ตอนที่ 341 สังข์วายุ
“แม้ว่าเจ้ามีพลังมากจะเป็นเรื่องดีก็ตาม แต่มีพลังมากก็ไม่ได้หมายความจะได้เป็นจ้าวนะ!”
ร่างของเย่ว์หยางเบาเหมือนสายลม ไม่ว่าหวงซาจะจู่โจมใส่อย่างไร เขาก็สามารถหลบได้ง่ายดาย ยิ่งกว่านั้นเย่ว์หยางยังได้เปรียบทุกครั้งที่หลบการโจมตีของหวงซาได้ เพื่อความได้เปรียบหวงซาในในการโจมตีครั้งต่อไป
“สว่านทราย!”
หวงซากระทืบทั้งสองลงบนพื้น
ทรายจำนวนมากผุดออกมาจากพื้น ก่อตัวเป็นกองทรายหลายกองหลายขนาด
เมื่อเย่ว์หยางสืบเท้าไปข้างหน้า กองทรายจะยิ่งสว่านทรายที่แหลมคมขนาดต่างๆ คล้ายกับหนามไม้ของเย่ว์ปิง แต่ใหญ่กว่ายาวกว่าและมีจำนวนมากกว่า
เมื่อเย่ว์หยางเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลงไปอยู่บนพื้น เขาจึงตัดสินใจบินแทน หลังจากบรรลุปราณก่อกำเนิด แม้ว่านักสู้จะยังไม่สามารถบินอยู่ในท้องฟ้าได้นานเหมือนมนุษย์วิหค แต่เขาก็สามารถบินได้ในช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับเย่ว์หยางเป็นมนุษย์ผิดปกติจากโลกอื่น สามารถบินไปกินไปได้อย่างง่ายดาย
หวงซาโกรธ เขาควงพลองไม้ทะเลทรายอมตะในมือ
แส้ทรายยาวพุ่งเข้าใส่เย่ว์หยางอย่างดุเดือดภายใต้การควบคุมของเขา และหวดเข้าที่ร่างของเย่ว์หยาง
แรงกระโชกของลมทำให้แส้ทรายวนเวียนอยู่โดยรอบๆ มีแม้กระทั่งใบมีดทรายคมกริบพุ่งเข้าใส่เย่ว์หยางไม่ขาดสาย
“ยังใช้ไม่ได้..”
เย่ว์หยางตัดสินใจไม่หลบอีกต่อไปและเรียกคัมภีร์ออกมา เขาต้องการเรียกคัมภีร์ออกมาเพื่อที่ว่าคัมภีร์จะได้รับค่าประสบการณ์และยกระดับได้ คัมภีร์นี้ยังคงเป็นคัมภีร์ระดับทอง เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาจะยังไม่สามารถทำให้มันยกระดับเป็นแพลตตินัมได้หลังจากเอาชนะในวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ จะได้ไม่สูญเสียค่าประสบการณ์ ในขณะที่ศัตรูแข็งแกร่งยังไม่ปรากฏ
“เราจะประลองกันด้วยสัตว์อสูรใช่ไหม?”
หวงซาเริ่มอัญเชิญอสูรเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจก็คือ หวงซาไม่มีคัมภีร์อัญเชิญ
หวงซาผู้บรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดระดับ 8 ครอบครองสนามพลังที่ทรงอานุภาพและมีร่างกายอมตะ แต่กลับไม่ได้เป็นเจ้าของคัมภีร์อัญเชิญ ถ้าเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น บางทีคงไม่มีคนเชื่อเขาเป็นแน่ แต่นี่คือความจริง.... หวงซาไม่มีคัมภีร์อัญเชิญ ไม่มีกระทั่งอสูรพิทักษ์ และสามารถอัญเชิญอสูรได้เพียงสามตน อย่างไรก็ตาม อสูรทั้งสามที่อยู่ในความครอบครองของเขานี้ล้วนแข็งแกร่งทั้งสิ้น เขามียักษ์มลพิษ อสูรแพลตตินัมระดับ 8 อสูรกลรังสี แพลตตินัมระดับ 8 และหนอนทรายปีศาจ อสูรแพลตตินัมระดับ 10
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามตัวนี้ไม่อสูรศักดิ์สิทธิ์
พวกมันแค่เป็นอสูรที่มีระดับสูงเท่านั้น พวกมันทรงพลัง แต่ระดับปัญญาของพวกมันถูกจำกัดว่าใช้ในการต่อสู้เท่านั้น
นี่เป็นครั้งที่สองที่เย่ว์หยางรู้สึกสับสน หวงซาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 8 แต่กลับไม่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ไว้ช่วยงาน เขาบรรลุขอบเขตระดับสูงขนาดนั้นได้อย่างไร? ถ้าเขาเป็นนักรบชาวมนุษย์ เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย! อาจเป็นได้ว่ามีวิธีลับบางอย่างในแดนสวรรค์ที่ทำให้นักรบบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดได้โดยมิได้ทำสัญญากับคัมภีร์หรือเปล่า? หรือบางที ผู้คนในแดนสวรรค์จะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดกันทั้งหมด?
