ตอนที่ 21 -- น้ำตาแห่งโพไซดอน
ตอนที่ 21 -- น้ำตาแห่งโพไซดอน
-ที่บ้านไลเดีย
“นี่บ้านของฉันเอง!”
”
เมื่อผมมาถึงหน้าบ้านของไลเดีย มันดูเหมือนว่าเธอเป็นเจ้าของร้านดอกไม้
ไม่สิ เมื่อมองดูภายในร้านของเธอดีๆ ก็จะเห็นทั้งขวานและกระบองวางเรียงรายพร้มอกับมีป้ายราคาติดอยู่
“นี่คือร้านดอกไม้? หรือว่าร้านอาวุธ? แบบไหนกันแน่?”
”
“ทั้งคู่นั่นแหละ เพราะว่าฉันรักทั้งดอกไม้แล้วก็อาวุธจ้า”
”
เฮ่ย เฮ่ย
ร้านแบบนี้มันโอเคจริงๆหรอ? ขณะที่ผมกำลังคิดแบบนั้นผมก็เดินเข้าไปในร้าน ซึ่งภายในดูเจริญหูเจริญตาจริงๆ
มีทั้งลูกค้าที่กำลังมองหาอาวุธ และลูกค้าที่กำลังเลือกช่อดอกไม้อยู่
อาวุธกับดอกไม้ สินค้าทั้งคู่ล้วนมีคุณภาพสูง แถมยังมีความเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด
เป็นการจัดสินค้าที่ดูแปลกตามาก
“เชิญจ้า! เชิญจ้า!”
”
ไลเดียทักทายลูกค้าของตัวเองด้วยเสียงที่ร่าเริง เมื่อผมเดินตามไลเดียเข้าไปด้านในร้าน ซึ่งมีคนร่างใหญ่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์กำลังเรียกพวกเรา
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไลเดีย”
”
“กลับมาแล้วค่า พ่อ”
”
พุงของเขายื่นออกมาจากท้อง เขาอ้วนมากพอๆกับความสูงเลย ผมว่าไลเดียเองก็สูงมากแล้วนะ แต่พ่อของเธอกลับสูงแบบคนละเรื่องกันเลยทีเดียว
อย่างที่คิด พ่อเป็นไง ลูกเป็นอย่างนั้น
“หืมม? เจ้าหนู่นี่ใคร?”
”
“อ๊ะ เขาชื่อเซฟคุง, ถึงจะตัวเล็กแค่นั้นแต่ก็เป็นนักผจญภัยจริงๆนะ”
”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
”
พ่อของเธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่เฉียบแหลมเหมือนกับเหยี่ยว
“...ไม่ใช่ว่านี่เป็นแฟนใหม่ของลูกหรอกเรอะ?”
”
“บาก๊าาา! ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย!”
”
เธอแลบลิ้นออกมา แล้วยื่นมือมาทางผมดูยั่วยวนมาก
แล้วเธอก็จูงมือผมเดินเข้าไปด้านในของบ้าน
เมื่อพ่อของเธอเห็นฉากนี้แล้ว ดูเหมือนเขาจะกัดฟันกรอด
พวกเราเดินผ่านทั้งเตาหลอมกับหม้อต้มใบเล็กๆ, มันเป็นโรงตีเหล็กที่มีทั้งวัตถุดิบเหล็กและไม้สูงกองเป็นพะเนิน
“นี่คือที่ๆเราใช้สร้างอาวุธต่างๆจ้า”
”
“เจ๋งไปเลย อุปกรณ์ทุกอย่างเป็นของคุณภาพสูงทั้งนั้น”
”
“ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่มันใช้วัตถุดิบทั้งหมดที่พ่อรวบรวมมาหลายปีเลยนะ”
”
แม้ผมจะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่มือสมัครเล่นอย่างผมยังเห็นเลยว่า อุปกรณ์พวกนี้จะต้องขายได้เงินจำนวนมากแน่นอน
การที่สามารถสร้างอาวุธเลี้ยงตัวเองได้แบบนี้ พ่อของเธอจะต้องเป็นคนที่มีทักษะสูงพอสมควร
“ยังไงก็ตาม ฉันอยากจะแน่ใจอะไรบางอย่าง, เซฟคุง เธอเป็นนักเวทย์จริงๆใช่ไหม? แถมยังเก่งอีกต่างหาก”
”
“...เธอรู้ได้ไง? ผมว่าผมยังไม่เคยบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยนะ”
”
“อืม มันเป็นลางสังหรณ์นะ, ก็แค่การคาดเดา”
”
ผมจ้องไปที่เธอด้วยแววตาที่ดูระแวดระวัง แต่เธอกลับตอบคำถามผมซื่อๆ
อืม….เธอช่างเป็นคนที่ลึกลับจริงๆ (อ่านเธอไม่ออกเลย)
“อืม อีกอย่างคือ ดูเหมือนเธอจะปล่อยออร่าแปลกๆเหมือนกับนักเวทย์ที่แข็งแกร่งจริงๆ คิดว่าพ่อของฉันเองก็สัมผัสได้นะ?”
