ตอนที่ 287 หยดเลือดพิสูจน์สัมพันธ์
ที่หน้าประตูปราสาทตระกูลเย่ว์
เหมือนกับวิธีที่เย่ว์หยางพาแม่สี่กลับตระกูลเย่ว์ครั้งก่อนนั้น ตอนนี้ประวัติศาสตร์หวนกลับซ้ำรอย
ที่แตกต่างก็คือ ครั้งนี้เย่ว์หยางมีผู้ติดตามเขาหลายคน แทนที่จะมีเพียงน้องสาวของเขาเหมือนครั้งก่อน ตอนนี้มีเย่คง เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่ ที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตเพื่อเขา ยังมีเย่ว์ปิง และเย่ว์หวี่ ผู้ที่จะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับเขา มีองค์ชายเทียนหลัวและเสวี่ยทันหลาง 2 นักรบผู้ไม่เกรงกลัวศัตรูแข็งแกร่ง
พวกเขาสมัครใจยื่นมือช่วยเหลือพี่เขยในอนาคตของพวกเขา นอกจากนี้ยังคงมีหน่วยคุ้มกันจากตระกูลสาขา หลินเหล่ยและหลินเหมี่ยว แน่นอนกลุ่มสนับสนุนหลักที่ยังมีความมุ่งมั่นก็คือเหล่าสาวงาม เย่ว์หยางที่สู้ตามลำพังในตอนนั้น แต่ยามนี้กลับมาพร้อมกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน, เจ้าเมืองโล่วฮัว, เสวี่ยอู๋เสียและอี้หนาน นอกจากนี้ยังมีนางเซียนหงส์ฟ้าผู้ให้ความสนใจในตัวเขาอยากเห็นเขามากกว่าตะลุยหอทงเทียนชั้นที่สิบร่วมกับนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่นๆ และนางไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหนึ่งในสามมารฟ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังมาร มารกฎฟ้า
ครั้งก่อน ศัตรูของเย่ว์หยางก็คือรักษาการประมุขตระกูล เย่ว์ไห่
ครั้งนี้ ศัตรูของเขากลับกลายเป็นเย่ว์ชิวตัวปลอม ผู้เอาชนะเย่ว์ซานได้ง่ายดาย
เย่ว์ชิวตัวปลอมนี้มีการเตรียมการโดยมีนักสู้ปราณก่อกำเนิดคอยหนุนหลังเขา มีจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ยผู้แข็งแกร่งซุ่นเทียนอยู่อีกด้านหนึ่ง นั่นคือสาเหตุที่เย่ว์ชิวกล้าท้าทายคนที่กลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดในวัยเพียงยี่สิบอย่างเย่ว์หยางผู้มีพรสวรรค์ไม่มีใครเทียบได้
ถ้าเย่ว์หยาง คนที่มาจากโลกอื่นไม่ได้มาทวีปมังกรทะยาน ถ้าตระกูลเย่ว์ไม่มีลูกหลานเช่นเย่ว์หยาง ทุกสิ่งทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จุนอู๋โหย่วและผู้ปกป้องทวีปมังกรทะยานอื่นๆ ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจบูรพาจับไป และตายในท่ามกลางสงครามวุ่นวายระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจเอง สำหรับตระกูลเย่ว์ที่มีประวัติศาสตร์พันปี ก็จะล่มสลายลงภายในเงื้อมมือของเย่ว์ชิวตัวปลอม... เย่ว์หยางตระหนักว่าเขาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ แผนการที่ศัตรูพวกเขาวางมาเป็นสิบๆ ปีหรือกระทั่งร้อยปีเปลี่ยนไปเพราะการปรากฏตัวของเขา
วันนี้คือจุดเปลี่ยนอนาคตที่พวกเขาต้องพบ
ถ้าเย่ว์ชิวตัวปลอมชนะ ตระกูลเย่ว์จะไม่มีทางฟื้นตัว ถ้าเย่ว์หยางชนะ ตระกูลเย่ว์จะได้รับการกอบกู้ และทวีปมังกรทะยานก็จะเห็นว่าธรรมะเป็นฝ่ายชนะ
ประตูหน้าปราสาทตระกูลเย่ว์ปิดแน่นหนา
เหมือนปีที่แล้ว
“ดูเหมือนจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ยได้เตรียมแผนการใหญ่ไว้แล้ว”
นางเซียนหงส์ฟ้าหัวเราะเยือกเย็น
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะรออยู่ข้างนอก...”