สาวกิเลนก็เคยบอกไว้ว่าจ้าวปีศาจตนหนึ่งแข็งแกร่งพอๆ กับนักผจญภัยธรรมดาในแดนสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางเชื่อว่านั่นเป็นการประเมินที่ผิดพลาดของกิเลนสาวเท่านั้น
นักผจญภัยที่นางสังเกตเจอต้องไม่ใช่นักผจญภัยธรรมดา ยิ่งกว่านั้น ยังมีนักผจญภัยที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ บรรดานักรบชาวมนุษย์ พวกที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้เป็นหัวหน้านักผจญภัย ซึ่งปกติจะเป็นนักสู้ระดับ 6 พวกเขามักจะมีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่หนึ่งและกลายเป็นเจ้าเมืองนักผจญภัยเป็นผู้นำของผู้คนนับพันภายใต้การดูแลของเขา
แน่นอนว่าระดับค่าเฉลี่ยของนักผจญภัยชาวมนุษย์โดยทั่วไปจะเป็นนักสู้ระดับ 2 มีไม่กี่คนที่เป็นนักสู้ระดับ 3 ส่วนนักสู้นักผจญภัยระดับ 4, 5, 6 หาพบได้ยากมาก
ที่สำคัญที่สุด พวกที่มีพลังมากเพียงพอจะได้รับคัดเลือกให้บริหารเมืองแทนพวกเขา
บางทีอาจมียอดฝีมือแข็งแกร่งนับไม่ถ้วนอยู่ในแดนสวรรค์ก็เป็นได้ แต่พอมองดูความแข็งแกร่งของหมิงรี่ฮ่าวและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองแล้ว เย่ว์หยางคาดว่าสถานการณ์ในแดนสวรรค์ อาจจะไม่ไร้สาระเหมือนดังที่สาวกิเลนพูด แต่เขาอาจจะลองเดินทางไปแดนสวรรค์เพื่อดูสถานการณ์ด้วยตนเองก่อน
สัตว์อสูรของหวงซาที่อยู่ต่อหน้าเย่ว์หยางเป็นถึงอสูรแพลตตินัมระดับ 8 และกระทั่งอสูรแพลตตินัมระดับ 10 ไม่ได้คุกคามเย่ว์หยางเลยแม้แต่น้อย เขายังคิดว่าพวกมันอ่อนแอ
ก่อนนั้น เมื่อเขาสู้กับว่านฉีซิ่วหลิง เขาครอบครองจ้าวอสูรทองระดับ 9 จ้าวอัคนีทั้งที่ตัวเขาก็เป็นเพียงนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5
ขณะที่ซุ่นเทียน จักรพรรดิแห่งจื่อเว่ย ก็ยังน่ากลัวมากกว่า เพราะมีอสูรพิทักษ์เป็นจักรพรรดิทอง ชั้นเพชรระดับ 9 เป็นความจริงที่ว่าหวงซา นักรบแดนสวรรค์ผู้นี้เป็นเจ้าของอสูรแพลตตินัมถึงสามตัวไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแม้แต่น้อย เย่ว์หยางถึงกับผิดหวังอยู่บ้าง ดูเหมือนพอไม่มีคัมภีร์อัญเชิญ นักรบแดนสวรรค์ก็มีเพียงสัตว์อสูรระดับนี้เป็นอย่างมาก
เทียบกับจักรพรรดิทอง อสูรเพชรระดับ 9 แล้ว เย่ว์หยางไม่เห็นเจ้ายักษ์มลพิษ อสูรแพลตตินัมระดับ 8 อยู่ในสายตาเลย
