ตอนที่ 316 ลืมสถานการณ์พาลบังคับจูบ
เย่ว์หยางออกจากชั้นสองของหอทงเทียน เขายังไม่รีบกลับไปยังสวนดอกไม้น้อย แต่กลับแวะไปที่ปราสาทตระกูลเย่ว์ก่อน
ลุงรองเย่ว์หลิ่งของเขารายงานสถานการณ์ปัจจุบันของปราสาท พอปราศจากเย่ว์หยางช่วยดูแลบริหารจัดการ เขาไม่รู้สึกคลายใจในฐานะของรักษาการณ์ประมุขตระกูลเลย เขาเพิ่งตระหนักว่าการเป็นประมุขตระกูลยากเพียงไหน หลังจากที่ได้เป็นแล้ว มีแต่เรื่องเครียดมาก โชคดีที่มีเย่ว์หยาง หลานชายผู้ทรงพลังคอยดูแลเขา ดังนั้นตระกูลอื่นๆ จึงยังเห็นแก่หน้าของเขา ถ้าตระกูลเย่ว์มีนักสู้ระดับ 6 ชั้นต้นเป็นผู้นำตระกูล อาจบางทีคงไม่มีผู้นำอื่นที่อ่อนแอกว่าเขาก็เป็นได้
“ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องการจัดการดูแลปราสาทเลยแม้แต่น้อย ก็แค่ดูแลพวกเขาอย่างที่ท่านเห็น ข้ามั่นใจว่าท่านจะดูแลได้ดีกว่า”
เย่ว์หยางไม่ได้ให้ความสนใจหรือความสำคัญต่อตระกูลของเขา นอกจากตำหนักหุ่นของภูตอัจฉริยะเย่ว์กงแล้ว ไม่มีความลับอื่นที่เย่ว์หยางต้องการพบเจอ
เย่ว์หลิ่งและผู้อาวุโสทั้งสองอนุญาตให้เย่ว์หยางเขาไปที่ห้องลับซึ่งเข้าถึงได้เฉพาะสมาชิกหลักของตระกูล และยอมให้เขาตรวจดูบันทึกวัตถุดิบที่เก็บไว้ที่นั่น
ภายในนั้น มีบันทึกมากมายและความทรงจำเกี่ยวกับสามวีรบุรุษยุครุ่งเรืองและอัจฉริยะของตระกูลหลายรุ่น นี่เป็นห้องสมุดที่สวยงาม
คัมภีร์วิทยายุทธลับที่สมบูรณ์ของสามวีรบุรุษยุครุ่งเรือง วิธียกระดับสัตว์อสูร แผนต่อสู้ภาคพื้นดิน ศิลปะและพฤติกรรมทางสังคมและอีกมากที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกตระกูลเย่ว์โดยทั่วไป อย่างไรก็ตามสำหรับเย่ว์หยางผู้มีความรู้ที่ได้รับตกทอดมาจากมารดาของสหายผู้น่าสงสาร ไม่มีเรื่องอะไรมากนักให้เขาได้ศึกษา
เกี่ยวกับแผนการรบภาคพื้นดินทางทหารและศิลปะพฤติกรรมทางสังคม เนื่องจากเย่ว์หยางไม่เคยเป็นเจ้าหน้ทีาศาลหรือขุนพลทหาร จึงไร้ประโยชน์กับเขาโดยสิ้นเชิง เขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยจำเป็นสำหรับเขา สามวีรบุรุษยุครุ่งเรืองไม่ได้เขียนหนังสือนี้ให้นักสู้ปราณก่อกำเนิด
พวกเขาเขียนหนังสือนี้เพื่ออนุชนรุ่นหลังในอนาคต เพื่อสอนพวกเขาถึงวิธีนำตระกูลพวกเขาให้สูงส่งและยิ่งใหญ่ และวิธีเสริมสถานะของตระกูลเย่ว์ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในทวีปมังกรทะยาน กล่าวได้ว่าสิ่งที่เย่ว์หยางสนใจอยู่ในตำหนักหุ่นของภูตอัจฉริยะเย่ว์กง บรรดาบันทึกลับของตระกูลตั้งแต่พันปีที่แล้วยังคงเก็บไว้ข้างใน ถ้าผู้เฒ่าเย่ว์ไห่อยู่ที่นี่ เย่ว์หยางคงจะขอไปที่นั่น น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ไม่อยู่ที่นี่ และเขาก็เป็นประมุขตระกูลตัวจริงเป็นผู้ที่รู้ตำแหน่งที่ตั้งตำหนักหุ่น
ที่ตั้งตำหนักหุ่นภายใต้ปราสาทตระกูลเย่ว์ก็ไม่ใช่ตำหนักหุ่นที่แท้จริง แต่เป็นโรงงานผลิตหุ่นล้วนๆ เสียมากกว่า
