ตอนที่แล้วตอนที่ 18 -- ราชาแห่งความตาย ตอนจบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 20 -- ไลเดีย

ตอนที่ 19 -- กลับบ้าน


ตอนที่ 19 -- กลับบ้าน

 

“เราทำได้~! เราทำได้~! เราทำได้~!”

 

มิลลี่ดีใจกระโดดโลดเต้น

 

ผมมองเห็นทั้งความประหม่าและดีใจภายในนัยน์ตาของเธอ

 

อืม ตอนนี้ที่ผมต้องทำก็คือลูบหัวเธอ และในตอนที่ผมลูบหัว ประกายในนัยน์ตาของเธอก็ค่อยๆสงบลง

 

ผมยังจำตอนที่ผมเอาชนะบอสครั้งแรกได้ ในตอนนั้นผมเป็นส่วนหนึ่งของคณะสำรวจ พวกเราดื่มฉลองกันข้ามวันข้ามคืน

 

ดังนั้นสิ่งที่มิลลี่กำลังรู้สึกในตอนนี้ ผมจึงเข้าใจเป็นอย่างดี

 

“เอาล่ะ งั้น…”

 

ผมหนีออกจากอ้อมกอดของมิลลี่และเดินไปยังที่ซึ่งราชาแห่งความตายสลายไป มีของสิ่งหนึ่งที่กำลังสะท้อนแสงอยู่ในกองไอเท็ม

 

มันคือแหวน

 

“แหวนกระดูกงูงั้นหรอ?”

 

บอสนั้นมีโอกาสที่จะดรอปไอเท็มหายาก ซึ่งพลังของไอเท็มหายากนั้นไม่อาจนำมาเทียบกับของที่ดรอปจากมอนสเตอร์ธรรมดาๆได้

 

ราคาเองก็เช่นกัน

 

แหวนกระดูกงูนั้นมีค่าเกือบเป็นสองเท่าของแหวนที่ผมได้มาจากไลเดียซะอีก

 

โชคดีชะมัด

 

“หวา! แหวนกระดูกงู!”

 

เมื่อเห็นแหวนกระดูกงูที่ผมหยิบขึ้นมา มิลลี่ก็ส่งเสียงดีใจออกมา

 

“นายจะทำยังไงกับมัน?”

 

“ผมจะเอามันไปขาย, ผมไม่ต้องการของสองอย่างที่เหมือนกัน”

 

ผมหยิบกระเป๋าเวทย์มนต์ออกมา และในตอนที่ผมกำลังจะใส่แหวนลงไป มิลลี่ก็จับมือผมด้วยสองมือของเธอ

 

“ฉะ-ฉันอยากได้มัน!”

 

ผมเองก็คิดว่าเธอจะต้องพูดแบบนั้น

 

ในตอนที่มองมัน ตาของเธอก็เป็นประกายตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

 

“ตกลง แต่ว่าสิ่งนี้สามารถหาเงินให้เราได้มาโขเลยนะ เธอรู้ไหม?”

 

“งั้นชั้นจะให้เจ้านี่เป็นการแลกเปลี่ยน~!”

 

มิลลี่ยื่นไม้เท้าสั้นที่มีคริสตัลสีฟ้าติดอยู่ตรงปลายด้านบน

 

-มันคือคริสตัลร็อด (Crystal Rod)

 

ไม้เท้าอันนั้นสามารถขยายพลังของเวทย์มนต์สายสีฟ้าได้ มันจึงมีราคาสูงมาก

 

น่าจะเกือบสามเท่าของราคาแหวนกระดูกงู

 

“มิลลี่ เธอรู้ไหมว่าสิ่งนี้มีค่ามากขนาดไหน?”

 

“นะ-แน่นอนสิ ชั้นรู้!”