เปรียบไปแล้วอสูรยักษ์มลพิษมองดูเหมือนสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวน้อยที่ยอดมนุษย์อุลตร้าแมนต่อสู้ด้วย ตัวมันมีขนาดสูงมากกว่าห้าสิบเมตร ร่างสีเขียวของมันใหญ่โตมาก และบนหัวของมัน มีจมูกเหมือนท่อยาวน่าเกลียดยื่นออกมา และปล่อยลมหายใจพร้อมของเหลวมีกลิ่นเหม็นเป็นระยะๆ
เย่ว์หยางได้แต่ชำเลืองดู ต่อจากนั้นก็ไม่ให้ความสนใจอีกเลย
เขาเข้าใจเหตุผลที่หวงซาต้องทำสัญญาและเรียกอสรูรมลพิษที่ไร้ประโยชน์และน่าเกลียดอย่างนั้นออกมา อสูรตัวนี้มีความสามารถในการช่วยดูดน้ำ อสูรยักษ์มลพิษไร้ประโยชน์สำหรับคนอื่น เพราะมันเชื่องช้า ปัญญาต่ำและการโจมตีของมันสามารถใช้ได้ครั้งเดียว จึงไม่ค่อยสะดวกจริงๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับหวงซา แตกต่างออกไป การครอบครองอสูรที่เหมือนกับเป็นเครื่องสูบน้ำ สำหรับหวงซาผู้มีจุดอ่อนเรื่องน้ำ อสูรยักษ์มลพิษเป็นอสูรชั้นยอดที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้
จากมุมมองของเย่ว์หยาง บรรดาอสูรทั้งสามตนนี้ ตัวที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่หนอนปีศาจดำทราย อสูรแพลตตินัมระดับ 10 แต่เป็นอสูรกลรังสีมากกว่า
อสูรหุ่นกลรังสีไม่ใช่อสูรหุ่นเหมือนที่เย่ว์กงสร้างได้ตามปกติ แต่อสูรหุ่นรังสีนี้มีชีวิต
พูดอย่างเจาะจงก็คือ เจ้านี่เป็นเช่นเดียวกับอ็อพติมัส ไพรม์และเมกาทรอนจากภาพยนตร์เรื่องดังนั่นเอง พวกมันเป็นหุ่นยนต์มีชีวิตรูปแบบหนึ่ง พอเห็นหุ่นยนต์ที่มีชีวิตนั้นแล้ว ทันใดนั้นเย่ว์หยางคิดว่า ความปรารถนาของเย่ว์กงที่จะให้ชีวิต, สติปัญญา, ความรู้สึก, วิญญาณและบุคลิกนั้น ตัวเขาสามารถเข้าใจได้แล้ว
แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นโลหะข้างหน้าของเย่ว์หยางตอนนี้ หุ่นยนต์รังสี ไม่ได้มีปัญญาระดับสูง มันไม่ได้แตกต่างจากสัตว์เท่าใดนัก มันอาจมีปัญญาต่ำกว่าสัตว์ก็ได้
อาจจะเปลี่ยนรูปร่างของมันเองได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นรถ และไม่สามารถพูดได้
ภายใต้คำสั่งของหวงซา มันเปลี่ยนเป็นหุ่นสิงโตทะเลสาบขนาดยักษ์ ที่ดูน่าเกลียดมาก มันสร้างฟันและกรงเล็บที่แหลมคมได้ พอเห็นเช่นนี้ เย่ว์หยางสั่นสะท้านเล็กน้อย อสูรทองน้อยซึ่งอยู่ที่ข้อมือของเขา อสูรทองที่คนอื่นเรียกกันว่าอสูรทงเทียน จะนับได้ว่าเป็นหุ่นมีชีวิตได้หรือไม่?
เขาไม่สามารถหยั่งถึงข้อมูลใดๆ ของเจ้านี่ในตอนนี้เลย แต่เย่ว์หยางเชื่อว่าตราบใดที่เขายังคงฝึกฝนพยายามอย่างหนักต่อไป เขาจะสามารถทำให้เย่ว์กงสมหวังดังปณิธานได้
“เด็กน้อย! ตอนนี้เจ้ากลัวเสียแล้วหรือ?”
พอเห็นว่าเย่ว์หยางยังคงยืนเงียบอยู่ หวงซาอดคิดไม่ได้ว่าอสูรของเขาขู่ขวัญศัตรูโง่ๆ ของเขาได้
“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!”
หุ่นยนต์รังสีที่เปลี่ยนรูปเป็นสิงโตค่อยๆ ก้าวเข้าหาเย่ว์หยาง
ขณะที่มันเดินบนพื้น แอ่งน้ำเล็กๆ ที่อยู่ข้างใต้ตัวมันก็เปลี่ยนเป็นสีดำทันทีผสมกับแสงรังสีที่มันปล่อยออกมา หนอนทรายปีศาจก็ยังหลบหลีกหุ่นอสูรรังสีไปอยู่ห่างไกลและหลบไปอยู่ใต้ดิน อย่างไรก็ตามปีศาจยักษ์มลพิษไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว มันกลับดูดน้ำที่อสูรหุ่นรังสีทำปนเปื้อนด้วยจมูกที่เหมือนท่อของมัน
เหมือนกับว่ามันได้พบสมบัติ และมันจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อสูบน้ำปนเปื้อนเข้าไปในตัว เมื่ออสูรหุ่นรังสีเข้ามาใกล้เย่ว์หยาง เขารู้สึกถึงการเผาไหม้บางอย่างบนผิวของเขา กลับกลายเป็นว่าพลังรังสีที่แข็งแกร่งทะลวงผ่านปราณปกป้องร่างของเย่ว์หยางและทำให้ผิวของเขาเสียหายได้
โชคดีที่เย่ว์หยางมีวิธีตอบโต้ต้านรับรังสีชนิดนี้แล้ว มิฉะนั้นเขาคงมีเรื่องปวดหัวแน่นอน
เกราะแก้วเริ่มปรากฏอยู่บนแขนเย่ว์หยางและปกป้องครอบคลุมร่างทั้งร่างไว้ นี่เป็นความสามารถพิเศษของหญิงงามอู๋เหิน หลังจากได้รับคำแนะนำของภรรยาของเขาและฝึกผสานร่าง เย่ว์หยางได้เรียนทักษะนี้ไว้ด้วยเช่นกัน
อสูรทองน้อยบนข้อมือของเขาแยกตัวออกมาจากเย่ว์หยางและเปลี่ยนกลับคืนร่างปกติ เป็นอสูรน้อยรูปมังกรมีปีก
แม้ว่าร่างของมันจะเล็ก แต่ความกล้าของมันมากมายมหาศาล ทันใดนั้นมันพุ่งเข้าหาอสูรหุ่นรังสีขนาดยักษ์ที่แสดงฟันและกรงเล็บอันคมกริบของมัน
ไม่จำเป็นต้องพูด เจ้าสหายน้อยจอมตะกละนี้ต้องการแก่นพลังของอสูรหุ่นรังสี
เมื่อเย่ว์หยางอย่างนั้น เขารีบโบกมือ
“ก็ได้ ก็ได้, มันเป็นของเจ้า แต่อย่าเพิ่งทำลายมันมากนัก ข้าต้องการเก็บร่างมันไว้ค้นคว้าต่อ”
เมื่ออสูรทองน้อยได้ยินเช่นนี้ มันรีบบินตรงเข้าหาอสูรหุ่นรังสีทันที ไม่ว่ามันจะมีขนาด, พลัง, ความสามารถเรื่องรังสีขนาดไหนก็ตามก็เท่านั้น สำหรับอสูรทองน้อยแล้ว ไม่ใช่เรื่องสำคัญแม้แต่น้อย นอกจากเย่ว์หยางเจ้านายของมันแล้ว มันไม่กลัวอะไรอื่นทั้งนั้น อสูรทองน้อยไม่เคยเกี่ยงว่าจะเป็นผลึกพลังงานชนิดไหน
ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเครื่องจักร ตราบใดที่มีผลึกเวทหรือแก่นพลัง มันชอบใจทั้งนั้น อย่าว่าแต่เป็นอสูรหุ่นรังสี ชั้นแพลตตินัมระดับ 8 มันยังต้องการกินจักรพรรดิทอง อสูรเพชรระดับ 9 ด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่มันยังแข็งแกร่งไม่พอจะกินอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ในเวลานั้นได้
“มันตัวตลกอะไรกัน!”