ภูตอัจฉริยะเย่ว์กงได้สร้างโรงงานหุ่น เพื่อที่ว่าลูกหลานในอนาคตผู้ไม่ใช่อัจฉริยะจะสามารถผลิตหุ่นระดับต่ำได้โดยเรียนรู้วิธีทำง่ายๆ
“เฟิงเอ๋อถูกนิกายภูเขาหมอกขับออกจากสำนักแล้ว.. ท่านกู่หมิงส่งคำขอโทษมาด้วย แต่เขาไม่สามารถขัดคำสั่งประมุขนิกายได้”
เย่ว์หลิ่งลดเสียงลงเล็กน้อย ผู้เยาว์ตระกูลเย่ว์ในปัจจุบันก็เต็มไปด้วยอัจฉริยะแต่เดิมอยู่แล้ว เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนครั้งหนึ่งเคยได้รับเลือกให้เป็นสิบสุดยอดวีรบุรุษรุ่นเยาว์ เย่ว์เฟิงทำสัญญากับคัมภีร์ได้ตั้งแต่อายุหกขวบ อัจฉริยะของเขาถูกพบตั้งแต่อายุน้อย และนิกายใหญ่ทั้งสามก็มาขอรับเขาเป็นลูกศิษย์ ในที่สุด เขากลายเป็นลูกศิษย์ของนิกายภูเขาหมอกลอยฟ้า
หลังจากที่เย่ว์หยางมาถึง เขาลากรถม้าที่โดยสารโดยคุณนายสี่และน้องสาวตัวน้อย เขาแทบจะพลิกคว่ำปราสาทตระกูลเย่ว์ ทำให้ทั้งโลกตกตะลึง
สวะที่ไม่สามารถทำอะไรได้ในแต่ก่อนกลับกลายเป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาขึ้นมาได้
แม้แต่เย่ว์ปิง ผู้มีแต่เพียงอสูรสายพฤกษาที่อ่อนแอก็ยังแสดงความสามารถได้อย่างน่าทึ่งระหว่างประลองช่วงปีใหม่ ตอนนั้น ไม่มีผู้ใดในโลกที่ไม่อุทานชื่นชมผู้เยาว์ตระกูลเย่ว์ อย่างไรก็ตาม ในวันนี้บุตรคนโตเย่ว์เทียนก็พังทลายเสียแล้ว บุตรคนที่สี่เย่ว์เยี่ยนก็ไร้ความสามารถ บุตรคนที่ห้าเย่ว์ถิงยังสาบสูญ, บุตรคนที่หกเย่ว์เป่าต้องเผชิญกับการตัดสินของตระกูล ขณะที่บุตรคนที่เก้าเย่ว์เฟิงถูกขับออกจากนิกายหมอกกลายเป็นศิษย์ไร้สังกัด
ถ้าไม่ใช่เย่ว์หยางและเย่ว์ปิง ตระกูลเย่ว์คงจะตกต่ำจริงๆ
เย่ว์หยางเข้าใจเหตุผลที่เย่ว์เฟิงโดนขับออกจากสำนัก เขาเอาชนะไป๋หวินเฟยและบังคับให้เขาคุกเข่าต่อหน้าคนอื่นในการแข่งขันสุดยอดร้อยโรงเรียน คงเป็นเรื่องที่น่าอายที่ไป๋หวินเฟยไม่มีทางลืมตลอดชีวิต หลังจากบิดาของไป๋หวินเฟย ประมุขนิกายเขาหมอกลอยฟ้าได้ทราบเรื่องนี้
คงจะเป็นเรื่องแปลกถ้านิกายภูเขาหมอกลอยฟ้ายังจะสอนเย่ว์เฟิงอีกต่อไป! เย่ว์หยางรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ทั้งหมดอยู่ในความคาดการณ์ของเขาไว้แล้วว่าเย่ว์เฟิงจะต้องถูกขับออกจากสำนัก เนื่องจากในตอนนี้เย่ว์เฟิงไม่มีอาจารย์เลย แต่ก็คงเป็นไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเขาที่จะสอนเย่ว์เฟิงและเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตระกูลเย่ว์ เขาคงไม่อาจอยู่ดูแลตระกูลเย่ว์และอยู่ในทวีปมังกรทะยานตลอดไปได้ ถ้าเขาและสาวๆ ตัดสินใจไปแดนสวรรค์และไม่กลับมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้ หากไม่มีนักสู้รุ่นเยาว์คอยช่วยเหลือตระกูลเย่ว์ในอนาคต
เย่ว์หยางพึมพำกับตัวเอง และตัดสินใจอย่างหนึ่ง
“ตอนนี้ข้ายังวุ่นๆ อยู่ ข้าต้องช่วยองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวให้กลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด ก็เลยยังไม่ว่างในตอนนี้”
คำพูดของเย่ว์หยางทำให้ลุงรองเย่ว์หลิ่งหน้าสลด
