ตอนที่ 315 แสงเทพห้าสี
หลังจากต่อสู้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที หัวหน้าปีศาจที่เต็มไปด้วยบาดแผลสับฟันทุบตีก็ตายอย่างน่าอนาถ
ด้วยพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 5 แม้จะอยู่ในหอทงเทียนชั้นที่ 6 เขาก็ยังมิอาจหยุดพลังนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ความจริงเขาพ่ายแพ้อยู่ในหอทงเทียนชั้นที่สอง แน่นอนว่า นี่คือการคาดการณ์ที่ไม่เคยเกิดมาเป็นพันปีแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้ที่คาดคิดว่าจะมีคนอย่างเย่ว์หยางอยู่ในโลก หัวหน้าปีศาจผู้ตายในเงื้อมมือเย่ว์หยางไม่ได้ตายอย่างอยุติธรรม เพราะก่อนหน้าเขาก็ยังมีว่านฉีซิ่งหลิงและตวนมู่หลงเฉิงที่แข็งแกร่งกว่าเขามากก็ยังพบจบจุดที่น่าอนาถเหมือนกัน
“เราไม่ควรจะเสียศพไปเปล่าๆ..”
ไม่เพียงแค่มุกขาวจากร่างของมนุษย์วิหคเท่านั้น เย่ว์หยางยังไม่ยอมเหลือกระทั่งขนปีกบนหลังของพวกเขา เขาสั่งให้อสูรของเขาถอนขนออกให้หมดทุกตัว จากนั้นปล่อยที่เหลือให้นางพญาดอกหนามมงกุฏทองกินหมด
ร่างทุกส่วนของมนุษย์วิหคคือสมบัติ มุกขาวคือของคุณภาพสูงกว่าผลึกเวท ขนนกของพวกเขาใช้ทำธนูได้ อาวุธของพวกเขามีทั้งที่เป็นระดับเงินและที่เป็นระดับทองแดงก็มีค่าทั้งนั้น
สำหรับศพของพวกเขา สามารถทำปุ๋ยชั้นดีได้
เผ่าพันธุ์ปีศาจก็เหมือนกัน
เย่ว์หยางควักหัวใจปีศาจทั้งห้าผู้เป็นระดับเตรียมนักสู้ปราณก่อกำเนิดออกมาหลังจากทำผนึกเก็บไว้สำหรับเป็นรางวัลให้ฮุยไท่หลางที่ต่อสู้มาอย่างหนักในครั้งก่อน แม้ว่าครั้งนี้มันจะมิได้มาด้วย แต่เย่ว์หยางก็ไม่ลืมสุนัขเฝ้าบ้านของเขา สำหรับผลึกเวท หลังจากใช้เพลิงอมฤตกลั่นเสร็จแล้ว เย่ว์หยางจัดการแบ่งให้อาหง, อาหมัน, อสูรทอง, ภูตควันไฟและตั๊กแตนมรณะ แน่นอนว่าสำหรับศพก็สามารถใช้เป็นปุ๋ยได้ หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ตั๊กแตนมรณะก็ยกระดับจาก 4 เป็นระดับ 5 ขณะที่ภูตควันไฟและอาหมันแค่ส่งสัญญาณลางๆ ว่าจะมีการยกระดับ ดูเหมือนคงอีกไม่นานพวกนางก็จะยกระดับได้
นางพญากระหายเลือดหงพยายามไปให้ถึงระดับ “อสูรศักดิ์สิทธิ์สองดาว” และเกือบทำได้สำเร็จ
นางพญาดอกหนามมงกุฎทองยังไม่ยกระดับ นางยังคงเป็นอสูรทองแดงระดับ 1
อย่างไรก็ตาม นางพญาดอกหนามมงกุฎทองได้เรียกอสูรที่ยกระดับทั้งหมดได้ ต้นดอกหนามหลายต้นยกระดับเป็นดอกหนามชั้นเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริวารดอกหนามที่กลืนกินมังกรบินหนังย่นและมังกรบึงปีศาจ พัฒนาการของพวกมันชัดเจนมาก
เย่ว์หยางไม่สนใจป้อมปราการของมนุษย์วิหคและปีศาจ เขารวบรวมสมบัติของเขา และเตรียมจะเข้าไปสำรวจโลกภายในของเขา
หลังจากต่อสู้ครั้งใหญ่ คัมภีร์ทองระดับกลางก็ยกระดับขึ้นเป็นคัมภีร์ทองระดับสูง
ลำแสงสีทองส่องสว่างตลาดเวลา
อสูรรูปแบบพิเศษ “โลก” ขยายออกไปด้านนอกเพิ่มเล็กน้อยท่ามกลางแสงสีทอง
หลังจากดูดกลืนพลังของมนุษย์วิหคและปีศาจแล้ว ภายในวงแหวนแสง นอกจากจะมีลม ไฟ น้ำ ดินและโลหะแล้ว ยังมีอักษรรูนสวรรค์เพิ่มขึ้นมาใหม่อีกสองคือ “แสงสว่าง” และ “ความมืด” อักษรรูนในวงแหวนแสงกลายเป็นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขณะที่มันยังคงมีวิวัฒนาการช้าๆ รอบคัมภีร์ต่อเนื่อง พลังลึกลับของมันกลายเป็นพื้นที่พิเศษที่ผลกระทบพิเศษบางอย่างซึ่งจะเพิ่มสถานะของเจ้านายของมันและอสูรของเขาด้วย ยิ่งกว่านั้นยังมีผลสร้างความอ่อนแอให้กับศัตรูของเจ้านายมัน
พื้นที่ๆ ส่งผลของมันตอนนี้ยังไม่ใหญ่นัก ขณะที่ระดับของมันยังเป็นแค่เพียงชั้นแพลตตินัมระดับ 3 ในอนาคต ถ้ามันเพิ่มระดับขึ้นได้อีกและขยายพื้นที่ๆ มีผล มันจะมีพลังยิ่งใหญ่เห็นได้ชัดแน่นอน
แน่นอนว่า เพื่อยกระดับหลุมลึกไม่เห็นที่สุดนี้ เย่ว์หยางรู้สึกว่าผลึกเวทคงจะไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความพอใจของมันแน่
“....”
เสี่ยวเหวินหลีดึงแขนเย่ว์หยาง
“ตอนนี้เราเข้าไปในโลกในคัมภีร์ได้แล้วหรือ?”
เย่ว์หยางดีใจเมื่อเขาได้ทราบข่าว ขณะที่เขารวบรวมความคิดของเขา เขาก็ตระหนักว่า “โลก” ไม่ต่อต้านการเข้าไปของเขาอีกต่อไป รู้สึกได้เลือนรางว่ามันกำลังนำเขาเข้าไปข้างใน อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกได้รับคำแนะนำเพิ่มเตมจากเสี่ยวเหวินหลีผู้คล้องแขนเขา แสงทองปรากฏขึ้นวาบหนึ่งบนคัมภีร์และหุ้มรอบตัวเย่ว์หยาง ในชั่วแว่บหนึ่งเย่ว์หยางก็หายไปไม่เหลือร่องรอย
เมื่อพวกเขากำลังเทเลพอร์ต เย่ว์หยางรู้สึกว่าเสี่ยวเหวินหลีนำเขาบินผ่านพื้นที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะท่องเที่ยวไปเป็นพันไมล์ในชั่วพริบตา
ในที่สุดเท้าของเขาก็ก้าวลงบนพื้นหลังจากไม่มีอากาศชั่วขณะหนึ่ง
หลังจากแสงสว่างวาบ เย่ว์หยางก็ตระหนักว่ามีโลกแปลกๆ อยู่ข้างหน้าเขา โลกคัมภีร์นี้ยังไม่ใหญ่นัก มีความกว้างเพียงไม่กี่กิโลเมตร เย่ว์หยางสามารถเห็นสิ่งที่อาจเป็นจุดสุดโลกคัมภีร์แนวเทือกเขาสูงแตกต่างกันรายล้อมพื้นที่ทั้งหมด เหนือจากนั้นขึ้นไป มีโดมคล้ายท้องฟ้า ท้องฟ้าสว่างมาก ไม่มีดวงดาว, ดวงจันทร์แม้แต่เมฆ มันดูหม่นทึมและสูงเพียงหนึ่งกิโลเมตร ภูเขาสูงบนภาคพื้นที่สูงที่สุดก็ราวๆ เกือบครึ่งหนึ่งของความสูงโดม
พื้นข้างล่างเต็มไปด้วยน้ำเกือบทั้งหมด พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยทะเลสาบ
มีเกาะเล็กๆ ขนาดแตกต่างอยู่ในใจกลางทะเลสาบ
บนเกาะมีแต่เต้นหญ้าและดอกไม้ และเถาวัลย์อีกจำนวนไม่มาก นอกจากนี้ยังมีต้นมะเดื่อเล็กๆ ไม่กี่ต้น ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย
น้ำใสแจ๋ว ไม่มีปลาหรือกุ้งเลย เป็นทะเลสาบที่ราบเรียบชัดใส พูดให้ถูกก็คือ นอกจากเย่ว์หยาง, เสี่ยวเหวินหลี, นางพญากระหายเลือดหง, โคเงาอาหมันและอสูรพิทักษ์อื่นๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นอาศัยอยู่ภายในโลกคัมภีร์เลย มันเป็นเพียงโลกใหม่ที่เพิ่งจะถูกสร้าง
“เรามาช่วยกันสร้างบ้านใหม่ของเรากันเถอะ!”
เย่ว์หยางยินดีอย่างยิ่ง ด้วยโลกคัมภีร์นี้ แม้ว่าจะดิบและยังเรียบง่ายมากกว่า แต่ตราบใดที่เขายังจัดการได้ มันก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปทีละขั้น ถ้าไม่มีผีเสื้อ, นก, ปลา, กุ้ง ก็ไม่น่าสนใจ เขาจะนำพวกมันมาในครั้งต่อไป ถ้าไม่มีดอกไม้หรือต้นไม้ เขาจะปลูกต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกมันเติบโตอย่างล้นเหลือ สำหรับบ้าน พวกเขาสามารถสร้างได้ทันทีที่พวกเขานำวัสดุที่จำเป็นเข้าไป
“อือ!”
เสี่ยวเหวินหลีพยักหน้าอย่างว่าง่ายแสดงถึงความปลาบปลื้มของเธอ
“มาฉีกเมฆขาวที่เป็นป้อมปราการในเทวสถานฟ้าและขนเข้าไปก็ได้ นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการของปีศาจ นั่นใช้วัสดุค่อนข้างดีเลยทีเดียว”
นางพญากระหายเลือดหงชอบอยู่ในที่สูงๆ ดังนั้นนางจึงสนใจแต่ป้อมเมฆขาวที่มนุษย์วิหคใช้อยู่อาศัย นางจะเอาไปสร้างตำหนักลอยฟ้าต่อไป
“อย่างนั้น เราจะรออะไรอยู่เล่า..”
ทันทีที่เย่ว์หยางออกคำสั่งอสูรทั้งหมดก็เริ่มทำงาน
ป้อมปีศาจถูกโคเงาและนางพญาดอกหนามมงกุฏทองร่วมกันฉีกออกมาและขนหินอัคนีเข้าไปข้างใน
แม้แต่ตั๊กแตนมรณะก็ยังช่วยงานด้วย
มีเพียงภูตควันไฟผู้ไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับการอยู่อาศัย นางมีแต่สัญชาตญาณต่อสู้ นางจ้องมองอย่างว่างเปล่าไม่รู้จะทำอย่างไร พอเห็นว่าเย่ว์หยางไม่มีเวลาสนใจนาง
นางจึงบินขึ้นไปบนยอดเขาแล้วเรียกหินหลอมเหลวสร้างบ่อภูเขาไฟขนาดเล็กแล้วอยู่อย่างสบายอารมณ์ นางก็ดูดซึมแก่นเวทจ้าวพายุในร่างนางต่อไป นางพญากระหายเลือดและเย่ว์หยางบินด้วยกันไปยังอาคารลอยฟ้าในท้องฟ้า และฉีกป้อมเมฆขาวที่มนุษย์วิหคใช้อาศัยทีละชิ้นๆ จากนั้นพวกเขาก็ขนย้ายเข้าไปในโลกคัมภีร์ โชคดีที่ชิ้นส่วนหินที่ลอยได้ก็จะลอยโดยอัตโนมัติทันทีที่มันเข้าไปในเขตวงแหวนแสง มิฉะนั้น พวกเขาคงเหนื่อยแทบตายที่พยายามจะขนย้ายทีละชิ้นๆ เข้าไปข้างใน
เย่ว์หยางรับผิดชอบฉีกผนังและรวบรวมสมบัติ สำหรับสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เขาได้ทำลายทันที เพื่อที่ว่าผู้ท้าแข่งในอนาคตจะได้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
เย่ว์หยางรู้ว่าทุกๆ เวลาช่วงหนึ่ง นักสู้แข็งแกร่งจากหอทงเทียนจะมาเติมเต็มเทวสถานสามโลกพร้อมด้วยอสูรอีกมากมาย
มันจะถูกเติมเต็มช่วงเวลาที่มันถูกใช้ไป
แน่นอนว่า คนพวกนั้นบางทีไม่สนใจว่าป้อมของมนุษย์วิหคและของปีศาจจะถูกทำลายลงไป
กำไลเก็บของของผู้นำมนุษย์วิหคและหัวหน้าปีศาจไม่เหมาะที่เย่ว์หยางจะใช้ ดังนั้นเย่ว์หยางตัดสินใจหาเวลาหลอมของทั้งสองชิ้นนี้ บางทีอาจผสานเข้ากับแหวนลิชของเขาเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของก็ได้
พอมีโลกคัมภีร์ของเขา การจัดเก็บไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป จะได้ใช้แหวนลิชได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างต่อสู้หรือช่วงเวลาที่เขาไม่สะดวกจะเรียกคัมภีร์ออกมา
เมื่ออาหง, อาหมันและอสูรอื่นๆ ยังขนของเข้าไป เย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลีออกไปรับรางวัลการผ่านด่านสุดท้ายเทวสถานฟ้า เย่ว์หยางหวังว่าคงไม่มีจำกัดเวลาสำเร็จภารกิจ มิฉะนั้นเขาคงเสียใจแทบตาย ถ้าพวกเขาถูกเตะออกจากเทวสถานฟ้าก่อนจะได้รับรางวัลก้อนสุดท้าย เมื่อเย่ว์หยางวางบัตรแก้วบนรูปปั้นยักษ์จ้าวเวหา มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษหินของรูปปั้นกระจายขึ้นฟ้าทั้งหมด ขณะที่เย่ว์หยางกันฝุ่นด้วยพลังปราณก่อกำเนิดของเขา เขาเห็นแสงสีเขียวอยู่ข้างหน้าเขา ข้างๆ ลูกกลมเรืองแสงสีเขียว ยังมีมุกที่เรืองแสงอีกลูก
มุกแยกฟ้า (เทียม) : ผู้ครอบครองสามารถแยกฟ้าเปิดประตูมิติที่ว่างเปล่า ข้อจำกัด ใช้ได้เพียงครั้งเดียว
เย่ว์หยางอึ้งอีกครั้ง รางวัลสำหรับเทวสถานฟ้าก็ยังเป็นของเทียมอีกจนได้
มองดูจากผลกระทบของมัน มุกแยกฟ้าเทียมนี้ยังมิอาจเทียบกับมุกดูดเลือดชั้นเงินด้วยซ้ำ อย่างน้อยมุกดูดเลือดก็ยังสามารถใช้ดูดเลือดได้ เมื่อฝังมันลงในอาวุธ ดังนั้นจึงเพิ่มพลังให้อาวุธเป็นยอย่างมาก ถ้าอสูรกินมุกดูดเลือด มันจะบอกความสามารถของสัตว์ที่ถูกดูดเลือดนั้นได้ อย่างไรก็ตามความสามารถในการดูดเลือดค่อนข้างน่ากลัว เพราะมันเป็นทักษะที่ขึ้นอยู่กับโอกาส
ก็คล้ายกับเนตรประหาร แต่เนตรประหารสามารถใช้ฆ่าได้ทันที ขณะที่มุกดูดเลือดใช้ได้แต่เพียงดูดเลือด
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ขาของยุงก็คือเนื้อ เย่ว์หยางไม่เคยปฏิเสธสมบัติมาก่อน ยิ่งมากยิ่งดี
เย่ว์หยางผิดหวังกับรางวัลเทวสถานสามโลกมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ รางวัลเทวสถานฟ้าที่เป็นบอลแสงเขียวเปลี่ยนใจเขาสิ้นเชิง
แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี (เขียว) : หนึ่งในห้าแสงศักดิ์สิทธิ์ ผู้ถือครอบครองแสงนี้สามารถปรับปรุงพิษได้ทั้งหมด อสูรสายพฤกษาทั้งหมดจะเพิ่มพลังได้ถึงสิบเท่า ผู้ได้รับพรแห่งแสงจะได้รับ “ร่างธรรมชาติ” ชั่วคราว
ทักษะจักษุญาณทิพย์ของเย่ว์หยางสามารถมองเห็นข้อมูลเล็กน้อยอย่างอื่น แสงเทพได้รับความเสียหายมีการผนึกไว้ถึงเก้าชั้น
นี่ก็หมายความว่าแสงศักดิ์สิทธิ์เขียวนี้ทรงพลังอยู่แล้ว ทั้งที่ได้รับความเสียหายและถูกผนึกไว้ถึงเก้าชั้น เย่ว์หยางไม่อาจคาดได้เลยว่ามันจะมีพลังขนาดไหนถ้าไม่ถูกผนึกไว้ พื้นฐานประสบการณ์ชีวิตของเย่ว์หยางก่อนหน้านี้ แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีคือสมบัติที่ข่งซวนสร้างขึ้นมาหลังจากบำเพ็ญเพียรมาหมื่นปี เล่ากันว่าแต่เดิมทีเมื่อกระแสความยุ่งเหยิงได้ห่อหุ้มเทพมหามยุรี มันได้สร้างขนนกยูงมาห้าเส้น
หลังจากนั้นเทพมหามยุรีสั่งให้ลูกศิษย์สร้างกระบี่ในตำนานห้าเล่มโดยใช้ขนนกยูงยาวหนึ่งเมตรสร้าง กระบวนการหลอมใช้เวลาหมื่นปี แม้ว่าจะสร้างจากขนนกยูง แต่กระบี่ในตำนานก็หนักพอๆ กับภูเขาทั้งลูก สำหรับพลังของมัน เมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านี้ปรากฏ หวงเฟยหู่, ฉงเฮยหู่, หลี่จิ้งและคนอื่นๆ ต่างหวาดกลัวทันทีแม้แต่เจียงจื่อหยาผู้ควงแส้เทพก็ยังไม่สามารถรับมือได้
แน่นอนว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีนี้อาจไม่ใช่ขนนกยูงของข่งซวน แต่เนื่องจากชื่อของมันคือแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี” ก็ต้องไม่ใช่สมบัติธรรมดาแน่นอน
“อาจเป็นได้ว่าข่งซวนถูกนักพรตเฒ่าเตะก้นและทำหนึ่งในขนนกยูงปลิวมาตกที่นี่?”