หวงซาไม่รู้จักอสูรทองน้อยหรืออสูรทงเทียน เขาคิดว่าเจ้าตัวเล็กเป็นแค่อสูรขยะ
“เอ๋?”
เย่ว์หยางงุนงง เป็นไปได้ไหมว่าในแดนสวรรค์ไม่มีอสูรทงเทียน?
อสูรทองตัวน้อยนี้คงอยู่เฉพาะที่หอทงเทียนระดับต่ำอย่างนั้นหรือ?
หรือบางที มันเป็นอาจเป็นอสูรที่ไม่มีใครเหมือน?
อสูรหุ่นรังสีตะกุยกรงเล็บใส่อสูรทองน้อย มันหลบหลีกได้อย่างง่ายดายขณะที่บินตรงเข้ามาอย่างไม่ยอมหยุด อสูรหุ่นรังสีอ้าปากของมันและกินอสูรทองน้อยทั้งตัวทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หวงซาหัวเราะลั่นอย่างมั่นใจ เขารู้สึกว่าแข่งกันในเรื่องของสัตว์อสูรแล้ว นักรบมนุษย์นี้ไม่มีทางเทียบกับเขาได้แม้แต่น้อย เขาทำตัวเหมือนกับเด็กที่สู้กับผู้ใหญ่ พวกเขามีระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“มีเวลาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว มาดูกันซิว่าข้าจะสามารถจบการต่อสู้นี้ได้เร็วหรือไม่”
เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาวิเคราะห์ศัตรูของเขาเพียงพอแล้ว และจะเริ่มต่อสู้อย่างจริงจังเสียที อสูรตัวที่สองซึ่งเขาเรียกออกมาก็คือภูตควันไฟ ตอนนี้ภูตควันไฟเป็นอสูรทองระดับ 5 อย่างไรก็ตาม นางได้กินแก่นของเจ้าพายุมาแล้ว และใกล้จะวิวัฒนาการอีกครั้ง เพลิงบนตัวนางลุกโหมหนาแน่นและรุนแรง เกี่ยวกับคำสั่งของเย่ว์หยาง
นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางยังไม่ฉลาดพอๆ กับนางพญากระหายเลือด ยังไม่เชื่อฟังขนาดโคเงาที่ยอมทำตามคำสั่งของเย่ว์หยางโดยไม่มีคำถาม นางมองดูยักษ์มลพิษอย่างลังเลเล็กน้อยและหันไปจ้องหนอนทรายปีศาจ
“เจ้าก็ยังไม่สามารถควบคุมอสูรของตัวได้, ฮ่าฮ่าฮ่า, เจ้าหนอนที่น่าสมเพช นอกจากหน้าตาดีพอใช้ได้ เจ้ายังมีดีอะไรอื่นอีก?”
พอถึงจุดนี้ หวงซาแน่ใจแล้วว่าเด็กมนุษย์ที่อยู่ต่อหน้าเขาอาศัยสตรีที่แข็งแกร่งนางนั้นเพื่อบรรลุขอบเขตแดนปราณก่อกำเนิดแน่นอน ถ้าเขาไม่มีเพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลก เขาก็ไม่มีอะไรต่างจากขยะ
หวงซาผู้แต่เดิมทีระมัดระวังเย่ว์หยางมาตลอดค่อยรู้สึกผ่อนคลายเมื่อเขาเห็นเหตุทั้งหมดนี้
ฝีมือต่อสู้ของเจ้าเด็กนี่ทรงพลังอย่างมาก แต่สัตว์อสูรของเขาก็คือขยะดีๆ นี่เอง
ได้ครอบครองร่างอมตะ ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องกังวลกับการโจมตีทางกายภาพ นอกจากต้องระวังเพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลก เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเด็กมนุษย์ผู้นี้เลย เพราะเขาไม่มีอะไร หวงซาคิดว่าเขาควรจะใช้สุดยอดไม้ตายฆ่าเจ้าเด็กนี่ทันที
เย่ว์หยางไม่กวนใจอสูรควันไฟ เขาเรียกนางพญาดอกหนามมงกุฎทองออกมาแทนและสั่งนางให้สู้กับอสูรยักษ์มลพิษ
เหมือนกับเป็นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวน้อยซึ่งเป็นศัตรูของยอดมนุษย์อุลตร้าแมน มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก และเหมาะกับนางมาก
“ตายซะเถอะ!”