“ไม่เป็นไร, เรื่องของเจ้าย่อมสำคัญกว่า” เย่ว์หลิ่งคาดว่าเย่ว์หยางคงไม่ให้ความสนใจตั้งแต่แรก โดยไม่คาดคิด คำพูดถัดมาของเย่ว์หยาง ทำให้เขาสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป
“ข้ายังพูดไม่จบเลย ฟังข้าก่อน..ลุงรอง, เรื่องของน้องเย่ว์เฟิง ข้าจะสอนเขาเมื่อข้ามีเวลาว่างแล้ว ความจริง ตอนนี้เขายังอายุน้อยอยู่ ดังนั้นการวางรากฐานให้เขาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ท่านไม่ต้องกังวลจนเกินไป นิกายภูเขาหมอกลอยฟ้านั่นจะแค่ไหนกันเชียวถึงได้ขับเขาออกมา? ท่านคิดหรือว่าคนในตระกูลเย่ว์ของเราจะไม่อาจเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ถ้าเราไม่กลายเป็นศิษย์ของนิกายภูเขาหมอก?”
แน่นอนว่าเย่ว์หยางคงไม่ต้องการสอนเย่ว์เฟิงอย่างจริงจัง แต่เขาไม่มีปัญหาอยู่แล้วถ้าจะได้รับการร้องขอให้ช่วยแนะนำสักช่วงเวลาหนึ่ง
“อ่า..เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ? อย่างนั้นข้าขอขอบคุณแทนเฟิงเอ๋อด้วย!”
เย่ว์หลิ่งปลาบปลื้มยินดีที่ได้รับข่าวที่คาดไม่ถึง เขาคำนับเย่ว์หยางทันที
แน่นอน เขารู้ว่านิกายภูเขาหมอกลอยฟ้ากลายเป็นศัตรูกับพวกเขาเพราะประมุขนิกายน้อยพ่ายแพ้เย่ว์หยาง
แต่เขาทำได้แต่เพียงกล้ำกลืนฝืนทนตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเย่ว์หยาง ไม่ว่าประมุขนิกายเขาหมอกลอยฟ้าก็คือคนที่เขามิอาจล่วงเกินได้
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าเย่ว์เฟิงจะไม่ถูกขับออกจากสำนัก แต่บางทีเขาคงไม่อาจเล่าเรียนอะไรที่นั่นต่อไปได้ และมีแต่จะถูกไป่หวินเฟยกลั่นแกล้งรังแกอย่างเดียว
เย่ว์หลิ่งพูดเรื่องนี้กับเย่ว์หยางก็เพราะเขาหวังว่าเย่ว์หยางจะช่วยส่งเสริมเย่ว์เฟิงให้ปลดสภาวะคอขวดของการฝึกฝีมือซึ่งจะมีผลต่อความก้าวหน้าของเย่ว์เฟิงในอนาคต เขาหวังว่าเย่ว์หยางจะให้คำชี้แนะเย่ว์เฟิงหรือให้ยาเพิ่มพลังยุทธหรือยาพลังวิญญาณ เพื่อที่ว่าเย่ว์เฟิงจะได้ไม่มีจุดลงเอยเหมือนเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยน.. เขาไม่เคยคิดว่าเย่ว์หยางจะยินดีสอนบุตรของเขาจริงๆ
อย่างนี้เขาจะไม่ปลาบปลื้มได้อย่างไร
ในฐานะที่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง แม้เป็นเพียงคำชี้แนะไม่กี่อย่างจากเย่ว์หยางก็มีค่ามากกว่าเรียนอยู่ในนิกายภูเขาหมอกลอยฟ้าเสียอีก
ศิษย์ของนิกายภูเขาหมอกลอยฟ้าทุกคนต้องภักดีต่อนิกาย มิฉะนั้นทำไมพวกเขาถึงยอมลงทุนทุ่มเทฝึกฝนศิษย์ของพวกเขาด้วยเล่า? ทว่าในฐานะสมาชิกตระกูลเย่ว์ เย่ว์เฟิงจะแสดงความจงรักภักดีต่อนิกายหมอกลอยฟ้าได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น ผู้สอนที่ทำหน้าที่สอนให้เย่ว์เฟิงก็เป็นเพียงนักสู้ระดับ 6 และการสอนพื้นฐานก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักสู้ระดับ 5 สองคน พวกเขาจะเทียบกับเย่ว์หยางซึ่งเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้อย่างไร?
พอคิดเรื่องนี้ เย่ว์หลิ่งเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า
เขาฝืนใจสงบสติอารมณ์ในใจของเขาและสูดลมหายใจลึก จากนั้นประสานมือคารวะเย่ว์หยาง พูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นว่า
“เสี่ยวซาน ก่อนนี้ลุงรองผิดไปแล้ว, ลุงรองหยิ่งทำไม่ดีกับเจ้า โปรดอย่าถือสาความผิดข้าและเก็บมันเอาไว้ในใจเจ้าเลยนะ..”
ถ้าเป็นตัวเขา เย่ว์หลิ่งคิดว่าเขาคงจะไม่ใจกว้างมากเหมือนเย่ว์หยาง ที่ปล่อยให้อดีตก็คืออดีต
ถ้าเขากลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดเอง เกี่ยวกับเรื่องที่น้องสามเย่ว์ชิวมักวิพากษ์วิจารณ์เขา หรือพี่ใหญ่เย่ว์ซานมักรังแกเขาในอดีต เขายังจะยินดีให้คำแนะนำหรือสอนบุตรของเขาไหม?
เขาจะสามารถเป็นเหมือนเย่ว์หยางหลานชายของเขา และมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในใจเขาไหม?
แน่นอนว่า เขาคงไม่ทำ...
ตอนนี้เย่ว์หลิ่งเข้าใจแล้ว เย่ว์หยางหลานชายเขา นอกจากจะมีพลังที่เหนือกว่าเขามากแล้ว เขายังมีน้ำใจและมีคุณธรรมมากกว่าเขามากนัก
เย่ว์หลิ่งปลาบปลื้มใจมาก ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเย่ว์หยางถึงเห็นด้วยที่จะยอมสอนให้เย่ว์เฟิง เพราะเขาไม่ต้องการให้เรื่องซับซ้อน เย่ว์หยางไม่ต้องการให้เย่ว์หลิ่งถอนหายใจและบ่นให้เขาฟังทุกครั้ง วิธีคิดของเย่ว์หยางก็ทำเหมือนกับว่าผู้เฒ่าเย่ว์ไห่กลับมา เขาก็คงแนะนำในสิ่งเดียวกัน ถึงตอนนั้น ก็อาจเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปฏิเสธผู้เฒ่าเย่ว์ไห่อยู่ดี ดังนั้น อาจเป็นเรื่องดีกว่าที่ยินยอมรับคำในตอนนี้ แม้ว่าเย่ว์เฟิงยังเป็นเด็กและไม่ต้องสอนอะไรมากนัก แต่เย่ว์หลิ่งก็มีความสามารถพอที่จะสอนรากฐานให้กับเขาได้
“ตอนนี้ ท่านลุงควรจะสอนพื้นฐานให้บุตรของท่านก่อน อาคารสูงต้องมีรากฐานที่แข็งแรงเสียก่อน ท่านก็แข็งแกร่งอยู่แล้วสามารถวางรากฐานความรู้ให้เขาได้ เขาแข็งแกร่งแล้วก็จะมีความก้าวหน้าในอนาคตได้”
เย่ว์หยางล้วงมุกขาวที่นำมาจากร่างของมนุษย์วิหคออกมาจากแหวนลิชและมอบให้เย่ว์หลิ่งเพื่อเป็นการให้กำลังใจเขา
“ข้าไม่ได้นำอะไรมาเลย เพราะอยู่ในช่วงเร่งรีบ ท่านช่วยเอาผลึกเวทชั้นทองระดับ 5 นี้ให้กับน้องเย่ว์เฟิงด้วย ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด อสูรพิทักษ์ของเขาเป็นอสูรชั้นดีมาก บอกเขาให้ยกระดับมันให้ดีๆ!”