เย่ว์หยางสั่นเล็กน้อย ก่อนนี้เขาไม่เคยรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของศัตรู อย่างไรก็ตาม หลังจากเชี่ยวชาญปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ห้า นอกจากความรู้สึกทั้งห้าจะยอดเยี่ยมแล้ว สัมผัสที่หกของเขายังคมชัดยิ่งขึ้น องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนผู้มีทักษะแฝงหกรับรู้ ก็ยังเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเย่ว์หยาง
ทักษะแฝงหกรับรู้ของนางสามารถรู้สึกได้ถึงปราสาทตระกูลเย่ว์ในปัจจุบันเป็นเหมือนปราสาทกินคนในยุคโบราณ
ถ้าพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปจริงๆ มีแต่จะตกลงไปในกับดักของศัตรูได้ในที่สุด
แทนที่จะบาดเจ็บอย่างนี้ พวกเขาควรรออยู่ข้างนอกดูปฏิกิริยาของศัตรูก่อนแล้วค่อยดำเนินการ อย่างน้อย พวกเขาก็ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ทางด้านตนเองด้วยวิธีนี้
เย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงทำตามคำเตือนของเย่ว์หยาง พวกนางไม่ออกมาจากรถม้าโดยสาร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกนางจะไม่ให้โอกาสศัตรูได้ทำร้ายพวกนาง เย่ว์หยางเชื่อว่าศัตรูของเขาจะพยายามลักพาตัวสตรีทั้งสอง เพราะทั้งสองคนเป็นอาวุธที่ได้ผลที่สุดที่ใช้ต่อต้านเขา อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางจะไม่ยอมให้ศัตรูของเขาทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งแต่นางเซียนหงส์ฟ้ามาถึงแล้ว เย่ว์หยางมั่นใจว่าจะรับมือสถานการณ์ทั้งหมดได้
“เราไม่เป็นไร อย่างเปลือพลังปราณของเจ้าเลย”
เย่คง เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่ยังทรมานจากอาการบาดเจ็บ บรรดาพวกเขา อาการบาดเจ็บของเย่คงหนักที่สุด เขามีซี่โครงหักบางส่วน
เย่คงรู้สึกว่าเขาไม่สามารถช่วยได้มากในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นเขาไม่ต้องการให้เย่ว์หวี่เปลืองพลังในการรักษาเขา
ยังคงมีการต่อสู้ที่หนักหนารออยู่ข้างหน้า เย่ว์หวี่เป็นเพียงผู้อัญเชิญคนเดียวที่มีทักษะบำบัด นางต้องใช้เพียงบอลวารีบำบัดในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เย่คงพยายามแนะนำนาง แต่เย่ว์หวี่จะนั่งเฉยโดยไม่ทำอะไรได้อย่างไร? นางยืนกรานจะเรียกวารีบำบัดมารักษาเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่