 

มิลลี่พูดออกมาพร้อมกับหน้าแดง และดันคริสตัลร็อดใส่อกของผม

 

ไม่ว่ายังไงก็จะทำเอาสิ่งที่อยากได้สินะ

 

โอ้ เด็กน้อยนี่จะน่ารักไปไหน

 

บางทีเธอคงจะกลัวเล็กน้อยหรือมีอะไรสักอย่าง แค่ดวงตาของเธอเริ่มเปียกชื้นแล้ว

 

ผมถอนหายใจออก แล้วยื่นไปกุมมือเธอ

 

เธอทำหน้างุนงงแล้วเบิกตากว้างพร้อมกับทำเสียง *พา~า~โตะ*

 

ผมสวมแหวนกระดูกงูลงบนนิ้วของเธอ แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นดีใจในทันที, เธอเริ่มจ้องมาที่ผมจากมุมต่างๆ

 

ผมละแปลกใจว่าทำไมเธอถึงดีใจขนาดนั้น

 

“ผมเดาว่า การใส่อุปกรณ์ที่เข้าคู่กันน่าจะให้ความรู้สึกที่ดี แม้ว่าประสิทธิภาพของมันจะงั้นๆก็เถอะ”

 

“~♪”

 

เธอไม่ได้ฟังเลย….

 

เฮ้อ ยังไงก็ตาม

 

ผมรู้สึกราวกับเป็นปู่ที่กำลังให้ของเล่นชิ้นใหม่กับหลายเลยแฮะ

 

ผมไม่เคยมีลูกด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานเลย แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอกนะ

 

ผมเดินเข้าไปลูบหัวเธอ พร้อมกับหัวเราะด้วยใบหน้าที่มอมแมม *เฮะ เฮะ เฮะ*

 

-ตอนนี้เรามาดูกำไรที่ได้จากวันนี้กัน

 

พวกเราใช้โพชั่นฟื้นฟูพลังเวทย์(ใหญ่) ไปเก้าขวด แต่ละขวดใช้โพชั่นฟื้นฟูพลังเวทย์ห้าขวดในการเตรียม ซึ่งแต่ละขวดมีค่า 1000 รูปี ทั้งหมดก็ 45000 รูปี

 

ตอนนี้เหลือเพียงขวดเดียว…. อืม ผมว่าผมก็ทำได้ดีในการต่อสู้กับตัวแบบนั้นในเลเวลเท่านี้ล่ะนะ

 

ในเมื่อเราจะใช้สิ่งนี้ นั่นหมายความว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

 

ในเมื่อเอาแหวนกระดูกงูให้มิลลี่ รายได้ของพวกเราก็เป็น 0 รูปี….

 

รวมทั้งหมดก็คือ -45000 รูปี

 

ราชาแห่งความตายคือมอนส์เตอร์ที่ผมเคยเจอในดันเจี้ยนชั้นล่างๆที่ผมเคยพิชิตเมื่อนานมาแล้ว

 

พวกเราสามารถจัดการมันได้ง่ายกว่านี้ ถ้ามีคนที่สามน่ะนะ

 

หากไม่มีแรงกดดันที่ต้องหนีอยู่ตลอดเวลาล่ะก็ การจัดการบอสก็คงไม่มีเหงื่อออกแม้แต่หยดเดียว

 

ไทม์สแควร์ดูเหมือนจะนำมาประยุกต์ใช้ได้มากกว่าที่คิดแฮะ

 

พลังของเรดซีโร่ x 4 นั่นอันตรายจริงๆ

 

หากยิงด้วยพลังระดับนี้ หากผมมีเลเวล 90 ผมสามารถจัดการบอสระดับต่ำด้วยการยิงเพียงครั้งเดียวได้

 

อืม แต่ยังไงก็ตาม ผมยังต้องคำนวณความเข้ากันของคุณสมบัติ, ปริมาณพลังเวทย์ที่ใช้ และอื่นๆ

 

ผมตั้งตาคอยที่จะได้ใช้มันในอนาคต

 

เมื่อผมจินตนาการถึงพลังของตัวเองหลังจากที่ฝึกฝนอย่างเต็มที่ ผมก็หัวเราะแปลกๆออกมา

 

มิลลี่ที่จ้องแหวนกระดูกงูเองก็กำลังหัวเราะร่าเช่นกัน

 