“มันเป็นของชั้นทองระดับ 5 หรือ?”
ลุงรองเย่ว์หลิ่งรับไว้ด้วยความสุขใจ
ทันทีที่เขาเห็น เขาแทบกระโดดผางด้วยความตกใจ
เป็นผลึกเวทประเภทแสงของอสูรทองระดับ 5 หรือนั่น?
ไม่ถูกแน่ เขาไม่เคยเห็นผลึกเวทแบบนั้นมาก่อน นี่ดูเหมือนไม่ใช่ผลึกเวทของอสูร, ไม่ใช่ของมังกรยักษ์ ไม่ใช่เม็ดพลังของเผ่าภูตปีศาจ แล้วสัตว์ประหลาดชนิดไหนถึงมีแก่นเวทแบบนี้?
มันดูใสบริสุทธิ์มาก ดูเหมือนเป็นของที่ดีมากสำหรับใช้ยกระดับอสูรพิทักษ์ให้เย่ว์เฟิง
ไม่ใช่ว่าเย่ว์หลิ่งไม่เคยเห็นผลึกเวทระดับทองมาก่อน แต่เขาตื่นเต้น เพราะเย่ว์หยางมอบแก่นเวทระดับทองกับเขาตรงๆ แก่นเวทที่ให้ความรู้สึกหนักในมือของเขา ขณะที่เขารู้สึกละอายลึกๆ อยู่ในใจ ไม่เพียงหลานชายของเขายังยอมลืมเรื่องที่เขาทำผิดพลาดต่อเขาและไม่แก้แค้นกับเขาเท่านั้น เขายังยอมช่วยเหลือเขาอย่างเต็มความสามารถ
พอคิดถึงเรื่องที่เขาไม่ให้ความสนใจหลานชายเขาในครั้งก่อน ไม่ให้คำชี้แนะ และยังเยาะเย้ยเขาด้วย...
แล้วเขาจะไม่รู้สำนึกผิดและละอายใจได้อย่างไร?
ถ้าเย่ว์หลิ่งรู้ว่ามนุษย์วิหคที่เย่ว์หยางฆ่าในเทวสถานฟ้าเป็นระดับทองทั้งหมด และว่าเขาเอามุกเม็ดที่คุณภาพต่ำที่สุดมอบให้เขา บางทีเขาคงไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป
“ข้ายังมีของอย่างนั้นอยู่อีก 2-3 ชิ้น เมื่ออสูรพิทักษ์ของน้องเย่ว์เฟิงย่อยสลายผลึกนี้เสร็จ ข้าค่อยให้เพิ่มอีกลูกหนึ่ง!”
เย่ว์หยางไม่อธิบายมากและเดินออกมาทันที
“นี่เขาได้ของเหล่านี้มาจากหอทงเทียนชั้นหกหรือสูงกว่านั้นหรือนี่?”
แม้ว่าเย่ว์หลิ่งจะไม่รู้จักมัน แต่เขารู้ว่านี่คือของดีอย่างแน่นอน หลังจากชื่นชมอยู่นาน ทันใดนั้นเขาค่อยนึกขึ้นได้ว่าเย่ว์เฟิงบุตรชายของเขายังรอข่าวดีของเขาอยู่ในห้องสมุด ดังนั้นเขารีบวิ่งกลับไปทันที เขาแทบไม่อาจรอที่จะบอกข่าวดีกับบุตรชายของเขา
ตอนนี้ เย่ว์หลิ่งได้แต่ตั้งความหวังไว้กับบุตรชายคนเล็ก เย่ว์เฟิง
เขาไม่ได้หวังให้เย่ว์เฟิงแข็งแกร่งผิดธรรมดาเหมือนเย่ว์หยางหรือให้เขารุดหน้าอย่างคาดไม่ถึง เขาเพียงหวังว่าบุตรชายของเขาจะกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดในอนาคต มีฝีมือเหนือนักสู้อื่นเป็นหมื่นๆ แม้ว่าเย่ว์เฟิงจะต้องฝึกฝนเป็นเวลาสองร้อยปี ก็ยังนับว่าดี ถ้าเขาสามารถบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดได้ในที่สุด เย่ว์หลิ่งหวังว่าจะทำความปรารถนาของเขาให้เต็มโดยกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่เขาไม่สามารถเป็นได้ สำหรับเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยน เขาควรจะลืมพวกเขาซะ อย่าว่าแต่เย่ว์หยางเลย แม้แต่เย่ว์หลิ่งก็ยังคิดว่าพวกเขาไม่สมควรได้รับการอภัย
ในลานฝึกตระกูลเย่ว์ เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่กำลังฝึกฝีมือ
พวกเขายังไม่ได้ยินว่าเย่ว์หยางกลับมาแล้ว
มีเพียงฮุยไท่หลางซึ่งมีจมูกไวเป็นพิเศษ มันทิ้งการฝึกทันทีและกระดิกหางไปมาต้อนรับเจ้านายของมัน ในทันทีที่มันได้กลิ่นเฉพาะของเจ้านาย
เย่ว์หยางโบกมือให้คนในตระกูลที่กำลังตื่นเต้นและเขาก็กลายเป็นเหมือนดารายอดนิยมถูกคนในตระกูลเขารุมล้อมไปหมด เขาถูกคนในตระกูลรุมแห่แหนพาไปยังลานฝึกฝีมือ สำหรับคนในตระกูล แน่นอนว่าเย่ว์หยางตัดสินใจยกย่องและให้รางวัลพวกเขา เขารู้ว่าพวกเขาต้องการของเหล่านั้น
คนในตระกูลอย่างหลินเหล่ยและหลินเหมี่ยวผู้มีความคิดริเริ่มร่วมอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาตั้งแต่ต้นได้รับรางวัลเป็นอาวุธชั้นทองแดงคนละชิ้น
นี่ทำให้พวกเขาภูมิใจจนหน้าแดง
พวกเขาตื่นเต้นมากจนถึงกับคุกเข่าแสดงความชื่นชมของพวกเขา
อาวุธชั้นทองแดงอาจไม่คุ้มกับการตอบแทนของพวกเขา แต่พวกเขายังขอบคุณกับความใจดีของเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางยิ้มและโยนมุกจำนวนหนึ่งให้เจ้าอ้วนไห่, เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่
เมื่อเขาได้รับมุกชั้นทองระดับ 5 เจ้าอ้วนไห่เป็นเหมือนกับคนลามกที่ได้เห็นสาวเปลือย น้ำลายถึงกับไหลออกจากปากเหมือนน้ำตก
ฮุยไท่หลางยังคงพัวพันและเสียดสีกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า มองดูด้วยความกังวลมาก
มันรู้ว่ามันจะต้องได้ส่วนแบ่งของมันแน่นอน แต่ปากมันไม่ค่อยยอมทน มันต้องการกิน มันมีนิสัยเหมือนเจ้าอ้วนไห่ ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนและสุนัขป่า บางคนอาจเข้าใจผิดว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกันก็ได้.. เมื่อได้หัวใจปีศาจ 2-3 ชิ้น มันไม่ยอมเสียเวลาเคี้ยว กลับกลืนลงท้องหมดในรวดเดียว แมมม็อธสายฟ้า, คิงคองปีศาจ, ด้วงจอมพลังและอสูรอื่นๆ แต่ก็อิจฉาแทบตาย น่าเสียดายที่แม้ว่าจะเป็นของพิเศษสำหรับพวกมัน แต่พวกมันก็ไม่สามารถทนต่อปราณปีศาจที่ชั่วร้ายในหัวใจปีศาจได้ มีเพียงฮุยไท่หลาง หมาป่าที่ไม่ธรรมดาสามารถบริโภคหัวใจปีศาจเหล่านั้นได้
“อย่ามองข้าด้วยสายตาลูกสุนัขผู้หิวโหยสิ..”