เย่ว์หยางเดาส่งเดช ขณะที่เขารีบเก็บของมีค่าออกไป
ความจริงเขาได้แสงศักดิ์ห้าสีเป็นรางวัลในการผ่านด่านเทวสถานสามโลก
เย่ว์หยางปลื้มใจมาก
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถมาผ่านด่านซ้ำอีกครั้งได้ มิฉะนั้นเขาอาจรวบรวมแสงศักดิ์สิทธิ์ได้ครบห้าสีก็เป็นได้
ทันทีที่เย่ว์หยางได้รับมุกแยกฟ้าและหนึ่งในแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี แสงเขียวศักดิ์สิทธิ์ เทวสถานฟ้าเริ่มสั่นสะเทือนทันที คล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นในวิหารสิบสองนักษัตร เย่ว์หยางเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือมาก ดังนั้นเขารีบสั่งให้อสูรของเขาให้ถอนกำลัง ใครจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะดึงดูดเทพผู้ยิ่งใหญ่ในหอทงเทียนมา แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจ เย่ว์หยางทิ้งหินภูเขาไฟก้อนสุดท้ายไว้ทันที ของเหล่านั้นก็มีอยู่ในวังปีศาจแดนอเวจี ถ้าเขาต้องการเพิ่ม เขาจะไปเยี่ยมเยือนราชันย์จ้าวปีศาจบารุธอีกก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นพิณ, เคียวโลหิตและอาวุธอื่นๆ ก็ได้เก็บรวบรวมไว้แล้ว อาหง, อาหมันและสาวๆ อื่นก็รีบกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์
เย่ว์หยางรอดออกมาจากกองอิฐและวิ่งออกมาจากประตูเทเลพอร์ต เกือบจะชนกับหัวหน้าองครักษ์เกราะทองข้างนอก
“เอ๋? เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?”
หัวหน้าองครักษ์เกราะทองเป็นคนละคนกับหัวหน้าองครักษ์เกราะทองที่วิหารสิบสองนักษัตร ดังนั้นเขาไม่รู้จักเย่ว์หยาง เมื่อเขาเห็นเจ้าขโมยน้อยยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็รู้สึกแปลกใจมาก
“ดูเหมือนเจ้าจะเข้าไป 2-3 ชั่วโมง เจ้ารอดชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”
“มีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างในมากเยอะแยะไปหมด ดังนั้นข้าก็เลยซ่อนตัวและผลอยหลับไปเลย ในที่สุดเมื่อข้าเห็นว่าเงียบและไม่มีความเคลื่อนไหวจากพวกสัตว์ประหลาด ข้าก็เลยลอบกลับออกมาเอง มันอันตรายมาก!”
เย่ว์หยางแสร้งทำเป็นเหมือนว่าโชคดีมากที่หนีตายออกมาได้ เมื่อหัวหน้าองครักษ์เกราะทองได้ยินเช่นนี้ ถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ และตบไหล่เย่ว์หยาง
“เจ้าโชคดีมากแล้ว! ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่าทีมที่มีสมาชิกน้อยกว่าห้าสิบคนจะผ่านด่านเทวสถานมนุษย์ได้ ร้อยละเก้าสิบของทีมจะถูกกำจัด ถือว่าปาฏิหาริย์แล้วที่เจ้าสามารถกลับออกมาจากเทวสถานมนุษย์ได้! เด็กน้อย! ต่อไปอย่าได้ทำอะไรเกินตัวอีก เจ้าจะไม่มีทางผ่านด่านตามลำพังได้อย่างแน่นอน”
“ข้ามิกล้า, ข้ามิกล้าทำอีกแล้ว...”
เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นกลัวและรีบหนีไปโดยเร็ว
“ฮ่าฮ่า, เจ้าขโมยน้อยนี่หนีได้เร็วนัก ดูเหมือนว่าเขาคงมีอุปกรณ์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่ถูกมองเห็น มิฉะนั้น เขาคงไม่มีทางหนีออกมาได้”
หัวหน้าองครักษ์เกราะทองบ่นพึมพำกับตนเอง แต่เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้และหันศีรษะกลับมาโดยเร็ว
เขามีความรู้สึกสงสัยอย่างแรงกล้า จึงเข้าไปที่ห้องซึ่งมีเสาผลึกแสดงสถานะด่านและใช้สิทธิ์ของเขาตรวจสอบรายชื่อผู้ผ่านด่าน แล้วเขาต้องตกใจแทบตายเพราะความจริงข้างหน้า
ทั้งนี้เพราะอัตราผลสำเร็จในการผ่านด่านเทวสถานสามโลกของเย่ว์หยาง มากกว่า 3000%
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจ้าเด็กนี่ผ่านด่านที่ยากกว่าปกติถึงสามสิบเท่าได้
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=335