เสียงหัวเราะที่น่าขยะแขยงของเด็กทั้งสองดังก้องไปทั่วสุสาน

 

หากมีคนอื่นมาเห็นพวกเราในตอนนี้ พวกเขาคงจะงุนงงกับภาพอันแปลกประหลาดที่ได้เห็น

 

หลังจากนั้นสักพัหนึ่ง พวกเราก็เดินออกจากโบสถ์แห่งความเสื่อม

 

-ระหว่างทางกลับบ้าน

 

ในเมื่อเราไม่มีอารมณ์ที่จะใช้เทเลพอร์ตกลับบ้าน พวกเราก็เดินคู่กันไปพร้อมกับคุยเรื่องการต่อสู้ก่อนหน้านี้

 

“นั่นมันสุดยอดไปเลย! สามารถสร้างเวทย์มนต์เฉพาะของตัวเองขึ้นมาได้นี่มันยอดจริงๆ! ถ้าหากนั่นไม่ได้ทำให้นายไร้เทียมทานล่ะก็ แล้วอะไรล่ะ?”

 

“ถ้าเธอพูดแบบนั้น… มันก็น่าจะป็นเวทย์ที่ดี แต่มันใช้พลังเวทย์ทั้งหมดที่มี ดังนั้นจึงใช้บ่อยๆไม่ได้”

 

*คุคุคุ* ผมหัวเราะออกมาในตอนที่มิลลี่เคาะไหล่ผม

 

“ไทม์สแควร์...สินะ? เวทย์นั้น ชั้นใช้ด้วยไม่ได้หรอ?”

 

ผมคิดไว้แล้วว่าเธอจะต้องพูดเรื่องนี้ออกมา….

 

“โชคร้ายที่ไม่มีใครใช้ไทม์สแควร์ได้นอกจากผม… มิลลี่ ไทม์สแควร์คือเวทย์เฉพาะตัวที่สามารถหยุดเวลาได้ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น, เวทย์เฉพาะตัวสามารถถ่ายทอดผ่านม้วนคัมภีร์ได้ แต่ว่าประสิทธิภาพของมันจะลดลง ถึงแม้ว่าเธอจะใช้ได้ แต่มันอาจจะอ่อนลงจนไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฝึกก็ได้”

 

อีกอย่างผมไม่มีเวลาว่างมาทำม้วนคัมภีร์เวทย์ซะด้วยสิ

 

“อะไรนะ งั้นชั้นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากสร้างไทม์สแควร์ของตัวเองขึ้นมาสินะ?”

 

“เวทย์เฉพาะตัวนั้นถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของผู้สร้าง ‘ความชื่นชอบ’ ที่ต่างกันเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการสร้าง, ไทม์สแควร์เป็นเวทย์เฉพาะตัวที่สร้างขึ้นโดยผมที่คิดแต่เรื่องของเวลาเท่านั้น, ดูยังไงบุคลิกของเธอก็ไม่สามารถเข้ากับมันได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสร้างมันขึ้นมา, เธอควรจะจำเรื่องนี้ไว้ในอนาคตด้วย”

 

หวังว่าเธอจะเข้าใจเรื่องนี้นะ

 

มิลลี่พยักหน้าให้ผมพูดต่อ

 

“เพื่อที่จะสร้างเวทย์เฉพาะตัว ความเข้ากันได้กับคนนั้นกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเวลาในการพัฒนา, แทนที่จะลอกเลียนแบบผู้อื่น สู้สร้างอะไรสักอย่างที่เธอต้องการจะดีกว่า, ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปสำหรับเธอที่จะสร้างเวทย์เฉพาะตัวของตัวเอง, เธอควรจะทำหลังจากโตกว่านี้สักหน่อย”

 

ผมพูดพร้อมกับลูบหัวมิลลี่

 

“มู~~ ไหงนายชอบทำเหมือนชั้นเป็นเด็กล่ะ? นายอายุเท่าไหร่กันแน่ เซฟ?”

