้าเล่ห์นี้สามารถชอนไชลงในดิน ทำให้นางไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงได้เต็มที่ ทันใดนั้น มีความคิดแว่บเข้ามาในใจของภูตควันไฟ ความจริงเย่ว์หยางเล็งเห็นจุดอ่อนนี้ของนางกระมัง?
ภูตควันไฟยังไม่มีระดับปัญญาคิดได้ลึกเพียงพอ อย่างไรก็ตาม เมื่อนางพยายามคิด นางก็จะเพิ่มระดับปัญญาของนางได้ทีละน้อยๆ
ยิ่งนางคิดได้มาก ภูตควันไฟก็จะกลายเป็นอสูรที่ฉลาดมากขึ้น ขณะที่ระดับสติปัญญาของนางเพิ่มขึ้น นางก็จะเข้าใกล้ความเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ทุกทีเช่นกัน
กระบวนการเรียนรู้นี้เป็นสิ่งที่รูปแบบสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีความฉลาด จะไม่มีทางทำได้ในชีวิตของพวกมัน
หวงซาตระหนักว่าอสูรยักษ์มลพิษของเขาและหุ่นกัมมันตรังสีของเขาตายไปทั้งสองตัวแล้ว ยิ่งกว่านั้น หนอนทรายปีศาจของเขาที่ถูกบังคับให้ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้น หวาดกลัวต่อการออกมาสู้ คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะขอให้มันออกมาช่วยเขา
“ดีมาก ทำได้ดีมาก เจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ต้อนข้าจนอยู่ในสถานการณ์น่าอนาถเช่นนี้...”
หวงซาโกรธ ความรู้สึกของการถูกศัตรูของเขาโกงผุดขึ้นมาในใจเขา
“เจ้าสมควรจะโดนเช่นนั้น!”
เย่ว์หยางทำท่าเหมือนกับว่า ‘เห็นได้ชัดว่าข้าเอาชนะเจ้าได้ คงเป็นเรื่องผิดปกติถ้าข้าแพ้เจ้า’
ที่ข้างนอก ตาพายุฝนที่ด้านหลังยักษ์น้ำ มีปีศาจอสรพิษน้ำแข็งปรากฏตัวขึ้น
นางใช้ดาบโค้งของนางแทงใส่หินทรายอย่างดุร้าย หินทรายที่โดนน้ำฝนเปียกโชกจากภายนอก กลายเป็นน้ำแข็งทันที และน้ำแข็งนั้นแผ่กระจายไปทั่วหินทรายอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด ก็เปลี่ยนเป็นกำแพงน้ำแข็งที่หนา ในด้านตรงกันข้าม เสวี่ยอู๋เสียกำลังทำอย่างเดียวกัน
ตอนแรกหวงซาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ขณะที่กำแพงน้ำแข็งก่อตัว ในที่สุด เขาก็ตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาถูกศัตรูของเขาผนึกไว้ในวิหารที่สอง มีน้ำอยู่ในภายนอกทุกที่ กำแพงน้ำแข็งและหินทรายคั่นกลาง และที่อยู่ในพุงของเขา มีนางเงือกตนหนึ่งสามารถเรียกพายุฝนและเด็กมนุษย์ทรงพลังน่ากลัวมากบงการอยู่เบื้องหลังแผนนี้
หวงซาไม่มีโอกาสที่จะระเบิดความโกรธก่อนที่เขาจะตระหนักได้ว่ามีหญิงสาวอีกคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่หน้าเย่ว์หยาง
ทันใดนั้นหญิงสาวมนุษย์ผู้ดูอ่อนโยนเหมือนสายน้ำได้เรียกอสูรที่หวงซาเกลียดที่สุดในชีวิตของเขา มันมีลักษณะที่น่ากลัวพอๆ กับยักษ์น้ำ คลื่นวารีพิโรธ
เมื่อคลื่นวารีพิโรธปรากฏ มันจะปล่อยน้ำออกมาเป็นปริมาณมากจนท่วมโถงวิหารที่สองได้ทั้งหมด
ในเวลาเพียงสามสิบวินาที โถงวิหารที่สองก็จมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด
คลื่นน้ำโผล่ออกมาจากพายุคลื่นกระจายออกไปโดยรอบ และกระแทกใส่ผนังทรายรอบๆ เสาทรายและหลาวทรายที่หวงซาสร้างไว้ถูกทำลายทันที และหลุดพ้นจากการควบคุมของหวงซาจมอยู่ใต้น้ำทันที น้ำเพิ่มระดับสูงขึ้น
หวงซาพยายามอย่างหนักเพื่อบีบอัดทรายของเขาสร้างผนังทรายกันส่วนภายนอกจนแข็งพอๆ กับเหล็ก
ถ้าพายุฝนที่เงือกวายุเรียก หรือกำแพงน้ำแข็งที่ปีศาจอสรพิษน้ำแข็งสร้าง บวกกับน้ำของคลื่นวารีพิโรธ เขาคงจบสิ้นแน่ โชคดีที่ อสูรน้ำที่ถูกควบคุมอยู่นี้ยังไม่แข็งแกร่งนัก มิฉะนั้นเขาคงพบจุดจบอย่างน่าอนาถ หวงซาทั้งตกใจระคนเดือดดาล ไม่เคยมีนักรบมนุษย์คนใดสามารถบีบบังคับเขาให้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ทั้งยังไม่เคยมีสัตว์อสูรใดๆ ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกความตายคุกคามมาก่อนเช่นกัน
แม้แต่จักรพรรดิอวี้เมื่อครั้งกระโน้น ก็ยังไม่ทำให้เขารู้สึกอเน็จอนาถเช่นนี้
หวงซากลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมและปรากฏกายต่อหน้าเย่ว์หยางคำรามและพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“เจ้านึกหรือว่าทำแบบนี้แล้วจะสามารถฆ่าข้าได้? ข้าขอบอกเลยว่าเจ้าผิดแล้ว ข้า หวงซา, ไม่มีทางตายเพราะน้ำ!”
เย่ว์หยางไม่ตอบ เขาเพียงแต่นิ่งเงียบมองดูหวงซา
ระดับน้ำในโถงวิหารที่สองยังคงสูงต่อเนื่อง
คลื่นวารีพิโรธยังคงผลิตน้ำและสร้างคลื่นใหญ่กระแทกใส่ผนังทรายที่ขวางทางเข้าออกโถงวิหารที่สองไว้ จนอาคารสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง
“เจ้าไม่รู้แม้แต่ความลับของนักรบแดนสวรรค์เลย พวกเราแตกต่างจากมนุษย์สิ้นเชิง เราครอบครองรูปแบบชีวิตที่แตกต่างสองหรือสามชนิด แม้ว่าข้าจะยอมเสียรูปแบบชีวิตพายุทรายอันเป็นอมตะ ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าได้ง่ายด้วยรูปแบบชีวิตที่สอง ทั้งนี้เพราะข้าคือนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 8 ขณะที่เจ้าเป็นแค่เพียงนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 1 คิดจะฆ่าข้าด้วยระดับที่แตกต่างเช่นนั้นหรือ? คิดจะใช้เพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลกในวิหารที่มีน้ำท่วมนี้หรือ? บอกเจ้าเลยก็ได้ เจ้ายังเด็กและอ่อนประสบการณ์สำหรับเรื่องนั้นมากนัก”
มวลทรายบนร่างของหวงซาร่วงลงไปบนผิวน้ำ
ร่างของเขาซึ่งลอยอยู่ในอากาศค่อยๆ เลือนหายไป
สิบวินาทีต่อมาร่างของเขาเปลี่ยนเป็นวัตถุแข็ง กลายเป็นสัตว์ประหลาดนักล่าที่น่าเกลียด
หวงซาแสดงร่างรูปลักษณ์ที่สองของเขา มีแขนสี่ข้างและมีหางทรงกรวยยาว
นี่เป็นร่างเลือดเนื้อ มิได้ทำจากทราย
หวงซาลงมาบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำและยืนด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่เขาจมลงในน้ำที่เขาเพิ่งกลัวมากมาก่อนนั้น เขายั่วเย่ว์หยางโดยทำเย่อหยิ่งทำท่ามือกับเย่ว์หยาง เหมือนจะบอกว่าการต่อสู้ที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่ม
เย่ว์หยางยิ้มเล็กน้อย
ดาบสายลมที่ฟันออกมาจากดาบฮุยจินของเย่ว์หยางพุ่งผ่านระยะไกลเป็นร้อยเมตรกรีดผ่านร่างของหวงซา
หวงซาไม่ได้ป้องกันตนเองเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เขาปล่อยอกถูกมีดสายลมฟันเป็นแผล อย่างไรก็ตาม ไม่มีเลือดไหลสักหยด ตรงกันข้าม ตรงตำแหน่งแผลมีหนอนนับไม่ถ้วนเริ่มคลานยั้วเยียะออกมาจากผิวเนื้อที่เปิดออกของหวงซา มันรักษาเยียวยาบาดแผลจนหายดี ภายในห้าวินาที บาดแผลขนาดใหญ่ก็ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติ
“ร่างที่สองของข้าก็ยังไม่ถูกทำลายโดยการโจมตีทางกายภาพได้ ยิ่งกว่านั้น ยังทนน้ำได้อีกด้วย”
ใบหน้าที่น่าเกลียดของหวงซายิ้มด้วยความพอใจ
“เจ้ายังคงมีร่างที่สามอีกไหม?”