ตอนแรกเจ้าอ้วนไห่บาดเจ็บหนักที่สุด แต่หลังจากเขาทำสัญญากับแมมม็อธสายฟ้า อสูรทองระดับ 6 เขาก็สามารถดึงการสนับสนุนมาจากแมมม็อธสายฟ้าที่มีพลังชีวิตมากมาได้และรักษาอาการบาดเจ็บหนักของเขาได้
เจ้าอ้วนไห่มีความสุขมาก ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า
ในที่สุด ในที่สุด เขาก็ได้เป็นเจ้าของอสูรระดับทองได้ สำหรับคำพูดโง่ๆ ที่เคยพูดครั้งก่อน ที่เขาจะทำสัญญากับอสูรสาวสวยระดับทองนั้น เจ้าอ้วนไห่ตัดสินใจลืมไปก่อน เย่คงไม่ได้หยอกล้อเขาในแง่ศึกใหญ่ที่เกิดขึ้น เขาพบหินโขดใหญ่และทรุดตัวลงนั่งพักแทน เขาต้องการฟื้นความแข็งแกร่งเพื่อเตรียมสู้ศึกต่อไป เย่ว์หยางยื่นมือและโยนผลึกเวทให้เขาลูกหนึ่ง เย่คงตกใจแทบช็อค เมื่อพบว่าเป็นผลึกเวทของยักษ์ทองตาเดียว อสูรทองระดับ 6 ยิ่งกว่านั้น เย่ว์หยางยังกลั่นมันด้วยเพลิงอมฤตของเขา ดังนั้นพลังที่อยู่ภายในจึงบริสุทธิ์มาก
เย่ว์หยางใช้พลังญาณทิพย์ระดับ 5 ของเขาตรวจพบว่า คิงคองปีศาจ อสูรทองแดงระดับ 5 ของเย่คงอยู่ระหว่างวิวัฒนาการ ถ้ามันสามารถกินและย่อยผลึกเวทที่มีพลังบริสุทธิ์ มันจะมีพลังรุดหน้าครั้งใหญ่แน่นอน
คิงคองปีศาจที่เอาศพยักษ์ทองตาเดียวมาด้วย วางศพลงกับพื้นทันที
น้ำลายแทบจะไหลออกจากปากของมัน
สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่ผลึกเวท ชั้นทองระดับ 6 ในมือของเจ้านายมัน โดยไม่คลาดสายตา
ในที่สุดเย่คงก็ตะคอกกลับไปให้มันรู้ตัวและให้ผลึกเวทแก่คิงคองปีศาจ เนื่องจากเย่ว์หยางให้มันกับเขา เขาจึงไม่อิดออดและรับไว้ทันที
คิงคองปีศาจกลืนผลึกเวทลงไปในคำเดียว เมื่อมันรับมา พอคิดว่ามันไม่สามารถแสดงความชื่นชมได้พอ มันกระโดดขึ้นลงอย่างตื่นเต้นและทุบอกตัวเอง ขณะที่มันเต้นแร้งเต้นกาอย่างมีความสุข ฮุยไท่หลางรำคาญมัน เมื่อมองเห็นเจ้าคิงคองปีศาจ มันจึงเห่า “โฮ่ง โฮ่ง”
อยู่ 2-3 ครั้ง มันรู้สึกว่าเจ้ากอริลลายักษ์นี้ช่างเขลาจริงๆมันก็แค่ผลึกเวทชั้นทองระดับ 6 ไม่ใช่หรอ? ของอย่างนั้นยังเทียบไม่ได้กับเม็ดพลังของเผ่าปีศาจบูรพา เพราะครั้งแรกที่ฮุยไท่หลางรู้สึกว่ามันมีพลังแข็งแกร่งกว่าเจ้าลิงโง่นั้น มันไม่ใช่เรื่องของระดับหรือความสามารถ แต่มันเป็นเรื่องความแตกต่างระหว่างสติปัญญาและประสบการณ์ของพวกมัน
ฮุยไท่หลางรู้สึกว่าความทะเยอทะยานของมันยิ่งใหญ่กว่าเจ้าลิงเสียแล้ว
ความใฝ่ฝันของมันก็คือกินจ้าวปีศาจ เป็นไปได้ไหมที่อสูรธรรมดาจะฝันเรื่องแบบนั้น?
