ตอนที่ 15 -- ไทม์สแควร์
ตอนที่ 15 -- ไทม์สแควร์
“ฉันก็มีอาวุธอยู่หรอกนะ แต่ฉันอยากสร้างอาวุธ, มากพอที่จะเปิดร้านขายอาวุธเป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันยังมีเงินไม่พอน่ะ ดังนั้นฉันเลยต้องมาฝึกเป็นแม่ค้าด้วยการช่วยพ่อขายอาวุธไปก่อน, อ้อ ยังไงก็ตาม ฉันชื่อไลเดีย”
”
“งั้นหรอ….. ราคาตลาด…..”
”
ในตอนที่ผมจมอยู่ในห้วงความคิด ไลเดียก็เริ่มพูดอีกครั้ง
“อึก, ผมไม่รู้แม้แต่ราคาตลาด, แล้วผมจะขายของพวกนี้ยังไง….”
”
“ฉันรู้ราคา, ราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับไอเทมของเธอ”
”
จริงดิ?! ผมแสดงสีหน้าตกใจให้ไลเดียเห็น
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเห็นไอเทมพวกนี้, พวกนี้เทียบได้กับของที่นักผจญภัยใช้แล้ว”
”
ผมก็พอจะรู้มาว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของหายาก แต่….
“โอ้ว แต่นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอ? การมีของพวกนี้ในวัยแค่นี้น่ะ”
”
เด็กสาวที่ชื่อไลเดียคนนี้น่าจะต้องการพูดให้ดูเป็นมิตร แต่เธอกำลังเลือกผมเป็นเป้าหมาย…
บางทีเธออาจจะซื้อไอเทมทั้งหมดในราคาถูก ในเมื่อผมไม่รู้ราคาตลาด
แต่ผมไม่มีเวลาแล้ว
มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าผมยังพอได้กำไรอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะน้อยนิดก็ตาม
“ไลเดีย ผมไม่ชอบอะไรที่มันอ้อมค้อม ดังนั้นผมไม่ว่าอะไรหากเธอจะข้ามเรื่องหยอกล้อนี้นะ, พูดตรงๆผมต้องการน้ำยาฟื้นพลังเวทย์จำนวนมาก และผมต้องการของพวกนั้นในกระเป๋าเวทย์มนต์ แลกกับสื่อกลางระดับสูงที่ใช้ในการร่ายเวทย์ ‘วิญญาณ’ ที่ผมมีอยู่ คิดว่าไง?”
”
กระเป๋าเวทย์มนต์คือกระเป๋าใบเล็กๆที่ถูกเสริมเวทย์เข้าไป ดังนั้นมันจึงสามารถบรรจุไอเทมจำนวนมากได้แม้ว่าจะเกินขนาดของมันก็ตาม
มันถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ดีที่สุดของสมาคมจอมเวทย์ โดยพื้นที่เก็บของภายในสามารถขยายขนาดได้ตามพลังเวทย์ของเจ้าของ
ในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครๆจะเป็นเจ้าของ
แม้ว่าเส้นมนตราของเจ้าของจะยังไม่เปิด และไม่มีพลังเวทย์ก็ตาม แต่เจ้าของก็สามารถใช้พื้นที่ที่แน่นอนได้จำนวนหนึ่ง ดังนั้นมันจึงถือเป็นของจำเป็นสำหรับนักผจญภัย
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ, เธอเป็นเด็กที่ดีจัง, เธอพูดเรื่องน่าสนใจออกมารู้ตัวไหม~ ?”
”
“ผมกำลังรีบ”
”
“นี่ นั่นถือเป็นการเจรจาที่แย่มาก, ไม่คิดว่าเธอจะรู้สึกแย่หรือถ้าฉันพูดแบบนั้นบ้าง?”
”
“ผมสามารถพูดได้เพราะผมเป็นเด็กยังไงล่ะ”
”
“ฮ่าฮ่าฮ่า, มันยากมากที่จะหาคนซื่อสัตย์ได้แบบเธอ”
”
ในตอนที่พูด เธอก็ลุกขึ้นค้นรถเข็นตัวเองจนทั่ว *กุกกักกุกกัก*
“ฉันมีกระเป๋าที่มีพื้นที่น้อย แต่มันบรรจุของฟื้นพลังเวทย์อยู่พอสมควร”
”
อืม…. ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองมิลลี่ที่กำลังทำสีหน้าตลกๆตอนนอน
ผมจำเป็นต้องกอบโกยให้ได้มากที่สุดก่อนที่ผมจะแพ้
“แหวนวงนั้นกับกระเป๋าเวทย์มนต์ที่มีของฟื้นพลังเวทย์อยู่เต็ม ผมให้สื่อกลางเธอได้ห้าสิบชุด”
”
แหวนวงนั้นมีการเสริมเวทย์ที่ทำให้พละกำลังของผู้สวมใส่เพิ่มขึ้น
มันถือเป็นของแพง แต่สำหรับกระเป๋าที่ใส่ของฟื้นพลังเวทย์ มันก็ไม่เลวที่จะแลกกับสื่อกลางห้าสิบชุด
ยังไงก็ตาม สื่อกลางไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับคนที่มีพลังเวทย์อย่างผม
“ฟังดูเข้าท่านี่”
”
“การเจรจาเรียบร้อย”
”
กระเป๋าและของฟื้นฟูถูกนำออกจากรถเข็น หลังจากที่ผมนำสื่อกลางออกมา ผมก็ใส่สื่อกลางลงไปห้าสิบชุดในกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอ
ช่าย นั่นแหละ
ไลเดียเองก็ยื่นแหวนมาให้ผม
“ขอบคุณ เธอช่วยผมไว้”
”
“นายรู้ไหมว่าตัวเองตกเป็นเป้าได้ง่าย?”
”
“ผมไม่สนใจหรอก”
”
ในขณะที่ยิ้มยิงฟัน ไลเดียก็เริ่มหัวเราะตอบผมกลับมา
เธอทำหน้าเหมือนถูกพิษและยื่นมือออกมา
“เช่นกัน ถือเป็นการเจรจาที่ดี, นี่ นามบัตรของฉัน มันบอกที่ตั้งร้านอาวุธของพ่อฉัน แวะมาเยี่ยมกันบ้างนะ”
”
“อา ตกลง”
”
ผมจับมือเธอในตอนที่พูด
เธอเดินจากไปพร้อมกับลากรถเข็นด้วยเสียงกรอกแกรก
มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องลากรถเข็นในเมื่อสามารถยัดทุกอย่างลงในกระเป๋าเวทย์มนต์ได้
ผมมักจะสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้ทำแบบนั้นกัน
เอาล่ะ อีกไม่นานพวกเราก็จะได้ปิดร้านแล้ว
ผมพยายามขายเครื่องประดับที่เหลือให้กับคนต่อไป
เมื่อผมเขย่าปลุกมิลลี่ เธอก็ทำหน้าบูดบึ้งพร้อมกับขยี้ตา
เหมือนกับเมื่อเช้านี้ บางทีเธอคงจะขี้เซาล่ะมั้ง
เพื่อที่จะได้เข้าใจในตลาดให้มากขึ้น พวกผมจึงเดินไปรอบๆพร้อมกับเปรียบเทียบราคาของกับในอนาคต ซึ่งของทุกอย่างในตอนนี้มีราคาถูกกว่ามาก
มันก็มีการเจรจาเหมือนกับก่อนหน้านี้ ยังมีคนจำนวนมากที่เหมือนกับไลเดียซึ่งต้องการจะแลกเปลี่ยน, แม้ว่าผมจะเจ็บตัวไปเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ความเป็นจริงแล้วคนที่ผมแลกเปลี่ยนด้วยต่างหากที่รู้สึกแย่
พวกเขาบอกที่ตั้งร้านของตนเอง บางทีคงเป็นการโฆษณาร้านด้วยก็ได้
มันคงได้เวลาไปจากตลาดแล้วตอนนี้
หลังจากที่ผมเติมเต็มเป้าหมายสำหรับวันนี้ มันก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
ผมต้องรีบกลับบ้านก่อนที่จะมืด
“กลับบ้านกันเถอะ, มิลลี่”
”
เมื่อผมหันกลับไปมองแล้วพูดแบบนั้น ตาของเธอได้แนบติดกับหน้าต่างของร้านค้าที่มีตุ๊กตาจัดแสดงอยู่
จริงสินะ, เธอเองก็เป็นเด็ก
ผมถอนหายใจ แล้วจูงมือมิลลี่พยายามพาเดินออกไปนอกเมือง
ตอนนี้พวกเราจะต้องวิ่งเต็มฝีเท้า ตั้งแต่ที่มิลลี่สามารถใช้เทเลพอร์ตได้ด้วยตัวเอง นั้นแสดงว่าเธอตื่นอย่างเต็มที่แล้ว
-ระหว่างการเดินทางกลับ อีกเพียงนิดเดียวก่อนจะถึงนานามิ
บลูเซลได้ปรากฎตัวขึ้นมาในขอบเขตการมองเห็นของผม
อืมม ผมอยากจะทดลองอะไรสักอย่าง……
ในตอนที่ผมหยุดเทเลพอร์ต มิลลี่เองก็หยุดด้วยเหมือนกัน
“เป็นอะไรหรอ เซฟ?”
”
“ผมอยากจะทดลองอะไรสักหน่อย เธอกลับไปก่อนได้เลย”
”
“ชั้นชักจะรู้สึกกังวลเมื่อนายพูดอะไรแบบนั้นออกมา ชั้นอยากจะดูด้วยคน!”
”
“ตามสบาย”
”
เมื่อผมพูดถึงการทดลอง ผมหมายถึงผมอยากจะทดลองหาปริมาณพลังเวทย์ที่จำเป็นต้องใช้เมื่อมีราชาแห่งความตายเป็นคู่ต่อสู้
เช่น ถ้าคุณจำเวทย์เดินทางข้ามเวลา ‘ไทม์ลีป’ ของผมได้ ผมได้ทำการทดลองมากมายว่าต้องใช้พลังเวทย์มากเท่าไหร่
ไม่สิ มันเหมือนกับการทำให้เวลาถอยหลังมากกว่าการข้ามเวลา
ตัวเวทย์ไทม์ลีป ต่อให้ตอนที่มันยังไม่สมบูรณ์ มันก็ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดของผมในตอนที่แก่แล้วในการร่าย ปริมาณพลังเวทย์ที่ใช้นั้นมหาศาลมาก
ความสงสัยของผมคือ ตัวผมในตอนนี้จะสามารถใช้มันได้หรือไม่ หากว่าผมสามารถใช้มันได้ล่ะก็ โอกาสที่เราจะล่าบอสได้สำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ผมเข้าฌาณจนพลังเวทย์ฟื้นฟูจนเต็มแล้วเล็งเป้าไปที่บลูเซล
“ไทม์สแควร์!”
”
แล้ว…..
“เรดบลาสเตอร์!”
”
ผมเจาะทะลุบลูเซลด้วยลำแสงจนเป็นรูขนาดเท่าฝ่ามือ แต่มันไม่ได้จบลงแค่นั้น….
ลำแสงได้เพิ่มจำนวนขึ้นพร้อมกับเล็งไปที่บลูเซลทั้งหมด มันเจาะทะลุตัวบลูเซลพร้อมกับทำลายร่างจนสิ้น
แสงที่ทอออกมาได้หายไปเช่นเดียวกับร่างของบลูเซล หลงเหลือไว้เพียงความเย็นเยียบบนฝ่ามือของผม และอากาศก็เย็นลงเช่นกัน
สิ่งที่ยังคงอยู่คือเปลวควัน
“นั่น...นั่นมันสุดยอดไปเลย! เซฟ! นั่นมันอะไรน่ะ?! นายทำแบบนั้นได้ไง?!”
”
“....”
”
“ไม่คิดว่านายจะซ่อนเวทย์แบบนั้นเอาไว้นะเนี่ย, ทำไมนายไม่ใช้มันก่อนหน้านี้ล่ะ?!”
”
“....”
”
“....เซฟ?”
”
พลัก
พลังเวทย์ของผมถูกใช้จนถึงขีดสุดและร่างของผมก็ล้มลงอย่างแรง
“เซฟ!?”
”
มิลลี่วิ่งมาที่ผมซึ่งนอนอยู่บนพื้น
….สติของผมค่อยๆไกลออกไป
ไทม์สแควร์ เป็นเวทย์ที่ตัวผมในตอนแก่คิดขึ้นมาใช้
แต่ไม่คิดว่า ตัวผมได้พัฒนาขึ้น จนสามารถใช้มันได้แล้วตอนนี้
มิลลี่แบกผมไปส่งที่บ้านจากระยะทางที่เหลือ
==========
อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร
==========
ติดตามผลงานได้ที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/