เย่ว์หยางไม่อาจทนต่อสายตาของอสูรทั้งหลายนั้นได้เลย ดังนั้นเขาจึงโยนแก่นเวทของเสือดาวปีศาจ, หมาป่าพายุและราชสีห์เพลิงให้พวกมัน ทั้งหมดเป็นของชั้นเงิน คิงคองปีศาจดีใจจัดโห่ร้องลั่นพร้อมกับทุบอกตัวเองแสดงความยินดีของมัน
“ข้าพร้อมแล้ว เราจะไปไหนกันต่อ? หอทงเทียน? แดนปีศาจ? จะให้ข้าไปที่ไหนก็ได้ที่ต้องการก็ได้”
เจ้าอ้วนไห่ถามพลางยิ้มพลาง
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทาง แต่คนที่ระดับต่ำกว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดจะถูกฆ่าตายที่นั่นทันที”
เมื่อเย่ว์หยางพูดเช่นนี้ เจ้าอ้วนไห่กลัวจัดปานหัวแทบระเบิด
“ลืมเรื่องที่ข้าขอก็แล้วกัน”
เจ้าอ้วนไห่โบกมือพัลวัน
“ให้เวลาเราอีกสักหน่อยเถอะ แม้ว่าเหมือนจะเป็นการหยิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพูดแบบนี้ แต่เราจะต้องกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดในเร็วๆ นี้ให้ได้!”
เย่คงกำหมัดอย่างแน่วแน่ ปัจจุบันนี้เย่คงไม่ใช่เย่คงผู้เกือบอดตายอยู่ในหอทงเทียนก่อนหน้านั้นอีกแล้ว
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งปี, ไม่สิ, เก้าเดือน ถ้าพวกเจ้าไม่ฝึกให้หนัก ข้าจะเข้าไปยังแดนสวรรค์ก่อน ประตูแดนสวรรค์จะเปิดเพียงร้อยปีต่อครั้ง ต้องไปดูด้วยตัวเจ้าเอง”
เย่ว์หยางตัดสินใจกดดันเย่คงและคนอื่น พวกเขาเหลือเวลาอยู่ไม่มาก ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่ฝึกให้เต็ม 200% พวกเขาก็จะทำไม่ทันเวลา เย่คงและคนอื่นๆ ตะลึงเมื่อได้ยินเขาพูด อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นพวกเขาก็แสดงความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นจริงจัง
“ได้เลย พวกเราจะทำให้ได้ในที่สุด!”
เย่คงกำหมัดแน่นและให้คำตอบกับเย่ว์หยาง จากนั้นเขาตะโกนบอกเจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ
“มานี่ มาฝึกกันต่อ!”
“ถ้าข้ากลัวเจ้า ข้าคงไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
เจ้าอ้วนไห่โวยวายลั่น หลับตาและคำรามเหมือนสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ
เขาเข้าใจความหมายเส้นตายที่เย่ว์หยางกำหนดไว้ชัดเจน เป็นเส้นแบ่งระหว่างคนธรรมดาและนักรบที่แท้จริง
ถ้าพวกเขาไม่สามารถเข้าแดนสวรรค์ได้ก่อนที่ประตูแดนสวรรค์จะปิด พวกเขาก็จะถูกเย่ว์หยางทอดทิ้ง หลังจากผ่านไปร้อยปี แม้ว่าเย่ว์หยางจะกลับมาจากแดนสวรรค์ บางทีพวกเขาอาจไม่มีสักคนที่เข้าถึงความสามารถสูงสุดได้และไม่สามารถมีฝีมือก้าวหน้าต่อไป พวกเขาจะสามารถอยู่ได้กี่ปี?
ถ้าพวกเขาไม่ฝึกให้หนักระหว่างที่พวกเขายังเยาว์วัย เมื่อกระดูกและเลือดเติบโตขณะที่พวกเขาแก่ตัวขึ้นและพลังต่อสู้ของพวกเขาถูกเผาผลาญไปหมด พวกเขายังจะมีพลังต่อสู้ได้อีกมากแค่ไหน?