ในเรื่องสติปัญญา ฮุยไท่หลางคิดบางอย่างที่ไม่เคยแว่บเข้ามาในใจของมันมาก่อนได้ทันที เมื่อมันดูคิงคองปีศาจ เจ้าลิงตัวนี้ดูเหมือนจะโง่ แต่มันจะฉลาดขึ้นได้หรือไม่
ฮุยไท่หลางไม่เข้าใจว่าสุนัขฉลาดกว่าลิงได้อย่างไร มันมองดูเย่ว์หยางและตัดสินใจว่าอาจเป็นเพราะมันเลือกติดตามเจ้านายถูกคน
ดังนั้น มันจึงมีความสุข เข้าไปหาเย่ว์หยางเอาตัวเสียดสีเขา
“ถ้าเจ้าต้องการกินเม็ดพลังอีก ต่อไปก็ต่อสู้ให้ดี ฆ่าศัตรูของพวกเรา!”
เย่ว์หยางจูงใจสัตว์อสูรของเขาเป็นพิเศษ
“อือ..อือ..”
ในที่สุดปีศาจดอกหนามก็เรียนรู้วิธีเชื่อฟังและเอาใจเจ้านายของนางจนได้
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง เหมียววว, อะฮู้ววว”
ฮุยไท่หลางไม่รู้จักวิธีพูด มิฉะนั้นมันคงตอบเจ้านายอย่างแข็งขันว่า
“รับรอง ข้าจะทำอย่างสุดฝีมือ”
มันรู้ภาษาหลายภาษา แต่ภาษาและเสียงของมนุษย์ยากมากที่จะเลียนแบบได้ อีกด้านหนึ่ง คิงคองปีศาจได้เพิ่มระดับด้วยพลังของผลึกเวทของยักษ์ทองตาเดียว อสูรทองระดับ 6 มันพัฒนากระโดดข้ามอสูรชั้นเงินและมุ่งเป็นอสูรชั้นทอง มันยังคงยกระดับเป็นอสูรทองระดับ 3 ในสองนาทีต่อมา เนื่องจากผลึกเวทที่บริสุทธิ์มากที่ถูกกลั่นด้วยเพลิงอมฤตของเย่ว์หยาง พลังงานที่บริสุทธิ์เป็นพิเศษทำให้คิงคองปีศาจยกระดับอีกครั้งเป็นอสูรทองระดับ 4
น่าเสียดายที่ร่างของมันสามารถทนต่อวิวัฒนาการได้ในระดับอสูรทองระดับ 4 มิฉะนั้นมันยังจะเพิ่มระดับได้อีกแน่นอน
องค์ชายเทียนหลัวและเสวี่ยทันหลางอิจฉาแทบตายเมื่อพวกเขาเห็นเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเย่ว์หยางมีทักษะกลั่นผลึกเวทได้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
ในอนาคตเมื่อมีผลึกเวทของสัตว์อสูรอื่นอีกที่เหมาะกับอสูรของเขา ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะตามตัวพี่เขยคนนี้ขอให้เขาช่วยกลั่นให้ สัตว์อสูรระดับทองจะกลายเป็นเหยื่อตลอดไปอย่างแน่นอน จะไม่มีนักรบคนใดปฏิเสธพวกเขาได้แน่นอน, ซึ่งก็ยกเว้นเย่ว์หยาง สัตว์อสูรของเขาต้องเป็นระดับแพลตตินัม หรือไม่ก็ระดับเพชรเท่านั้น
ที่ด้านข้างรถม้า เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่ตะโกนด้วยความดีใจ ยินดีกับความจริงที่ว่าคิงคองปีศาจยกระดับเป็นอสูรทอง ระดับ 4 ได้
นักรบทุกคนมักจะต้องใช้ระยะเวลาที่นาน กว่าที่สัตว์อสูรของพวกเขาจะยกระดับได้
ในปราสาทตระกูลเย่ว์ที่ห่างออกไป เสียงโซ่ขนาดยักษ์ดังกึกก้องขณะที่สะพานถูกลดระดับลงมา พร้อมกับเสียงดังสนั่น สะพานก็ทอดตัวลงกับพื้นดังตุ้บ จากนั้นประตูหน้าของปราสาทตระกูลเย่ว์ ถูกผลักเปิดออกโดยอสูรหุ่นที่ไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนแต่อย่างใด ต่อจากนั้นหน่วยคุ้มกันตระกูลฝีมือดีก็กรูกันออกมาอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่สนิทกับหน่วยคุ้มกันตระกูลเหล่านี้ แต่เขาก็จำได้เพียงแว่บแรกที่เหลือบดูก็รู้ว่าพวกเขามาจากตระกูลสาขา
ในบรรดาหน่วยคุ้มกันตระกูล มีบุรุษคนหนึ่งอายุราวๆ สี่สิบปีมองดูคล้ายกับเย่ว์หยาง ทว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่และสง่างามกว่า แผลเป็นบนหน้าของเขาเพิ่มความแกร่งกร้าวและเด็ดเดี่ยวให้เขา มองจากภายนอก บุรษผู้นี้มีกลิ่นอายเหมือนมังกร เขาเป็นผู้ใหญ่ จริงจัง งามสง่า หลักแหลมและมีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำที่ดีภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ เขาคือคนสำคัญของตระกูลแน่นอน ที่สำคัญที่สุด เขามีเสน่ห์จนมิอาจพรรณนาได้จนดูเหมือนกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ เขาดึงดูดให้คนอื่นๆ ทำตามเขาโดยที่ตัวเขายืนอยู่แค่ตรงนั้น
ทางด้านซ้ายมือเขา มีบุรุษหนุ่มผู้ดูคล้ายคลึงกับเย่ว์หยางมาก อย่างไรก็ตาม สีผิวของเขาจะเข้มกว่าเล็กน้อย
บุรุษหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลระดับสูงในหมู่ผู้เยาว์ เขาให้ความรู้สึกที่ห้าวหาญกับคนอื่น
ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นเย่ว์ชิวและคุณชายสามตัวปลอม..”
เจ้าอ้วนไห่พึมพำเบาๆ เขาพบว่าตัวปลอมทั้งสองคนนั้นปลอมตนเองได้ดีจริงๆ ถ้าเย่ว์หยางตัวปลอมนี้ยืนอยู่ข้างเย่ว์หยางตัวจริง นอกจากความแตกต่างของสีผิวแล้วและความจริงที่ว่าเย่ว์หยางตัวปลอมจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเล็กน้อย พวกเขามองดูคล้ายกันมากจริงๆ แทบไม่แตกต่างกันเลย
นอกจากพฤติกรรมของพวกเขา สิ่งที่แตกต่างกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างเย่ว์หยางตัวจริงและตัวปลอมก็คือพลัง
เย่ว์หยางตัวปลอมมีความสามารถเพียงนักสู้ระดับ 6
ในสายตาของคนอื่นเมื่อดูเปรียบเทียบ ความคงอยู่ของเย่ว์หยางตัวปลอมดูมีเหตุผลที่สมควรมากกว่า ที่สำคัญที่สุด เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ที่คนๆ หนึ่งจะบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดด้วยวัยเพียงยี่สิบปี เหมือนอย่างคุณชายสามตระกูลเย่ว์ที่ไม่ธรรมดานี้ ความสามารถในการเป็นนักสู้ระดับ 6 ในวัยยี่สิบปีก็น่าประทับใจพอแล้ว แม้แต่เหยียนพั่วจวิน, เฟิงชิซาและอัจฉริยะรุ่นเยาว์อื่นๆ ก็ยังไปไม่ถึงระดับนั้น! มีเพียงแต่อัจฉริยะเยาว์วัยอย่างองค์ชายสือจินและประมุขน้อยไป๋หวินเฟยที่สามารถไปถึงนักสู้ระดับ 6 ได้ เมื่อเพวกเขาอายุเพียงยี่สิบปี เสวี่ยทันหลางมองดูเย่ว์หยางตัวปลอมและพึมพำเบาๆ
“เขาเป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นสูง ด้วยพลังความมืดและพลังไฟ ปล่อยเจ้านี่ให้ข้าจัดการเถอะ”
เจ้าอ้วนไห่และเย่คงต้องการลองทักษะใหม่ของตนเองเช่นกัน แต่พอได้ยินว่าเย่ว์หยางตัวปลอมเป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นสูงและมีพลังความมืดและไฟ พวกเขาก็หุบปากทันที
ศัตรูอย่างนั้นเหลือไว้ให้เสวี่ยทันหลาง บุรุษน้ำแข็งย่อมดีที่สุด
น้ำแข็งตรงกันข้ามกับไฟ เสวี่ยทันหลางเป็นคนที่เหมาะกับงานนี้ที่สุด
นอกจากเย่ว์ชิวปลอม ยังมีจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ย ซุ่นเทียนอยู่ด้านหลังและองครักษ์พิทักษ์ฟ้าเป็นตัวแทนที่มาทำการวินิจฉัย มีเพียงคนเดียวที่มาจากต้าเซี่ยนั่นก็คือเซียนนักพรต หนึ่งในองครักษ์พิทักษ์ฟ้า
ที่ด้านข้างของเขายังมีองครักษ์พิทักษ์ฟ้าที่มาจากอาณาจักรเทียนหลัว นอกจากนี้ยังเป็นองครักษ์พิทักษ์ฟ้าเพียงคนเดียว เป็นบุรุษวัยกลางคนสวมชุดยาวสีขาวและดูเหมือนเป็นบัณฑิตคงแก่เรียนมากกว่าจะเป็นองครักษ์พิทักษ์ฟ้า
ทางด้านขวาและซ้ายของคนทั้งสอง ยังมีองครักษ์พิทักษ์ฟ้าจากอาณาจักรสื่อจินสองคน คนหนึ่งสูงและอีกคนหนึ่งผอม ทั้งสองคนดูเหมือนจะแข็งแกร่งพอๆ กับเซียนนักพรต
นอกจากนี้ ยังคงมีผู้อาวุโสร้อยแปลงจากนิกายพันปีศาจ
ลักษณะของนางทำให้คนอื่นสั่นด้วยความกลัว
เนื่องจากผู้อาวุโสร้อยแปลงจากนิกายพันปีศาจปรากฏตัว ประมุขนิกายพันปีศาจจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่?
ด้านหลังของพวกเขา ยังมีนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่งคล้ายปีศาจมีเปลวเพลิงท่วมทั้งร่าง เย่ว์หยางเคยเห็นเขามากก่อน นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่คล้ายปีศาจนี้เรียกตัวเองว่าผู้หักหลังแดนอเวจี เขาเป็นมิตรกับมนุษย์มากและยินดีจะอยู่อย่างสงบในทวีปมังกรทะยาน เย่ว์หยางไม่สนใจคนผู้นี้มากนัก เขาสนใจสื่อจินโหว
ผู้พยายามซ่อนตนเองอยู่ข้างหลังนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่เหมือนปีศาจนั้น... เย่ว์หยางไม่เคยกลัวศัตรูผู้แข็งแกร่งมาก่อน แต่ในใจเขา มักจะระวังคนที่มีความคิดฉลาดมากกว่าคนที่แข็งแกร่งแต่โง่ สื่อจินโหวมีความฉลาดและเจ้าเล่ห์มาก เย่ว์หยางยินดีสู้กับนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่นมากกว่าจะพบเขาเป็นครั้งที่สอง
การปรากฏตัวของสื่อจินโหวไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
คนที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดกลุ่มนักสู้เจ็ดดาวคนสุดท้าย เทียนฉวน
สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเศร้าโศกอย่างมาก นักรบของตระกูลข้างๆ เขาถือป้ายวิญญาณที่เพิ่งสร้างขึ้นมาล่าสุด จารึกชื่อ เหยากวงและไคหยาง
อีกฝั่งหนึ่งมีนักสู้ปราณก่อกำเนิดมากกว่าเจ็ดคน.. แม้ว่าเซียนนักพรตและบัณฑิตวัยกลางคนจะเป็นกลางหรือช่วยเย่ว์หยาง อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังมีไม้ตายซ่อนอยู่ในแขนเสื้อพวกเขาอยู่ดี
ตัวอย่างเช่น ประมุขนิกายพันปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ การปรากฏตัวของซุ่นเทียนและประมุขนิกายพันปีศาจแค่นี้ก็พอจะเหนือกว่าเย่ว์หยางและคนอื่นแล้ว อย่าว่าแต่สู้กับนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่นๆ เลย
ศึกครั้งนี้ ไม่เพียงแต่คนธรรมดาเท่านั้น แม้แต่นางเซียนหงส์ฟ้ายังถึงกับหน้ามุ่ย คิดว่าไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะ
เย่ว์หยางเป็นพวกที่น่ากลัวผู้ไม่รู้สึกสะทกทะท้านหากต้องเผชิญหมัดเท้าเต็มไปหมด
เขาไม่สนใจว่าต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ปราณก่อกำเนิดของอีกฝ่าย พวกที่ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกถูกคุกคามมีเพียงสามคนคือ จักรพรรดิแห่งจื่อเว่ย..ซุ่นเทียนผู้ออกหน้า, เย่ว์ชิวตัวปลอมและสื่อจินโหว
สามคนนี้คือศัตรูที่น่ากลัวในใจเย่ว์หยาง
นี่เป็นเพราะสามคนนี้มีระดับสติปัญญาสูงที่คนธรรมดาไม่มี ท่านไม่สามารถบอกว่าคนฉลาดโดยดูจากใบหน้าได้ แต่คนฉลาดก็คือคนที่แตกต่างจากคนโง่ แน่นอนเย่ว์หยางไม่สามารถบอกระดับสติปัญญาของศัตรูของเขาด้วยทักษะญาณทิพย์ระดับ 5 ของเขา เขาสามารถบอกได้ด้วยความรู้สึก
ว่าเย่ว์ชิวตัวปลอมนี้มีความสามารถสร้างปัญหาได้มาก แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักสู้ปราณก่อกำเนิด อีกคนหนึ่งก็คือสื่อจินโหวผู้ซ่อนความแข็งแกร่งของตนเองไว้ เขาจะต้องไม่คลาดจากเจ้าผู้นี้แม้แต่วินาทีเดียว แน่นอนว่าคนที่น่ากลัวที่สุดกลับเป็นจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ย ซุ่นเทียน จักรพรรดิแห่งจื่อเว่ยผู้นี้น่ากลัวเกินไป ถ้าเขามีโอกาสแม้แต่น้อยนิด เขาจะฆ่าเขาด้วยพลังที่มีทั้งหมดทันที
ทั้งสองฝ่ายยืนตรงข้ามกัน ต่างชักดาบออกมาแล้ว
แม้ว่าทางด้านเย่ว์หยางจะอ่อนแอกว่า เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ก็มีจิตวิญญาณนักสู้ พวกเขาจะไม่ซุ่มซ่ามวิ่งออกไป เพียงเพราะฝ่ายตรงข้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด
แม้แต่หลินเหมี่ยวและหลินเหล่ยญาติจากตระกูลสาขา ก็ทำอย่างดีที่สุดเพื่อจะยืนตรง พวกเขายืนเคียงข้าเย่คงและคนอื่นๆ หน้ารถม้า หลังจากเพิ่งผ่านการต่อสู้มา พวกเขาเข้าใจเรื่องบางอย่างบ้างแล้ว
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดหรือไม่ คนของฝ่ายตรงข้าก็มีความสามารถสังหารพวกเขาในทันทีด้วยกระบวนท่าเดียว
แทนที่จะเป็นผู้ขลาดเขลาถูกเขาฆ่าตาย พวกเขาจะยืนขึ้นด้วยความภูมิใจถูกฆ่าตายดีกว่า พวกเขาจะกลายเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่หัวเราะเยาะความตาย
ถ้าพวกเขาต้องการเป็นคนขี้ขลาด จะมีโอกาสมากมายให้พวกเขาเป็นคนขี้ขลาดได้ตลอดชีวิต
แต่ถ้าพวกเขาต้องการเป็นวีรบุรุษ มีเพียงการกระทำเดียวสำหรับพวกเขาที่จะเป็นวีรบุรุษได้ พวกเขาต้องตัดสินใจ
“วันนี้ ข้าเชิญแขกผู้มีเกียรติทั้งแปดมาที่นี่ เพื่อให้เป็นพยานกับตระกูลเย่ว์เรา” เย่ว์ชิวตัวปลอมเริ่มคำนับให้นักสู้ปราณก่อกำเนิด 2-3 คนและสามองครักษ์พิทักษ์ฟ้า
“ตระกูลเย่ว์โชคไม่ดีเลยจริงๆ ข้า, เย่ว์ชิว ในฐานะรักษาการประมุขตระกูล ไม่ค่อยเต็มใจนักที่จะยอมรับอำนาจในท่ามกลางวิกฤติที่จะนำมาซึ่งความมั่นคง ข้าจะต้องจับใครก็ตามที่ก่อกบฏหรือปลอมเป็นตัวปลอมแน่นอน ข้าจะปกป้องตระกูลเย่ว์ของข้า เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ล่มสลายต่อไปเป็นพันๆ ปี ตอนนี้ ด้วยคำแนะนำขององครักษ์พิทักษ์ฟ้าทั้งสาม เพื่อที่จะแยกแยะระหว่างตัวจริงกับตัวปลอม ข้า..เย่ว์ชิวจะดำเนินการทดสอบเลือดเพื่อระบุความสัมพันธ์ในครอบครัวตามคำแนะนำของทุกคน”
“ทดสอบเลือดเพื่อระบุความสัมพันธ์ของครอบครัวหรือ?”
เย่ว์หยางพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น คนโบราณก็ใช้วิธีแบบนี้ด้วยเช่นกันหรือ?
“ข้าไม่รู้ว่า ท่านเย่ว์ชิว รักษาการประมุขตระกูลจะเห็นด้วยกับการทดสอบเลือดหรือไม่? ท่านเย่ว์ชิว ท่านอาศัยอยู่ในแดนอเวจีมานานกว่าสิบปี เป็นไปได้ไหมว่าเลือดของท่านอาจได้รับการปนเปื้อนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ? ท่านยังคงเป็นลูกหลานของตระกูลเย่ว์อยู่หรือ?”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนผู้มีทักษะหกรับรู้จะไม่มีทางถูกหลอก นางสามารถบอกได้ทันทีว่าเป็นคนจริงหรือปลอม มันยากที่จะปกปิดแผนครึ่งจริงครึ่งลวงจากพลังสังเกตที่อ่อนไหวของนาง
“แน่นอน เพื่อความยุติธรรม ข้าถึงได้เชิญสหายผู้เกิดในแดนอเวจี แต่ความจริงเป็นนักรบฝ่ายมนุษย์ ท่านฉือเหลียว เลือดของทายาทตระกูลเย่ว์จะแตกต่างจากเลือดของปีศาจ เราจะใช้เลือดของท่านฉือเหลียวเป็นบรรทัดฐาน ลูกหลานตระกูลเย่ว์แต่ละคนจะต้องหยดเลือดลงในขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ ถ้ามีผลตอบสนองที่ผิดปกติอะไรอื่น ทุกคนจะช่วยเป็นประจักษ์พยานในความยุติธรรมและช่วยกันตัดสิน”
ก่อนที่เย่ว์ชิวตัวปลอมจะพูดจบ เย่ว์หยางก็เข้าใจได้ทุกอย่าง
นี่คือการสมรู้ร่วมคิดครั้งใหญ่
และการหยดเลือดยืนยันความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นเพียงส่วนแรกของแผนการ
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=307