 

เมื่อได้ยินคำถามของมิลลี่ มือของมก็หยุดทันที

 

ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ควรใช้มากเกินไปซะแล้ว

 

“ไม่ใช่ว่านายอายุเท่าๆกับชั้นหรอ? พวกเราเป็นใคร เด็กอายุ 13 ไม่ใช่หรอ? ถ้านายเริ่มสร้างเวทย์เฉพาะตัวของนายในไม่กี่ปี…. แล้วนายเริ่มฝึกเวทย์มนต์ตอนอายุเท่าไหร่กันแน่?”

 

“….ยังไงก็ตาม ผมต้องรีบกลับบ้านแล้ว ไม่งั้นแม่จะเป็นห่วงเอา…”

 

ผมวิ่งหนีมิลลี่ในตอนที่พูด

 

“อ๊ะ~! นี่~! รอฉันด้วยสิ!”

 

ผมได้ยินเสียงของมิลลี่ดังมาจากด้านหลัง เหมือนว่าเธอจะเทเลพอร์ตตามหลังผมมา

 

ในตอนที่ผมปัดมือเธอออก ผมก็ใช้เทเลพอร์ตทันที

 

หลังจากพูดเรื่องไม่จำเป็นมากเกินไป ผมก็ถูกไล่ตามจนกระทั่งพวกเรากลับมาถึงนานามิ

 

อืม อย่างน้อยดูเหมือนมิลลี่จะกลับเป็นตัวของตัวเองแล้ว

 

เธอกลับมามีสีหน้าที่สดใสอีกครั้ง

 

ตอนนี้ เป้าหมายของเราคือการหาเงิน

 

ผมอยากจะซื้ออุปกรณ์ราคาแพงบางอย่างถ้ามันมีขาย

 

และเรายังต้องการโพชั่นฟื้นพลังไม่จำกัดอีกด้วย

 

โชคดีที่ผมยังพอมีเครื่องประดับที่ได้จากกองคาราวาน เหลืออยู่บ้าง

 

ผมไม่จำเป็นต้องตั้งร้านแผงลอยอีก

 

ที่นั่นมีเด็กสาวช่างตีดาบอยู่… ไลเดียมั้ง? ผมรู้สึกได้ว่าเธอเป็นแม่ค้าที่ยอดเยี่ยม

 

เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ

 

เธอเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

 

มันก็ไม่เลวที่จะไปพบเธออีกครั้ง

 

ผมสงสัยว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปที่เมืองแห่งการค้าเบริต้าอีก

 

ในตอนที่ผมคิดอะไรเพลินๆแบบนั้น ผมก็มาถึงนานามิ

 

ก่อนที่ผมจะถูกมิลลี่เจอตัว ผมรีบเทเลอร์ตกลับบ้าน

 

ผมแน่ใจว่าเธอไม่ตามผมมาไกลขนาดนี้แน่อ

 

“กลับมาแล้วครับ”

 

“โอ้ ยินดีต้อนรับจ้ะ เซฟ, มิลลี่จัง”

 

เดี๋ยวนะ แม่พึ่งพูดว่า… มิลลี่จังงั้นหรอ?

 

ผมหันกลับไปและมองเห็นมิลลี่ที่กำลังทำหน้าเหมือนจะพูดว่า ‘ชั้นชนะ!’

 

“หนูอยากจะมากินข้าวเย็นกับพวกเราไหมจ้ะ~?”

 

“ค่า~! ขอบคุณที่เลี้ยงค่า~!”

 

เฮ้ หยุดเลยนะยัยบ๊อง

 

พวกเรากินอาหารเย็นกันสามคนก่อน, ในขณะเดียวกันผมต้องเผชิญกับคำถามที่ถูกระดมยิงจนถึงดึกดื่น ซึ่งใครบางคนเข้ามาจู่โจมในห้องของผมโดยไม่ได้รับอนุญาตและ….

 

==========

 

อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร

 

==========

 

ติดตามข่าวสารและตอนใหม่ๆได้ก่อนใครที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด