ตอนที่ 332 การแสดงดีๆ เพิ่งเริ่มต้น
เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าตัดสินใจหลบหลีกการโจมตี พวกเขาหายตัวทันทีโดยเทเลพอร์ตห่างออกไปสามสิบเมตร หลบพ้นพลังดาบโจมตีได้
ผู้เฒ่าเต่ามังกรโน้มตัวลงและพึมพำกับตนเอง ลำแสงดำเปล่งออกมาจากร่างของเขา
แสงดำกระจายออกอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกรงแสงรูปเต่า อักษรรูนเร้นลับปรากฏอยู่บนกรงแสง เย่ว์หยางจำอักษรรูนสวรรค์นั้นได้ว่าหมายถึง “ป้องกัน” ดูเหมือนผู้เฒ่าเต่ามังกรเตรียมตัวรับการโจมตีของภาพลวงตา
ภาพลวงตายกดาบของพวกมันและฟันลงด้วยพลังทั้งหมด โดยทุ่มพลังโจมตีใส่โล่ป้องกันรูปเต่านั้น
บึ้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
ฟ้าและดินสั่นสะท้านไปทั่ว
ดาบส่วนใหญ่ถูกเกราะรูปกระดองเต่าหักเหตั้งแต่เหนือท้องฟ้า มีดาบจำนวนน้อยที่ถูกหักเหฟันใส่พื้นทำลายพื้นหินและโคลนโดยรอบกลายเป็นเถ้าถ่าน อย่างไรก็ตาม โล่ปกป้องของเต่ามังกรไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว ภายใต้แนวป้องกันการโจมตีที่ทรงพลังสั่นสะท้านฟ้าดิน ร่างของผู้เฒ่าเต่ามังกรโอนเอนไปมา ร่างที่อ่อนแอนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เย่ว์หยางชื่นชมเขาอยู่ในใจ มิน่าเล่าเต่ามังกรชราถึงอยู่มาได้นานถึงหกพันปี พลังป้องกันของเขาทรงพลังอย่างแท้จริง!
เย่ว์หยางรู้สึกว่าโล่รูปกระดองเต่านี้แข็งแกร่งกว่าโล่ป้องกันของคัมภีร์ทองของเขาเสียอีก นี่คือโล่ที่เต่ามังกรสร้างขึ้นหลังจากได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ถ้าเขาเรียกโล่ป้องกันตัวในสภาพที่เขาพร้อมสูงสุด นอกจากนางเซียนหงส์ฟ้า นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษแล้ว ไม่มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนใดจะสู้กับเขาได้
“หยวนหลง! กระดองเต่าของเจ้ายังคงแข็งแกร่งเหมือนเคย! ข้านึกว่าเจ้าจะไม่สามารถรับการโจมตีง่ายๆ ของข้าได้อีกต่อไปหลังจากแก่ตัวและอ่อนแอเสียอีก ข้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ข้าไม่เคยนึกเลยว่าสหายเก่าของข้ายังคงเหมือนเดิม แม้ว่าเจ้ากำลังจะตาย แต่กระดองเต่าของเจ้าก็ยังแข็งแกร่งมาก ฮ่าฮ่าฮ่า!”
มนุษย์วิหคกวาดสายตาไปที่นางเซียนหงส์ฟ้าและเย่ว์หยางอีกครั้ง
“สหายน้อย เจ้าหนีได้เร็วนักใช่ไหม.. เวลาที่เหลือทั้งหมด ข้าจะเล่นกับเจ้าอีกครั้ง เข้าไปโถงวิหารที่หนึ่งสิ ข้าจะให้แองเจิ้ลมอบความบันเทิงให้กับเจ้า หมดเวลาของข้าแล้ว ขอโทษที ข้าจำเป็นต้องพักแล้ว”
แสงสีทองส่องออกจากร่างของมนุษย์วิหคอย่างอ้อยอิ่ง จุดที่แสงสีทองป้องกันจุดที่อ่อนที่สุดในขาของเขา ค่อยเปลี่ยนเป็นสลัวลงเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าผนึกพลังจิตและความสามารถในการทำลายล้างของจักรพรรดิอวี้ยังคงส่งผลอยู่
เย่ว์หยางเตรียมขัดขวางและฆ่าเจ้าผู้ยโสนี้ทันที แต่นางเซียนหงส์ฟ้ารีบส่งสัญญาณให้เขาว่าเขาควรจะปล่อยเจ้าผู้นี้ไป เพื่อที่ว่าเขาจะได้ให้เขาไปรายงานเจ้านายของเขา พวกเขาสามารถสร้างความสับสนให้กับพวกแดนสวรรค์มากขึ้นด้วยวิธีนั้น
มีสถานการณ์ไม่คาดฝันในวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ เนื่องจากพวกเขายังไม่เข้าใจพวกนั้นได้ชัดเจน จึงยังไม่สะดวกที่พวกเขาจะเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริง
เต่ามังกรชราไอช้าๆ
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาแสดงว่าเห็นด้วยกับแผนของนางเซียนหงส์ฟ้า
หกพันปีผ่านไป มีความเปลี่ยนแปลงในวิหารเทพของจักรพรรดิอวี้ที่แม้แต่เต่ามังกรชราก็ยังไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าคทาเทพของจักรพรรดิอวี้และผนึกเทพยังคงมีผลหรือไม่ ถ้าของวิเศษทั้งสองสิ่งสูญเสียประสิทธิภาพ สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ จากนั้นการลอบทำร้ายของพวกเขาจะลำบากมากขึ้นกว่าที่พวกเขาคาดไว้ถึงสิบเท่า แม้ว่าเขาไม่ได้มองนางเซียนหงส์ฟ้าเป็นเหมือนสหาย แต่เขาก็เห็นด้วยกับแผนของนางที่ให้พวกเขาปกปิดความสามารถไว้ก่อนชั่วระยะหนึ่ง เพราะยังไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น แม้แต่ผู้เฒ่าเต่ามังกรเองที่ผ่านมาก็ยังไม่ลงมือเต็มที่
มนุษย์วิหคผู้งดงามโค้งคำนับอย่างสุภาพให้เต่ามังกรชราและเปลี่ยนร่างเป็นแสงสีทองบินกลับไปที่เกาะลอยฟ้าด้านบน
ขณะเดียวกัน ดาวสีเงินมากกว่าสิบดวงก็ร่วงลงมาที่พื้น
พวกเขาทั้งหมดเป็นอสูรผสมมนุษย์
เย่ว์หยางใช้จักษุญาณทิพย์ของเขาก็เห็นว่ามนุษย์อสูรเหล่านี้ไม่มีผู้ใดเป็นนักสู้แดนสวรรค์ที่ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตัวประหลาดที่เป็นหัวหน้านามว่าแองเจิ้ลผู้มีผมทองเหมือนแผงคอสิงโต นอกจากตัวประหลาดผู้นำแองเจิ้ลผู้มีพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 1 มนุษย์อสูรอื่นๆ ไม่มีใครเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดเลย
ตัวประหลาดสตรีที่อ่อนแอที่สุด ก็แข็งแกร่งพอๆ กับนักสู้ระดับ 6 เป็นอย่างมาก
เผชิญหน้ากับมนุษย์อสูรข้ามสายพันธุ์ที่มีความแข็งแกร่งเท่านักสู้ระดับ 7 เย่ว์หยางไม่มีความสนใจจะสู้กับพวกมันเลยจริงๆ
นางเซียนหงส์ฟ้าส่ายศีรษะเบาๆ นางก็คร้านเกินกว่าจะจู่โจมพวกเขา
“ผู้เฒ่าเต่า! ท่านสู้กับพวกมันเองก็แล้วกัน เราจะไปสำรวจโถงวิหารที่หนึ่งก่อน!”
ความจริง เย่ว์หยางต้องการให้เจ้าเมืองโล่วฮัวหรือองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนได้ต่อสู้หาประสบการณ์สักช่วงหนึ่ง แต่สถานการณ์ไม่คาดฝันในวังเทพของจักรพรรดิอวี้ยังทำให้เขาคลางแคลงใจ เขาต้องการรู้สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
สองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
พวกเขาทำลายผนึกเป็นอิสระได้หรือยัง? คทาเทพและผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้ยังมีผลต่อพวกเขาหรือเปล่า?
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือวิหารเทพของจักรพรรดิอวี้ยังมีความสามารถผนึกศัตรูของพวกเขาได้หรือไม่ หกพันปีผ่านมาแล้ว บางทีศัตรูของพวกเขาอาจค้นพบวิธีก็ได้ แต่เดิม ตามคำของผู้เฒ่าเต่ามังกร สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสุสานผนึกสิ่งมีชีวิตไว้ นอกจากได้คทาเทพหรือผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้และทำลายผนึก ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์ทั้งสองไม่มีทางได้รับอิสรภาพแน่ ตามแผนเดิม ตราบใดที่พวกเขากวาดล้างนักรบแดนสวรรค์เหล่านั้นได้และทำลายผนึก มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะได้รับคทาจักรเทพพรรดิอวี้ อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ตอนนี้เกินกว่าผู้เฒ่าเต่ามังกรคาดไว้มากนัก
ในกรณีที่คทาเทพและผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้สูญเสียประสิทธิภาพ ผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ทั้งสองก็สามารถเคลื่อนไหวได้โดยอิสระ นั่นจะทำให้ความยากในภารกิจนี้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า
นางเซียนหงส์ฟ้ากระซิบกับเย่ว์หยาง 2-3 คำ
จากนั้น นางกลายเป็นประกายไฟและเหินขึ้นไปในท้องฟ้า
นางมีความเร็วสูงมาก มนุษย์อสูรไม่สามารถหยุดนางได้แม้แต่น้อย
เย่ว์หยางแตกต่างจากนาง เขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปช้าๆ และมั่นคงไปตามเส้นทางน้อยบนภูเขา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นธรรมชาติของศัตรูที่บินได้ มนุษย์อสูรทั้งห้ารีบไล่ตามเย่ว์หยาง แต่ฝีมือหลบหลีกของเขาทรงพลังและลึกลับมากนัก
“ไม่ต้องไล่ตามเขา เขาจะตายในไม่ช้าตรงเส้นทางนั้น”
หัวหน้าตัวประหลาดผมทองแองเจิ้ลโบกมือส่งสัญญาณให้บริวารทั้งห้ากลับมา
“มาฉีกเจ้าเต่าเฒ่านี้ให้เป็นชิ้นดีกว่า กรรร!”
มนุษย์อสูรทั้งหมดระดมพลังทั้งกรงเล็บที่แหลมคม, หมัดยักษ์, ฝ่ามือเหล็ก, หางอสรพิษ, เขี้ยวสุนัขป่า, เขาด้วงและการโจมตีอย่างอื่นใส่โล่ป้องกัน
ผู้เฒ่าเต่ามังกรอยู่เงียบๆ พลางพึมพำกับตัวเอง คงอำนาจพลังโล่ป้องกันไว้
เขาเอาแต่ป้องกันอย่างเดียว ไม่ได้โจมตีแม้แต่น้อย
แม้ว่าเขาจะถูกโจมตีโดยมนุษย์อสูรมากกว่าสิบ แต่โล่ป้องกันก็ทรงพลังมากเกินไป พวกมนุษย์อสูรโจมตีใส่จนกระทั่งเหนื่อยหอบ แต่พลังโล่ป้องกันไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ตัวประหลาดผมทองแองเจิ้ลยังคงสังเกตผู้เฒ่าเต่ามังกรและตระหนักว่าร่างของเขากำลังสั่นมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เหมือนกับว่าเขาจะล้มลงได้ทุกเมื่อ แองเจิ้ลรวบรวมความมั่นใจของตนเองทันทีและตะโกนลั่น
“ตาเฒ่านี้ยังทนได้อีกไม่นาน โจมตีต่อไป!”