ยิ่งกว่านั้น ถ้าเย่ว์หยางไปยังแดนสวรรค์ ความแตกต่างของพลังระหว่างพวกเขาก็จะยิ่งห่างกันไกล
เย่ว์หยางผู้ฝึกฝนตนเองอยู่ในแดนสวรรค์ร้อยปี จะต้องรุดหน้าสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นไปอีก ถึงตอนนั้นเย่ว์หยางคงเป็นผู้ที่พวกเขาได้แต่แหงนมอง
ในเวลานั้น เขาคงอยู่แบบที่พวกเขาไม่มีหวังที่จะไล่ตามเขาได้ทัน หรือแม้แต่จะฝันถึง
เจ้าอ้วนไห่, เย่คงและคนอื่นๆ ถูกเวลาเร่งด่วนกดดัน องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นๆ ก็รู้สึกกังวลเช่นกัน บางทียังจะมากกว่าเจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ
พวกนางต้องการติดตามเขา แยกจากกันร้อยบปีคือสิ่งที่พวกนางไม่มีทางยอมรับ ถ้าพวกนางเป็นแค่สหาย พวกนางอาจไม่ต้องตามเขาจนถึงที่สุด พวกนางก็ยังสามารถเป็นสหายอยู่ได้แม้จะผ่านไปนานร้อยปีก็ตาม อย่างไรก็ตาม เขาคือคนรักของพวกนาง ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทุกอย่างที่ทำมาก็จบ
เรื่องด่วนเพิ่มเติมก็คือ เย่ว์หยางเตรียมบุกวิหารเทพจักรพรรดิอวี้อีกด้วย
นี่คือก้าวแรกที่จะเข้าแดนสวรรค์
ขณะเดียวกัน นี่ยังเป็นการทดสอบเย่ว์หยาง แม้ว่าการทดสอบของจักรพรรดิอวี้ เย่ว์หยางต้องเอาชนะนักรบของแดนสวรรค์ที่ถูกผนึกให้ได้ เพื่อสามารถอยู่รอดในแดนสวรรค์ได้
เมื่อเย่ว์หยางกลับมาที่สวนดอกไม้น้อย เขาเริ่มเล่าให้สาวๆ ฟังว่าเขาผ่านด่านเทวสถานสามโลกได้อย่างไร เขายังไม่ทันเตรียมนำพวกนางเข้าไปดูโลกในคัมภีร์ จู่ๆ เมื่อองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพรวดพราดเข้ามาคว้าคอเสื้อเขาและใช้ตานางเสือสาวจ้องดูเขา
“ไม่มีเวลาแล้ว ไปฝึกกัน!”
ความจริงเย่ว์หยางต้องการอาบน้ำกับสาวงามอู๋เหินก่อนและมีความสุขกับชีวิตรักเสียก่อนจะเริ่มฝึก เขาไม่คิดเลยว่าแม่เสือสาวจะกระวนกระวายมากขนาดนั้น
เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่นางจะเป็นฝ่ายเริ่มขอฝึกกับเขา เย่ว์หยางจึงเห็นด้วยเป็นธรรมดา
หญิงงามอู๋เหินหัวเราะคิกคักและฉุดเย่ว์ปิงและอี้หนานออกมา
“อย่างนั้น เราจะไปในโลกคัมภีร์และช่วยกันสร้างบ้านน้อยของพวกเรา ยังไม่มีอะไรข้างในใช่ไหม? เราจะได้ผลัดกันสร้างบ้านใหม่ของเรา เมื่อเชี่ยนเชี่ยนเหนื่อย โล่วฮัวค่อยออกมาฝึก, ไปกันเถอะ อย่ารบกวนการฝึกขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเลย!”
การไม่รบกวนการฝึกขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นข้ออ้างแน่นอน ปกติองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนสามารถฝึกทักษะของนางได้เองอยู่แล้ว ถ้านางต้องการฝึกกับเย่ว์หยาง เห็นได้ชัดว่านางหมายถึงการฝึกผสานกาย
นี่คือวิธีที่หญิงงามอู๋เหินพยายามให้ความเป็นส่วนตัวกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเย่ว์หยาง
ถ้าสาวๆ ไม่อยู่ที่นั่น บางทีองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจะผ่อนคลายมากขึ้น
พอเห็นว่าหญิงงามอู๋เหินและสาวๆ นางอื่นเข้าไปในโลกคัมภีร์ทีละคนๆ โดยคำแนะนำของเสี่ยวเหวินหลี หน้าขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเริ่มแดง
“ไปอาบน้ำก่อน ตัวของเจ้ามีแต่เหงื่อ เหม็นจะตาย”
พอเห็นท่าทางน่ารักของนาง เย่ว์หยางตื่นเต้นอย่างช่วยไม่ได้ ได้แต่เอื้อมมือดึงแม่เสือสาวที่แกล้งทำเป็นโกรธเข้ามากอดไว้
เขาหลงเสน่ห์นางจนลืมสถานการณ์ จึงขืนแรงจูบนางที่ยังดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=336