”
พ่อลูกคู่นี้ช่างเป็นคนที่มีสายตาเฉียบคมจริงๆ
แม้จะไม่สามารถมองเห็นค่าพลังเวทย์ที่แท้จริงของผมได้หากไม่ใช้สเกาท์สโคป, แต่นักผจญภัยที่มีฝีมือจะสามารถ ‘สัมผัส’ พลังเวทย์ของผมได้โดยที่พวกนั้นไม่มีพลังเวทย์เลย
นั่นหมายความว่า ทั้งไลเดียและพ่อของเธอต่างก็เป็นนักผจญภัยที่ยอดเยี่ยม
“สิ่งที่ฉันอยากจะคุยกับเธอเกี่ยวกับ”
”
แล้วเธอก็ขัดขบวนแห่งความคิดของผม ด้วยเรื่องเล่าของตัวเองต่อ
ให้ตายสิ เธอช่างเป็นคนช่างพูดจริงๆ
“คืนนี้ จะมีพวกนิปเปอร์จำนวนมากอยู่ในถ้ำข้างๆชายหาด, และฉันอยากให้เธอมาช่วยฉันสักหน่อย”
”
นิปเปอร์เป็นปีศาจที่มีเปลือกสีแดงขนาดใหญ่บนหลังและมีก้ามปูที่เหมือนกับกรรไกรขนาดใหญ่
มันไม่ค่อยจะให้ค่าประสบการณ์เท่าไหร่ แต่ว่าบางครั้งปีศาจนิปเปอร์จะดรอปไอเท็มที่ชื่อว่า “น้ำตาแห่งโพไซดอน” ซึ่งเป็นอัญมณีหรูหราที่มักขายได้ราคาสูง
ปกติแล้วปีศาจพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะพบเจอเป็นจำนวนมากได้บ่อยๆ แต่อาจเป็นไปได้ว่าไข่ของพวกมันถูกกระแสน้ำพัดขึ้นมาบนชายฝั่ง โดยพวกมันเริ่มปรากฎตัวขึ้นจำนวนมากและเริ่มมองหาอาหาร จริงๆแล้วดันเจี้ยนถือเป็นสถานที่ๆเหมาะสมในเมื่อที่นั่นมีพลังเวทย์จำนวนมากไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา หลายปีผ่านไป มันก็ดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ปรากฎขึ้นในดันเจี้ยน
“หากฉันไปคนเดียวล่ะก็ คงจะล่ามันได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่ฉันคิดว่าหากมีนักเวทย์ที่ทรงพลังอย่างเซฟคุงไปด้วยล่ะก็ พวกเราก็สามาารถจัดการพวกมันทั้งงหมดได้ในครั้งเดียว!”