เย่ว์หยางไม่ถูกขัดขวางมากนักขณะวิ่งไปตามทางและตรงเข้าสู่เกาะลอยฟ้า
ในเกาะลอยฟ้า มีเสาสี่ต้นสูงขึ้นไปบนฟ้า คอยค้ำเกาะลอยฟ้าที่สองซึ่งเล็กกว่า
ดูเหมือนโถงวิหารที่สองและที่สามจะตั้งอยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นไปอีก
ในระหว่างเสา มีโถงขนาดใหญ่เด่นสง่า
ผ่านไปหกพันปีแล้ว แม้แต่แสงก็ยังหมดกำลัง ท่ามกลางสวนที่ตายแล้วและความมืดมิด บรรยากาศน่าอึดอัดและอึมครึม น่าทึ่งจริงๆ เมื่อคิดถึงวิธีที่วีรบุรุษนามว่าจักรพรรดิอวี้สร้างที่อย่างนี้ขึ้นมาได้ เขาได้รับความเคารพนับถือจากคนทั่วโลก แม้ว่าจะถูกฝังร่วมกับนักรบแดนสวรรค์ในที่แห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ผ่านไปหกพันปีแล้ว ไม่มีใครในโลกรู้เรื่องสงครามใหญ่ระหว่างจักรพรรดิอวี้และสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของพวกเขาในหนังสือประวัติศาสตร์ ตอนนี้เขาเดินเข้ามาในวังเทพของจักรพรรดิอวี้ที่งามสง่า เย่ว์หยางรู้สึกตื้นตันมาก ในความเป็นจริง เวลาคือศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของนักรบผู้แข็งแกร่ง นอกจากเป็นอมตะ ไม่มีใครหลบหนีความตายตามกฎของเวลา
ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม พอเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่มีความหมาย
ถ้าเขาไม่ใช่ผู้อมตะ ใครยังจะจำเขาได้ถึงหกพันปีบ้าง?
ในทันใดนั้น เย่ว์หยางมีคิดที่ไม่เคยคิดมาก่อน และนั่นก็คือไข่วคว้าหาความเป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นร้อยปี, พันปีหรือหมื่นปีก็ตาม เวลาคือสิ่งที่มีค่า แม้ว่าความตื่นเต้นของชีวิตมาจากกระบวนการที่ยังไม่ประสบผล ถ้าเขาสามารถครองความเป็นอมตะและมีชีวิตไม่มีกำหนดสิ้นสุด เขาจะมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น ตื่นเต้นมากขึ้นมิใช่หรือ?
ถ้ามีทางเป็นไปได้ เขาจะไล่ไขว่คว้าหาความเป็นอมตะแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น เขาคงไม่ไล่ตามความเป็นอมตะเพื่อตัวเองเท่านั้น เขายังคงหามันให้คนที่เขารัก เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
เขาจะไม่ยอมให้เวลาเอาสิ่งดีๆ ของเขาไป เขาจะไม่ปล่อยให้ลูกหลานของเขาเซ่นไหว้อยู่ที่หลุมสพของเขาแน่นอน เหมือนอย่างที่เขาแสดงความเคารพนับถือจักรพรรดิอวี้ผู้ถูกฝังอยู่ในวังเทพของจักรพรรดิอวี้ เขาจะยอมปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นได้แน่นอน
เย่ว์หยางจมอยู่ในกระแสความคิดของเขา
มีร่างสองร่างปรากฏที่ด้านซ้ายและขวาของเขา
หนึ่งในนั้นหัวเราะด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“ซาฟี่กลับมาแล้วและพูดว่ามีบุรุษประหลาดสองคนและสตรีอีกหนึ่งคนทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย กลับกลายเป็นว่าเป็นเด็กหน้าโง่ ดูสิ เจ้าเด็กนี่ กลัวจนไม่กล้าขยับ! ความจริงเขากำลังฝันกลางวันเมื่อศัตรูยังอยู่ต่อหน้าเขาหรือ? ถ้าข้ารู้อย่างนี้ ข้าจะไปฆ่าผู้หญิงก่อน ผู้หญิงนั่นดูเหมือนจะดีนะ นางจะให้การละเล่นสนุกขึ้น”
“อ้อ, มนุษย์วิหคนั้นชื่อซาฟี่สินะ เฮ้อ, ลืมไป ชื่อของเขาไม่สำคัญแล้ว”
เย่ว์หยางล้วงด้วงหยกขาวออกมาและทันใดนั้น ทั้งวิหารก็ค่อยๆ มีแสงสว่างอย่างช้าๆ แสงส่องสว่างในโถงวิหารซึ่งแต่เดิมมืดอยู่แล้ว
“ข้าเกลียดแสง!”
เงาร่าง 2-3 ร่างบิดตัว หนึ่งในนั้นมีร่างน่าเกลียดกำลังครวญครางด้วยความเจ็บปวด
“แม้ว่าเราไม่สามารถดูดกลืนแสงนี้ได้ทันที ถ้าเราปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ มันก็จะใช้ประโยชน์ในการรักษาร่างกายเราได้ นั่นเป็นของดี ข้าต้องการมัน!”
ร่างที่มีเสียงแหบแห้งปรากฏตัวขึ้น ร่างกายท่อนบนของเขาดูเหมือนจ้าวปีศาจ เจ้าผู้นี้มีพลังเข้มข้นอยู่ในตัว และร่างกายเขาสูงเพียงสองเมตร แต่เย่ว์หยางเคยเห็นจ้าวปีศาจมาหลายชนิดก่อนแล้ว ร่างท่อนบนของเขาดูเหมือนเลือดเนื้อและเอวและกายท่อนล่างเป็นเหมือนควันหนา เขายังไม่กลายเป็นเลือดและเนื้ออย่างสมบูรณ์
แม้ว่าเขาจะสูญเสียร่างเดิมไป ร่างใหม่ที่เขาสร้างจากส่วนที่แตกหักก็ยังไม่สมบูรณ์ พลังขอเขาลดลงอย่างมาก ปีศาจนี้ยังคงมีพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 5
เมื่อเขาปรากฏตัวในโถงวิหาร อักษรรูนบนป้ายหลุมศพแก้วผลึกเปล่งแสงทันที
รูปแบบอักษรรูนบนป้ายหลุมศพกระพริบถี่มาก
วงเวทอักษรรูนหมุนคล้ายกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
ปีศาจที่เสียงแหบแห้งร้องโหยหวนเจ็บปวด ขณะที่ควันหนาข้างล่างต่ำกว่าเอวเขาสลายหายไปในอากาศ เหมือนกับว่าถูกดูดด้วยพลังที่มองไม่เห็น
เย่ว์หยางยืนยันว่าผนึกวิหารเทพของจักรพรรดิอวี้ยังส่งผลอยู่ ยิ่งกว่านั้น พลังก็ยังแข็งแกร่งพอๆ กับแต่ก่อนด้วย
แม้ว่านักรบแดนสวรรค์เหล่านี้จะใช้วิชาลับปลุกตนเองจากการหลับไหลนิรันดรและหลบหนีจากผนึกได้ แต่พวกเขาทำได้เพียงซ่อนร่างของพวกเขาและหลอกผนึกของจักรพรรดิอวี้ แต่ทันทีที่พวกเขาเผยร่าง พวกเขาจะถูกจำกัดด้วยพลังของผนึกทันที
นี่นับเป็นข่าวดีมากสำหรับเย่ว์หยางตั้งแต่เริ่มบุกเข้าวิหารเทพของจักรพรรดิอวี้
“ยังทำไม่ได้, โธ่เว้ย ปณิธานและผนึกของจักรพรรดิอวี้ ช่างน่าขยะแขยง ข้าเกลียดมนุษย์! เจ้ามนุษย์ อย่าผยองนักนะ! แม้ข้าจะมีเวลาเพียงสามนาที ข้าใช้เวลาสิบวินาทีก็สังหารเจ้าได้, เจ้ามนุษย์หน้าโง่ ไปตายซะ!”