จู่ๆ เย่ว์หยางก็ถามขึ้น
“ว่าไงนะ?”
ตายของหวงซาแสดงสีหน้าประหลาดใจ
เจ้าเด็กนี่หมายความว่าอย่างไร?
เป็นไปได้ไหมว่าเขาเชื่อจริงๆว่านักสู้แดนสวรรค์จะมีร่างที่ต่างกันถึงสองร่างทุกคน?
ไม่ได้แม้แต่จะคิดถึงร่างที่สาม
เขาได้มาเพียงร่างที่สองหลังจากบำเพ็ญเพียรถึงห้าพันปี นอกจากนี้เขาเรียนรู้ได้ก็เพราะได้รับคำแนะนำจากเทวทูตสายลมและเทวทูตสายฟ้า เจ้าเด็กนี่คิดว่าการเปลี่ยนรูปร่างจะทำได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เชี่ยวชาญได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
เย่ว์หยางยักไหล่ “ถ้าท่านไม่มี ก็คงได้เวลาส่งท่านเดินทางเสียแล้ว”
หวงซาโกรธแทบคลั่ง
ด้วยพลังระดับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 8 พลังของเขาและพลังหมัดที่มากกว่าเดิมสิบเท่าก็พุ่งเข้าใส่ศีรษะเย่ว์หยาง แม้จะมีโล่คัมภีร์ป้องกันไว้ แต่หวงซาเชื่อว่าศัตรูจะไม่สามารถต้านทานพลังหมัดของเขาได้ ศัตรูของเขาจะต้องพบกับความตายแน่นอน
นักรบปราณก่อกำเนิดระดับ 1 กล้าดีอย่างไรที่ประเมินความสามารถของตัวเขาและเลือกสู้กับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 8
โล่เพลิงอมฤตปรากฏอยู่ในมือเย่ว์หยางเอาไว้ป้องกันอยู่หน้าโล่คัมภีร์
เย่ว์หยางไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย เขาถือโล่เพลิงอมฤตไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่มืออีกข้างได้รวบรวมระเบิดดวงดาวเตรียมใช้โจมตี
แม้ไวกว่าเย่ว์หยาง แต่เสี่ยวเหวินหลีปรากฏตวอยู่ข้างหลังของเขา เปิดนัยน์ตากว้าง
โซ่ล่องหนทำงานทันที
หวงซาถูกพันธนาการไว้ครึ่งวินาที อย่างไรก็ตาม หมัดของเขายังพุ่งไปข้างหน้าทะลุผ่านโล่เพลิงอมฤตโดยไม่หยุดยั้ง ก่อนที่เพลิงอมฤตจะเผาแขนของเขาได้ พลังที่น่ากลัวของเขาทำลายโล่ปกป้องของคัมภีร์ขณะที่หมัดของเขาพุ่งใส่ศีรษะของเย่ว์หยาง นี่คือพลังโจมตีของนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 8
“หายไปซะ!”
เย่ว์หยางปล่อยระเบิดดวงดาวในหมัดของเขาและเพิ่มพลังที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิมร้อยเท่าของเงาปีศาจยักษ์ จากนั้นใช้หมัดกระแทกปะทะกับหมัดของหวงซา
เย่ว์หยางวางเดิมพันทุกอย่างไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกระโดดออกมาในท้องฟ้า
พยัคฆ์ขาวและปราณกระบี่จักรพรรดิของนางรวมกันฟันใส่ศีรษะของหวงซาด้วยพลังรุนแรง
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=362