”
“ผมเองก็คิดว่า การล่านิปเปอร์น่าจะได้กำไรแน่นอน, ยิ่งมีจำนวนมากขนาดนั้นปรากฎขึ้นมาแล้วด้วย มันยิ่งทำให้ได้กำไรมากขึ้นอีก, แต่ไม่ใช่ว่ามีนักผจญภัยจำนวนมากพยายามจะแย่งชิงส่วนแบ่งหรอกหรอ? ถ้ามีนิปเปอร์มากขนาดนั้นจริงๆก็ต้องใช้เวทย์หมู่ที่มีระยะกว้างจัดการ แต่หากมีคนอยู่แถวนั้นมากๆ ผมก็ร่ายเวทย์หมู่ที่กว้างแบบนั้นโดยไม่ถูกขัดขวางไม่ได้”
”
หากพวกเราจัดการปีศาจได้ พวกเราก็จะได้รับไอเท็มมา แต่หากมีนักผจญภัยคนอื่นที่กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์เหล่านั้น แล้วได้ทำความเสียหายจำนวนมากใส่มอนสเตอร์ตัวนั้น คนที่ทำความเสียหายมากที่สุดจะมีสิทธิ์ที่จะเก็บไอเท็มที่ดรอปและค่าประสบการณ์โดยอัตโนมัติ
ไอเท็มนั้นสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ถ้าจำเป็น แต่ค่าประสบการณ์นั้นไม่สามารถแบ่งกันได้
เพราะเหตุนั้นมันถึงเป็นปัญหา ซึ่งสมาพันธ์จอมเวทย์ได้ห้ามการแย่งฆ่ามอนสเตอร์ ถึงขึ้นบัญญัติเป็นกฎหมายห้ามการกระทำดังกล่าว
โดยมีข้อยกเว้นเดียวคือ มอนสเตอร์ระดับบอสเท่านั้น ที่จะสามารถร่วมมือกันได้ เมื่อได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการ หากการต่อสู้กับมอนสเตอร์ด้วยตัวเองนั้นเสี่ยงมากเกินไป
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงไม่ค่อยชอบนักเวทย์ที่ใช้เวทย์หมู่ในการโจมตี
“เมื่อคิดถึงเรื่องน้ันแล้ว มันน่าจะไม่เป็นไร, ที่นั่นเป็นสถานที่ลับที่ไม่มีใครรู้”
”
“จริงหรอ?”
”
“ฉันเคยไปเล่นในถ้ำนั่นตั้งแต่เด็ก ดังนั้นฉันก็พอจะรู้ทางลับมาบ้าง, อ๊ะ แต่เธอห้ามบอกใครเรื่องนี้นะ เข้าใจไหม?”
”
“ตกลง, แล้วเราจะแบ่งกันยังไง?”
”
“เธอพอใจกับครึ่งครึ่งไหมล่ะ? ยังไงซะ ฉันก็เป็นคนนำเธอไปในถ้ำนี่”
”
“นั่นก็จริงนะ ผมไม่ว่าอะไรหรอก”
”
หากผมไปด้วยตัวเองล่ะก็ ผมคงไม่รู้ทางหรอก ยิ่งกว่านั้น จำนวนไอเท็มที่ผมสามารถเก็บในกระเป๋าเวทย์มนต์เองก็มีจำกัด ตัวเลือกนี้ถือเป็นข้อตกลงที่ดีสำหรับผมน่ะนะ
“ถ้าเราต้องมาเจอกันคืนนี้ แบบนั้นผมต้องรีบเตรียมตัวทันที ผมยังต้องไปตั้งร่านแผงลอยก่อน, จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะมาที่นี่ค่ำหน่อย?”
”
“อา~ ไม่เป็นไร, เซฟคุง ถ้าเธอสนใจล่ะก็ ฉันอนุญาตให้เธอขายไอเท็มของตัวเองที่ร้านของฉันก็ได้นะ คิดว่าไง?”
”
“เธอเอาจริงดิ? นั่นช่วยผมได้มากทีเดียว”
”
หากเปรียบเทียบการตั้งร้านแผงลอยกับร้านค้า โอกาสที่ไอเท็มของผมจะขายได้ในร้านของเธอย่อมมีมากกว่าเยอะ, ที่นี่มีลูกค้าจำนวนมากที่กำลังมองหาอาวุธ แถมยังมีแถวลูกค้าที่กำลังดูเครื่องประดับด้วย
“เรื่องค่าธรรมเนียม...เธอคิดว่าไง?”
”
“...นั่นมันไม่ถูกไปหน่อยหรอ?”
”
“ถ้ามันแพงเกินไป มันก็อาจจะขายไปไม่ออก, นอกจากนี้มันยังไม่ใช่เครื่องประดับที่มีคนต้องการซื้อมากนัก ฉันคิดว่าจำเป็นต้องปรับราคาให้ต่ำกว่าตลาดนิดหน่อย”
”
“อืมม ตกลงตามนั้น ผมฝากเธอด้วยนะ”
”
ยังไงซะไลเดียก็เป็นโปรในเรื่องการค้าขาย
อย่างที่คิดมันน่าจะดีกว่า ถ้าผมฟังคำแนะนำจากเธอ
นี่น่าจะมีประสิทธิภาพกว่า
“เอาล่ะ หลังจากที่ผมกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ผมจะกลับมาเจอเธออีกครั้ง”
”
“ถ้าเธอมาสาย มันจะไม่ทันรถไฟนะ มากินอาหารเย็นที่นี่คืนนี้เป็นไง? ถ้าเธอไม่ต้องเตรียมอะไรอย่างอื่นอีกนะ?”
”
“อืมม ถ้าเธอว่ามาแบบนั้น ผมก็….”
”
“เป็นอันตกลง~ เอาตามนี้!”
”
ด้วยเหตุนั้น ก็กลายเป็นว่าผมกำลังจะกินอาหารเย็นที่บ้านของไลเดียคืนนี้
ตอนนี้ไลเดียกำลังสวมผ้ากันเปื้อนในขณะที่กำลังถือมีดทำครัวอยู่
ฉับฉับ เสียงสับมีดกับเสียงฮัมเพลงที่ไพเราะของไลเดียได้รวมกันเป็นท่วงทำนอง สร้างบรรยากาศสบายๆไปทั่วห้องครัว
จริงๆผมใช้เทเลพอร์ตกลับบ้านไปครู่หนึ่ง เพื่อบอกกับแม่ว่าคืนนี้ผมจะกลับบ้านช้า
แล้วตอนนั้นเอง แม่ก็บอกว่าวันนี้มิลลี่มาหาผมที่บ้านอยู่หลายครั้ง
ผมสงสัยว่าผมได้ทำอะไรที่ไม่ดีไปหรือเปล่า? ผมจะไปขอโทษเธอทีหลัง…
“ขอบใจที่รอ~”
”
ไลเดียนำหม้อสตูว์ร้อนๆออกมาทั้งๆที่ยังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่
เพราะว่าเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่มันสั้นจุ๊ดจู๋ จนผมกำลังคิดว่าเธอใส่แค่ผ้ากันเปื้อนผืนเดียว
….บอกตามตรง ผมไม่รู้ว่าจะมองไปตรงไหนดี
“หุหุหุ เป็นไงบ้าง? เซฟคุง ไลเดียลูกสาวฉัน มีรูปร่างดีสุดๆเลยใช่ไหมล่ะ?”
”
“พ่อก็! บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้หยุดพูดเรื่องหยาบโลนแบบนั้นซะที?”
”
ในตอนที่พ่อของเธอกำลังหัวเราะอยู่ เธอก็เทน้ำร้อนในหม้อลงหัวพ่อตัวเอง
“ร้อนโว้ยย~~!?”
”
กระหม่อมของพ่อเธอเริ่มมีพื้นที่โล่งที่ถูกย่างเกรียมพร้อมกับควันขโมงออกจากหัว
อืม คะ-โคตรโหดเลย…
“อ้ะ ขอโทษค่า~ มือมันลั่น♪”
”
“กรรร ไลเดีย...พ่อมักจะปราณีเพราะเห็นว่าลูกเป็นลูกสาวที่น่ารักของพ่อ แต่วันนี้มันจะจบลง…”
”
พ่อของเธอยืนขั้น ส่วนไลเดียเองก็วางหม้อร้อนๆลงบนโต๊ะแล้วตั้งท่าเช่นกัน
ทั้งคู่ยังคงจ้องกันไปมา
ในตอนที่ผมวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
ทั้งคู่ก็ได้รัวหมัดใส่กัน ถากแก้มของอีกฝ่ายไป
...หมัดของพวกเขารวดเร็วจนผมไม่สามารถมองออกได้ทั้งหมด
พวกเขาสามารถหลบหมัดของอีกฝ่ายในระยะใกล้ขนาดนี้ได้
“เป็นหมัดที่ไม่เลวนี่ ไลเดีย”
”
“เมื่อมีลูกค้าอยู่ที่นี่ พ่อควรจะหยุดพูดเรื่องคุกคมทางเพศพวกนั้นนะ”
”
“โฮ่...ลูกจะบอกว่าถ้าไม่มีลูกค้า พ่อจะพูดอะไรแบบนั้นก็ได้ใช่ไหม?”
”
“แน่นอนว่า ไม่------!”
”
...และแล้วทั้งสองคนก็เดินออกจากโต๊ะและต่อสู้กันอย่างอุตลุด
จนถึงระดับที่คนอื่นเริ่มสังเกตุเห็น….
ถ้านี่คือวิธีที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ ก็ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะแกร่งได้ขนาดนั้น
การล่าของผมกับไลเดีย
ดูท่าเธอจะพึ่งพาได้มากกว่าที่เห็น
==========
อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร
==========
ติดตามข่าวสารและตอนใหม่ๆได้ก่อนใครที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/