หวงซาไม่รู้จักนางพญาดอกหนามมงกุฎทอง เขาไม่แม้แต่จะคิดว่าอสูรนี้จะสามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้ เขากระโดดขึ้นสูงหลายเมตร ขาทั้งสองค่อยๆ หายไปและเปลี่ยนเป็นพายุทรายยักษ์ที่หมุนอย่างรวดเร็ว ทำให้ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยทราย หัวมนุษย์ยักษ์อ้าปากขนาดยักษ์ของเขาและกลืนกินเย่ว์หยางทั้งตัว
นี่คือสนามพลังของเขา “พายุทราย”
ช่วงที่ศัตรูของเขาถูกกลืนลงไปในตาพายุทรายของเขา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบชีวิตประเภทใดก็ตาม พวกมันจะตายจากการขาดน้ำและสลายเป็นทรายในที่สุด กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา
เย่ว์หยางเทเลพอร์ตออกไปห่างประมาณร้อยเมตรทันทีจากตำแหน่งที่ยืนอยู่เดิม
หวงซาใช้พายุทรายของเขาไล่ตามอีกครั้ง
ร่างของเย่ว์หยางร่วงลงมาในแนวดิ่ง เหมือนกับท่ากระโดดน้ำลงมาบนพื้นที่ลอยสูงอยู่ในท้องฟ้า เขาเหาะลงไปที่วิหารที่สองอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว
“คิดจะช่วยใครอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!”
หัวยักษ์ของหวงซาลอยอยู่บนพายุทรายเปล่งเสียงดังราวกับฟ้าร้องขณะไล่ตามเย่ว์หยาง และบินลงด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเขา
ถ้าวัดกันที่ความเร็วของพวกเขา บางทีหวงซาอาจไปถึงวิหารที่สองได้ก่อนเย่ว์หยางและกลืนกินเขาได้ทั้งตัว อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางมีทักษะเทเลพอร์ต หลังจากแอบเรียนวิธีเทเลพอร์ตมาจากสื่อจินโหว ไม่มีศัตรูคนใดไล่ทันเย่ว์หยางมาก่อน เทียบกับซุ่นเทียน, บารุธ, หมิงรี่ฮ่าวและยอดฝีมือคนอื่นๆ เย่ว์หยางอาจจะไม่ได้เร็วกว่า
อย่างไรก็ตาม ทักษะในการหลบหนีของเขาซับซ้อนยิ่งกว่าใครๆ อื่น แม้ว่าศัตรูของเขาจะไล่ตามทันเขา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำร้ายเขาให้รับบาดเจ็บหนักได้เลย เพราะเย่ว์หยางยังมีวิชาลับสามรูปแบบ
หัวยักษ์ของพายุทรายของหวงซาพยายามจะกลืนกินเย่ว์หยางซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เย่ว์หยางก็เทเลพอร์ทหลบหนีเขาได้ในนาทีสุดท้าย
เรื่องนี้สร้างความแค้นเคืองให้กับหวงซา
พอเห็นเย่ว์หยางหลบหนีไปที่วิหารที่สอง หวงซายังคงไล่ตามเขาไม่หยุด
เขากระแทกเข้ากับพื้นและเปลี่ยนวิหารที่สองให้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยพายุทรายทั้งหมด และกระจายทรายไปทั่วทุกที่
ไม่ว่าจะเป็นทางเข้าหรือทางออก หวงซาเปลี่ยนทั้งหมดเป็นกำแพงทราย ปิดกั้นที่ทั้งหมดอย่างหนาแน่น ถ้าเย่ว์หยางต้องการออกไปก็ต้องได้รับอนุญาตจากเขา
“ตอนนี้ เจ้าสามารถสั่งเสียคำพูดสุดท้ายได้เลย”
หวงซาไม่คิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ศัตรูของเขาจะสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าโจมตีโดยตรง แต่เขาก็สามารถฆ่าเขาช้าๆ ด้วยวิธีฝังเย่ว์หยางไว้ในทรายของเขา เจ้าเด็กมนุษย์น้อยนี้ไม่มีโอกาสรอดชีวิตแน่นอน แม้ว่าเพลิงอมฤตจะสามารถเผาผลาญได้ทุกสิ่งทุกอย่างและวงจักรล้างโลกก็สามารถตัดได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เขาจะทำลายเนินทรายที่หนาหลายสิบเมตรหรือสูงเป็นร้อยเมตรได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น หวงซาสามารถสร้างเนินทรายได้ไม่รู้จบโดยไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใด
วิหารที่สองกลายเป็นกรงขังขนาดยักษ์
หวงซาจัดกับดักเนินทรายไว้ที่นี่ก่อนแล้ว แค่รอให้ศัตรูก้าวเข้าไปเท่านั้น
ถ้าศัตรูของเขาหลบหนีไปที่วิหารที่สาม หวงซาจะไม่สามารถใช้วิธีนี้ฝังศัตรูเขาได้ทั้งเป็น เพราะแผ่นผลึกที่ผนึกไว้ในโถงวิหารที่สาม ยิ่งกว่านั้น เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่ามนุษย์น้อยนี้จะต้องปลดปล่อยหมิงเย่ว์กวงก่อนที่สหายของเขาจะพ่ายแพ้
ตอนนี้ เจ้าเด็กนี่เหลือเวลามากแค่ไหนกัน?
ห้านาที?
สิบนาที?
หวงซาหัวเราะชั่วร้ายใส่เย่ว์หยางผู้ต่อต้านป้องกันตนเองจากพายุทรายด้วยพลังปราณ
มหาสมุทรทรายทับซ้อนท่วมโถงวิหารที่สองค่อยๆ ฝังพื้นที่ทั้งหมด ระดับทรายเพิ่มขึ้นจากระดับข้อเท้าขึ้นมาถึงเข่าของเย่ว์หยาง จากนั้นก็ต้นขา.. และสิ่งทำนองเดียวกันนั้นก็เกิดตามมา เม็ดทรายกดลงมาต่อเนื่องอัดใส่ม่านพลังปราณที่เย่ว์หยางปล่อยออกมา จากสิบเมตรกดลงมาเหลือห้าเมตร และเหลือหนึ่งเมตร ในที่สุด มันก็แผ่อยู่ในระดับหัวของเย่ว์หยาง และฝังท่วมตัวเย่ว์หยางในเวลาต่อมา
นอกจากตัวเย่ว์หยางแล้ว มีทรายท่วมไปทั่วทุกที่
ตอนนี้พื้นชั้นที่สองทั้งหมดกลายเป็นท้องของหวงซา
นอกจากตายจากการขาดอากาศหายใจ, สูญเสียน้ำและกลายเป็นทราย เย่ว์หยางไม่มีทางทำให้เรื่องนี้จบได้
“....”
เย่ว์หยางเม้มปากและไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นเขาเรียกโล่คัมภีร์ออกมาและกันทรายของหวงซาออกไป ขณะเดียวกัน หวงซาได้ยินเสียงเครื่องเป่าลึกลับ เหมือนกับว่าเป็นเสียงเป่าของสังข์สมุทร หวงซาชะงักค้าง ขณะที่เขาตระหนักได้ว่านอกจากเย่ว์หยางแล้ว นางเงือกตนหนึ่งปรากฏออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ยิ่งกว่านั้น นางเงือกยังถือสังข์สมุทรสีขาวราวหิมะ และเป่ามันด้วยเสียงสูงดังก้อง
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=361