ตอนที่ 19 -- กลับบ้าน
ตอนที่ 19 -- กลับบ้าน
“เราทำได้~! เราทำได้~! เราทำได้~!”
”
มิลลี่ดีใจกระโดดโลดเต้น
ผมมองเห็นทั้งความประหม่าและดีใจภายในนัยน์ตาของเธอ
อืม ตอนนี้ที่ผมต้องทำก็คือลูบหัวเธอ และในตอนที่ผมลูบหัว ประกายในนัยน์ตาของเธอก็ค่อยๆสงบลง
ผมยังจำตอนที่ผมเอาชนะบอสครั้งแรกได้ ในตอนนั้นผมเป็นส่วนหนึ่งของคณะสำรวจ พวกเราดื่มฉลองกันข้ามวันข้ามคืน
ดังนั้นสิ่งที่มิลลี่กำลังรู้สึกในตอนนี้ ผมจึงเข้าใจเป็นอย่างดี
“เอาล่ะ งั้น…”
”
ผมหนีออกจากอ้อมกอดของมิลลี่และเดินไปยังที่ซึ่งราชาแห่งความตายสลายไป มีของสิ่งหนึ่งที่กำลังสะท้อนแสงอยู่ในกองไอเท็ม
มันคือแหวน
“แหวนกระดูกงูงั้นหรอ?”
”
บอสนั้นมีโอกาสที่จะดรอปไอเท็มหายาก ซึ่งพลังของไอเท็มหายากนั้นไม่อาจนำมาเทียบกับของที่ดรอปจากมอนสเตอร์ธรรมดาๆได้
ราคาเองก็เช่นกัน
แหวนกระดูกงูนั้นมีค่าเกือบเป็นสองเท่าของแหวนที่ผมได้มาจากไลเดียซะอีก
โชคดีชะมัด
“หวา! แหวนกระดูกงู!”
”
เมื่อเห็นแหวนกระดูกงูที่ผมหยิบขึ้นมา มิลลี่ก็ส่งเสียงดีใจออกมา
“นายจะทำยังไงกับมัน?”
”
“ผมจะเอามันไปขาย, ผมไม่ต้องการของสองอย่างที่เหมือนกัน”
”
ผมหยิบกระเป๋าเวทย์มนต์ออกมา และในตอนที่ผมกำลังจะใส่แหวนลงไป มิลลี่ก็จับมือผมด้วยสองมือของเธอ
“ฉะ-ฉันอยากได้มัน!”
”
ผมเองก็คิดว่าเธอจะต้องพูดแบบนั้น
ในตอนที่มองมัน ตาของเธอก็เป็นประกายตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
“ตกลง แต่ว่าสิ่งนี้สามารถหาเงินให้เราได้มาโขเลยนะ เธอรู้ไหม?”
”
“งั้นชั้นจะให้เจ้านี่เป็นการแลกเปลี่ยน~!”
”
มิลลี่ยื่นไม้เท้าสั้นที่มีคริสตัลสีฟ้าติดอยู่ตรงปลายด้านบน
-มันคือคริสตัลร็อด (Crystal Rod)
ไม้เท้าอันนั้นสามารถขยายพลังของเวทย์มนต์สายสีฟ้าได้ มันจึงมีราคาสูงมาก
น่าจะเกือบสามเท่าของราคาแหวนกระดูกงู
“มิลลี่ เธอรู้ไหมว่าสิ่งนี้มีค่ามากขนาดไหน?”
”
“นะ-แน่นอนสิ ชั้นรู้!”
”
มิลลี่พูดออกมาพร้อมกับหน้าแดง และดันคริสตัลร็อดใส่อกของผม
ไม่ว่ายังไงก็จะทำเอาสิ่งที่อยากได้สินะ
โอ้ เด็กน้อยนี่จะน่ารักไปไหน
บางทีเธอคงจะกลัวเล็กน้อยหรือมีอะไรสักอย่าง แค่ดวงตาของเธอเริ่มเปียกชื้นแล้ว
ผมถอนหายใจออก แล้วยื่นไปกุมมือเธอ
เธอทำหน้างุนงงแล้วเบิกตากว้างพร้อมกับทำเสียง *พา~า~โตะ*
ผมสวมแหวนกระดูกงูลงบนนิ้วของเธอ แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นดีใจในทันที, เธอเริ่มจ้องมาที่ผมจากมุมต่างๆ
ผมละแปลกใจว่าทำไมเธอถึงดีใจขนาดนั้น
“ผมเดาว่า การใส่อุปกรณ์ที่เข้าคู่กันน่าจะให้ความรู้สึกที่ดี แม้ว่าประสิทธิภาพของมันจะงั้นๆก็เถอะ”
”
“~♪”
”
เธอไม่ได้ฟังเลย….
เฮ้อ ยังไงก็ตาม
ผมรู้สึกราวกับเป็นปู่ที่กำลังให้ของเล่นชิ้นใหม่กับหลายเลยแฮะ
ผมไม่เคยมีลูกด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานเลย แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอกนะ
ผมเดินเข้าไปลูบหัวเธอ พร้อมกับหัวเราะด้วยใบหน้าที่มอมแมม *เฮะ เฮะ เฮะ*
-ตอนนี้เรามาดูกำไรที่ได้จากวันนี้กัน
พวกเราใช้โพชั่นฟื้นฟูพลังเวทย์(ใหญ่) ไปเก้าขวด แต่ละขวดใช้โพชั่นฟื้นฟูพลังเวทย์ห้าขวดในการเตรียม ซึ่งแต่ละขวดมีค่า 1000 รูปี ทั้งหมดก็ 45000 รูปี
ตอนนี้เหลือเพียงขวดเดียว…. อืม ผมว่าผมก็ทำได้ดีในการต่อสู้กับตัวแบบนั้นในเลเวลเท่านี้ล่ะนะ
ในเมื่อเราจะใช้สิ่งนี้ นั่นหมายความว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ในเมื่อเอาแหวนกระดูกงูให้มิลลี่ รายได้ของพวกเราก็เป็น 0 รูปี….
รวมทั้งหมดก็คือ -45000 รูปี
ราชาแห่งความตายคือมอนส์เตอร์ที่ผมเคยเจอในดันเจี้ยนชั้นล่างๆที่ผมเคยพิชิตเมื่อนานมาแล้ว
พวกเราสามารถจัดการมันได้ง่ายกว่านี้ ถ้ามีคนที่สามน่ะนะ
หากไม่มีแรงกดดันที่ต้องหนีอยู่ตลอดเวลาล่ะก็ การจัดการบอสก็คงไม่มีเหงื่อออกแม้แต่หยดเดียว
ไทม์สแควร์ดูเหมือนจะนำมาประยุกต์ใช้ได้มากกว่าที่คิดแฮะ
พลังของเรดซีโร่ x 4 นั่นอันตรายจริงๆ
หากยิงด้วยพลังระดับนี้ หากผมมีเลเวล 90 ผมสามารถจัดการบอสระดับต่ำด้วยการยิงเพียงครั้งเดียวได้
อืม แต่ยังไงก็ตาม ผมยังต้องคำนวณความเข้ากันของคุณสมบัติ, ปริมาณพลังเวทย์ที่ใช้ และอื่นๆ
ผมตั้งตาคอยที่จะได้ใช้มันในอนาคต
เมื่อผมจินตนาการถึงพลังของตัวเองหลังจากที่ฝึกฝนอย่างเต็มที่ ผมก็หัวเราะแปลกๆออกมา
มิลลี่ที่จ้องแหวนกระดูกงูเองก็กำลังหัวเราะร่าเช่นกัน
เสียงหัวเราะที่น่าขยะแขยงของเด็กทั้งสองดังก้องไปทั่วสุสาน
หากมีคนอื่นมาเห็นพวกเราในตอนนี้ พวกเขาคงจะงุนงงกับภาพอันแปลกประหลาดที่ได้เห็น
หลังจากนั้นสักพัหนึ่ง พวกเราก็เดินออกจากโบสถ์แห่งความเสื่อม
-ระหว่างทางกลับบ้าน
ในเมื่อเราไม่มีอารมณ์ที่จะใช้เทเลพอร์ตกลับบ้าน พวกเราก็เดินคู่กันไปพร้อมกับคุยเรื่องการต่อสู้ก่อนหน้านี้
“นั่นมันสุดยอดไปเลย! สามารถสร้างเวทย์มนต์เฉพาะของตัวเองขึ้นมาได้นี่มันยอดจริงๆ! ถ้าหากนั่นไม่ได้ทำให้นายไร้เทียมทานล่ะก็ แล้วอะไรล่ะ?”
”
“ถ้าเธอพูดแบบนั้น… มันก็น่าจะป็นเวทย์ที่ดี แต่มันใช้พลังเวทย์ทั้งหมดที่มี ดังนั้นจึงใช้บ่อยๆไม่ได้”
”
*คุคุคุ* ผมหัวเราะออกมาในตอนที่มิลลี่เคาะไหล่ผม
“ไทม์สแควร์...สินะ? เวทย์นั้น ชั้นใช้ด้วยไม่ได้หรอ?”
”
ผมคิดไว้แล้วว่าเธอจะต้องพูดเรื่องนี้ออกมา….
“โชคร้ายที่ไม่มีใครใช้ไทม์สแควร์ได้นอกจากผม… มิลลี่ ไทม์สแควร์คือเวทย์เฉพาะตัวที่สามารถหยุดเวลาได้ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น, เวทย์เฉพาะตัวสามารถถ่ายทอดผ่านม้วนคัมภีร์ได้ แต่ว่าประสิทธิภาพของมันจะลดลง ถึงแม้ว่าเธอจะใช้ได้ แต่มันอาจจะอ่อนลงจนไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฝึกก็ได้”
”
อีกอย่างผมไม่มีเวลาว่างมาทำม้วนคัมภีร์เวทย์ซะด้วยสิ
“อะไรนะ งั้นชั้นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากสร้างไทม์สแควร์ของตัวเองขึ้นมาสินะ?”
”
“เวทย์เฉพาะตัวนั้นถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของผู้สร้าง ‘ความชื่นชอบ’ ที่ต่างกันเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการสร้าง, ไทม์สแควร์เป็นเวทย์เฉพาะตัวที่สร้างขึ้นโดยผมที่คิดแต่เรื่องของเวลาเท่านั้น, ดูยังไงบุคลิกของเธอก็ไม่สามารถเข้ากับมันได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสร้างมันขึ้นมา, เธอควรจะจำเรื่องนี้ไว้ในอนาคตด้วย”
”
หวังว่าเธอจะเข้าใจเรื่องนี้นะ
มิลลี่พยักหน้าให้ผมพูดต่อ
“เพื่อที่จะสร้างเวทย์เฉพาะตัว ความเข้ากันได้กับคนนั้นกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเวลาในการพัฒนา, แทนที่จะลอกเลียนแบบผู้อื่น สู้สร้างอะไรสักอย่างที่เธอต้องการจะดีกว่า, ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปสำหรับเธอที่จะสร้างเวทย์เฉพาะตัวของตัวเอง, เธอควรจะทำหลังจากโตกว่านี้สักหน่อย”
”
ผมพูดพร้อมกับลูบหัวมิลลี่
“มู~~ ไหงนายชอบทำเหมือนชั้นเป็นเด็กล่ะ? นายอายุเท่าไหร่กันแน่ เซฟ?”
”
เมื่อได้ยินคำถามของมิลลี่ มือของมก็หยุดทันที
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ควรใช้มากเกินไปซะแล้ว
“ไม่ใช่ว่านายอายุเท่าๆกับชั้นหรอ? พวกเราเป็นใคร เด็กอายุ 13 ไม่ใช่หรอ? ถ้านายเริ่มสร้างเวทย์เฉพาะตัวของนายในไม่กี่ปี…. แล้วนายเริ่มฝึกเวทย์มนต์ตอนอายุเท่าไหร่กันแน่?”
”
“….ยังไงก็ตาม ผมต้องรีบกลับบ้านแล้ว ไม่งั้นแม่จะเป็นห่วงเอา…”
”
ผมวิ่งหนีมิลลี่ในตอนที่พูด
“อ๊ะ~! นี่~! รอฉันด้วยสิ!”
”
ผมได้ยินเสียงของมิลลี่ดังมาจากด้านหลัง เหมือนว่าเธอจะเทเลพอร์ตตามหลังผมมา
ในตอนที่ผมปัดมือเธอออก ผมก็ใช้เทเลพอร์ตทันที
หลังจากพูดเรื่องไม่จำเป็นมากเกินไป ผมก็ถูกไล่ตามจนกระทั่งพวกเรากลับมาถึงนานามิ
อืม อย่างน้อยดูเหมือนมิลลี่จะกลับเป็นตัวของตัวเองแล้ว
เธอกลับมามีสีหน้าที่สดใสอีกครั้ง
ตอนนี้ เป้าหมายของเราคือการหาเงิน
ผมอยากจะซื้ออุปกรณ์ราคาแพงบางอย่างถ้ามันมีขาย
และเรายังต้องการโพชั่นฟื้นพลังไม่จำกัดอีกด้วย
โชคดีที่ผมยังพอมีเครื่องประดับที่ได้จากกองคาราวาน เหลืออยู่บ้าง
ผมไม่จำเป็นต้องตั้งร้านแผงลอยอีก
ที่นั่นมีเด็กสาวช่างตีดาบอยู่… ไลเดียมั้ง? ผมรู้สึกได้ว่าเธอเป็นแม่ค้าที่ยอดเยี่ยม
เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ
เธอเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
มันก็ไม่เลวที่จะไปพบเธออีกครั้ง
ผมสงสัยว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปที่เมืองแห่งการค้าเบริต้าอีก
ในตอนที่ผมคิดอะไรเพลินๆแบบนั้น ผมก็มาถึงนานามิ
ก่อนที่ผมจะถูกมิลลี่เจอตัว ผมรีบเทเลอร์ตกลับบ้าน
ผมแน่ใจว่าเธอไม่ตามผมมาไกลขนาดนี้แน่อ
“กลับมาแล้วครับ”
”
“โอ้ ยินดีต้อนรับจ้ะ เซฟ, มิลลี่จัง”
”
เดี๋ยวนะ แม่พึ่งพูดว่า… มิลลี่จังงั้นหรอ?
ผมหันกลับไปและมองเห็นมิลลี่ที่กำลังทำหน้าเหมือนจะพูดว่า ‘ชั้นชนะ!’
“หนูอยากจะมากินข้าวเย็นกับพวกเราไหมจ้ะ~?”
”
“ค่า~! ขอบคุณที่เลี้ยงค่า~!”
”
เฮ้ หยุดเลยนะยัยบ๊อง
พวกเรากินอาหารเย็นกันสามคนก่อน, ในขณะเดียวกันผมต้องเผชิญกับคำถามที่ถูกระดมยิงจนถึงดึกดื่น ซึ่งใครบางคนเข้ามาจู่โจมในห้องของผมโดยไม่ได้รับอนุญาตและ….
==========
อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร
==========
ติดตามข่าวสารและตอนใหม่ๆได้ก่อนใครที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/