ปีศาจที่มีเสียงแหบแห้งชี้นิ้วมาที่เย่ว์หยางอย่างยโส ขณะที่เขาเยาะเย้ยและปล่อยพลังปราณอย่างใจเย็น พลังปราณของเขาระเบิดออกทำให้วิหารเทพจักรพรรดิอวี้สั่นสะเทือนไปหมด
“เฮ้, เฮ้, อย่าตื่นเต้นเกินไปสิ เราไม่ต้องการเกี่ยวข้องด้วยเพราะเจ้านะ อย่าเคลื่อนไหววงเวทของผนึกให้มากเกินไป...”
มีเงา 2-3 ร่างทักท้วง
“อย่าห่วง ข้าจะจบการต่อสู้นี้ด้วยท่าเดียว!”
ปีศาจเสียงแหบแห้งเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“นึกว่าเจ้าเป็นอุลตร้าแมนหรือไง? ภายในสามนาที นอกจากพิสูจน์ว่าเจ้าไร้ความสามารถแล้ว เจ้ายังมีอะไรอื่นอีกไหม?”
เย่ว์หยางยักไหล่อย่างไม่เกรงใจ
“ตาย!”
ปีศาจเสียงแหบแห้งพูดเกรี้ยวกราด
กรงเล็บแหลมของเขากรีดฝ่าอากาศตะกุยใส่ศีรษะเย่ว์หยาง
แม้แต่มิติอากาศก็ดูเหมือนจะถูกกรงเล็บของเขาฉีกขาดได้
เมื่อสหายของปีศาจเห็นเช่นนี้ พวกเขาเริ่มหัวเราะชั่วร้ายใส่เย่ว์หยาง พวกเขาเชื่อเต็มเปี่ยมว่า เด็กมนุษย์ผู้นี้ยังเป็นเตรียมนักสู้ปราณก่อกำเนิด คงจะตายแน่นอน เขาจะรอดจากการโจมตีของนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ไปได้อย่างไร?
คำตอบก็คือเขาหนีรอดไม่ได้แน่นอน
เสียงระเบิดดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว
รอยเล็บห้าสาย กรีดลึกเป็นทางยาวสิบเมตรปรากฏอยู่บนพื้นหินของวิหารเทพของจักรพรรดิอวี้ ขณะที่หินแตกกระจายอยู่โดยรอบ
สะเก็ดหินปูนเก่าแก่หกพันปีแตกกระจายเต็มอากาศ เต็มบริเวณวิหารเทพจักรพรรดิอวี้
เป็นเวลานานก็ยังไม่คืนสภาพปกติ
“พอแค่นั้นแหละ กู่หยา! เจ้าจะตั้งท่าอย่างนั้นอีกนานแค่ไหน?”
พอเห็นว่าสหายของพวกเขาไม่ขยับจากท่าตะกุยกรงเล็บครั้งสุดท้าย เงาอีก 2-3 ร่างนั้นรู้สึกว่าสหายผู้นี้ชักจะโอ้อวดท่ามากเกินไป เขาก็แค่ฆ่ามนุษย์ระดับเตรียมนักสู้ปราณก่อกำเนิดเท่านั้น ทำไมถึงต้องตั้งท่าอย่างนั้นด้วย?
“เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ฆ่ามนุษย์มานาน นั่นคือสาเหตุที่เจ้าต้องการเพลิดเพลินกับความตื่นเต้นที่ได้ฆ่ามนุษย์ใช่ไหม? เจ้าสูงล้ำนักหรือ?”
ร่างที่ดูน่าเกลียดนั้นเริ่มหัวเราะใส่สหายของเขา
“บึ้ม....”
ปีศาจเสียงแหบแห้งไม่ตอบ เขาล้มลงกับพื้นทันที
หัวของเขากลิ้งหลุนๆ ออกไปสิบเมตรราวกับลูกบอล
และกลิ้งตรงมาที่ขาของพวกเขา
เย่ว์หยางยิ้มเฉิดฉายเหมือนกับดวงอาทิตย์ เหยียบหัวปีศาจผู้ยังมีนัยน์ตาเต็มไปด้วยความข้องใจ ร่างเงาพวกนั้นยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น มนุษย์น้อยผู้นี้รอดมาได้อย่างไร? และฆ่าสหายของพวกเขาได้อย่างไร? นี่เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าสหายของพวกเขายังไม่ฟื้นคืนพลังที่แท้จริง แต่เขาก็ยังเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 อยู่ดี แล้วเขาถูกมนุษย์ชั้นเตรียมปราณก่อกำเนิดฆ่าตายทันทีได้อย่างไร?
ใครเล่าจะเชื่อผลเช่นนี้?
เพิ่งจะเกิดอะไรกันแน่? พลังแบบไหนกันที่ฆ่าสหายของพวกเขา?
ไม่ต้องให้ร่างเงานั้นค้นพบเหตุที่เกิดขึ้น วงแหวนอักษรรูนบนเสาแก้วผลึกเริ่มเปล่งแสงสว่างมากขึ้น ประกายแสงที่ปล่อยออกมากลายเป็นกระแสหมุนวนสีขาว หัวและร่างปีศาจถูกดูดเข้าไปในกระแสหมุนวนแสงสีขาวและกลายเป็นควันดำ ถูกดูดกลืนเข้าไปในเสาแก้วผลึก ในสามสิบวินาที นอกจากมุกดำที่เย่ว์หยางเหยียบไว้ใต้เท้า เป็นเหมือนกับว่าปีศาจเสียงแหบแห้งไม่เคยมีอยู่มาก่อน
สหายของเขา พวกเงาดำ 2-3 ร่างเริ่มแตกตื่น
เงาที่น่าเกลียดน่าขยะแขยงนั้นกรีดร้องลั่น
“เราถึงฆาตแล้ว นั่นไม่ใช่การถูกผนึก นั่นคือความตายที่แท้จริง! โธ่เอ๊ย! เจ้ามนุษย์ผู้นี้มีความสามารถทำลายวิญญาณด้วย วิญญาณของกู่หยาถูกทำลายไปแล้ว พวกเจ้าเห็นไหม? นี่ไม่ได้การแล้ว ข้าจะไม่ต่อสู้กับศัตรูผู้มีพลังทำลายวิญญาณแน่ ข้าไม่ต้องการ ข้าพึ่งหนีออกมาจากผนึกได้อย่างยากลำบาก ข้าไม่ต้องการถูกฆ่า..”
“ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
มนุษย์วิหคผู้สง่างามชื่อซาฟี่ผู้มีปีกสีทองลอยลงมาจากฟ้า
“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ซาฟี่ เจ้ารายงานข้อมูลผิดพลาด มนุษย์ผู้นี้มีพลังทำลายวิญญาณ เขาน่ากลัวพอๆ กับผู้พิพากษาผู้ตัดสินวิญญาณในแดนสวรรค์ เจ้าเป็นต้นเหตุให้กู่หยาตาย เขาถูกฆ่าไปแล้ว!”
เงาดำนั้นคร่ำครวญร่ำร้องเกรี้ยวกราดและน่างกลัว
“ว่ายังไงนะ?”
มนุษย์วิหคนามซาฟี่จ้องเย่ว์หยางด้วยแววตาเหลือเชื่อ เตรียมนักสู้ปราณก่อกำเนิดฆ่านักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ได้อย่างไร?
“การแสดงดีๆ เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านัน...”
เย่ว์หยางหยิบมุกดำที่อยู่ใต้เท้าเขาขึ้นมาและเก็บไว้ในแหวนลิช
เขายิ้มเป็นกันเองเต็มหน้าเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
อย่างไรก็ตาม ศัตรูของเขาเห็นเข้าแล้ว กลับรู้สึกเหน็บหนาวเหมือนอยู่ในฤดูหนาว
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=352