ตอนที่แล้วตอนที่ 13 -- ปะทะบอส
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 15 -- ไทม์สแควร์

ตอนที่ 14 -- ร้านแผงลอย


ตอนที่ 14 -- ร้านแผงลอย

 

-เมืองแห่งการค้าเบริต้า

 

เป็นหนึ่งในเมืองการค้าชั้นแนวหน้าของประเทศ ผลิตภัณฑ์หลากหลายถูกขนส่งทางทะเลเพื่อกระจายไปทั่วประเทศจะต้องผ่านท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ของที่นี่

 

นอกจากนี้ยังเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่ใกล้กับเมืองนานามิมากที่สุด

 

แม้ว่าผมจะบอกว่ามันใกล้กันมาก แต่มันก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเทเลพอร์ตพร้อมกับหยุดพักไปด้วย

 

วันนี้ มิลลี่และผมตื่นแต่เช้าเพื่อมาที่นี่

 

มิลลี่จะทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ในบางครั้ง เธอไม่ยอมเปิดประตูห้องของตัวเอง แม้ว่าผมจะเรียกเธอแล้วก็ตาม ดังนั้นผมเลยใช้เวทย์สะเดาะกลอน

 

มันเป็นเวทย์เฉพาะตัวที่สอนให้กับนักเวทย์หัวขโมยเพื่อใช้ในการเลี้ยงชีพ และแน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่มีแต่หัวขโมยเท่านั้นที่จะทำได้

 

ผมเดาว่าหัวขโมยจะใช้ทั้งม้วนคัมภีร์ แต่ผมฉีกมันเป็นชิ้นๆหลังจากที่เรียนสำเร็จ

 

เมื่อผมบอกมิลลี่เกี่ยวกับเรื่องเสียงที่เธอทำตอนที่เธอหลับ เธอโมโหผมในขณะที่ใบหน้าแดงแจ๋

 

แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

 

ฝูงชนจำนวนมหาศาลต่างเดินกันเต็มท้องถนนเพื่อเข้าสู่เมือง

 

ผมจึงมีช่วงเวลาทีต้องเดินอย่างยากลำบาก

 

มิลลี่เองก็พลัดหลงกับผมอย่างรวดเร็วและเริ่มเดินออกไปคนละทาง

 

ผมจึงมักต้องคอยดูเธออยู่ตลอด

 

ผมถอนหายใจพร้อมกับจับมือมิลลี่แล้วพาเดินไป

 

“ปะ-ปล่อยมือเถอะ! มันน่าอายจะตาย!”

 

“อย่าแม้แต่จะคิด, เธอจะต้องหลงทางแน่ๆ ถ้าผมปล่อย”

 

เธอพยายามชักมือกลับอีกครั้งในตอนที่ผมพูด

 

ในที่สุดเธอก็ค่อยๆรับได้อย่างช้าๆ และจับมือผมอย่างหลวมๆ

 

พวกเรามาที่เมืองแห่งนี้เพื่อขายไอเทมจิปาถะที่มีมากเกินไป ซึ่งผมได้รับมาจากกองคาราวานแทนคำขอบคุณ และมันเป็นการเตรียมความพร้อมในการต่อสู้กับบอส

 

มันช่างเป็นเมืองที่ใหญ่จริงๆ

 

“นี่อะไรกัน? นั่นมิลลี่จังกับเซฟคุงไม่ใช่หรอ?”

 

เมื่อพวกผมหันไปหาต้นเสียง, สิ่งที่พวกเราเห็นก็คือแคลร์เซ็นเซย์ที่กำลังอุ้มถุงสินค้าใบใหญ่แนบกับอก

 

ภายในมีขนมปังก้อนโตยื่นออกมาจากถุง

 

อย่างที่เห็น เธอกำลังซื้ออาหาร

 

มาคิดดูอีกที ผมจำได้ลางๆว่ามีใครสักคนพูดว่าเซนเซย์อาศัยอยู่แถวนี้ในช่วงวันหยุด

 

“มาเดทกันงั้นหรอ? ดีจังน้า~”

 

“ขะ-เข้าใจผิดแล้วค่า! พวกเราแค่มาซื้อของด้วยกันเพราะหมอนี่ไม่สามารถออกมาซื้อของด้วยตัวเองได้…. เห็นไหมคะ! ดูนี่, แขนของเซฟหักอยู่ค่ะ!”

 

“จริงหรอ~? ไม่ใช่ว่าพวกเธอสองคนพึ่งจะสนิทกันก่อนหน้านี้ไม่นานนี่? น่าสงสัย~?”

 

ท่าจะไม่ดีแล้ว พวกเธอคุยกันนานเกินไป…

 

แคลร์เซนเซย์เข้าสู่โหมดจุ้นเรื่องชาวบ้านโดยสมบูรณ์แล้ว

 

“ขอโทษครับเซนเซย์, พวกเรากำลังรีบเพราะพวกเรา….”

 

“พวกเธอมากันแค่สองคนงั้นหรอ? นั่นไม่ดีเลยนะ พวกเธอก็รู้, พวกเธอจำเป็นต้องมีผู้ใหญ่ไปด้วย ไม่ว่าพวกเธอจะพูดยังไงก็ตาม…”

 

ผมรู้ดีว่าแคลร์เซนเซย์ไม่มีทางหลง แต่หลังจากที่เราเริ่มออกเดิน เธอก็มาจับมืออีกข้างหนึ่งของผมไว้ และเดินตามหลังของพวกผมมาติดๆ

 

มิลลี่จับบีบผมแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย

 

แค่จับมือกันจนกว่าจะถึงที่หมาย….

 

เฮ้ หยุดบ้าได้แล้ว, อย่าไปคิดเรื่องพรรนั้น

 

“นี่~, ไม่ใช่ว่าเป้าหมายของเราจะสำเร็จยากขึ้นถ้ามีแคลร์เซนเซย์มาด้วยหรอกหรอ?”

 

พวกเราคุยกันด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน

 

พูดตามตรงผมเองก็เห็นด้วย, ว่าแต่เธอเลิกกุมมือผมแบบนั้นได้แล้ว

 

“พวกเรายังอยู่ท่ามกลางฝูงชน, รีบออกจากที่นี่กันเถอะ”

 

“ก็ได้, ก็ได้”

 

ดังนั้นพวกเราจึงตกลงกันในขณะที่สะบัดมือของแคลร์เซนเซย์ออก แล้วหายเข้าไปในฝูงชน

 

ในเมื่อแคลร์เซนเซย์มีถุงอาหารใบใหญ่อยู่ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะไล่ตามพวกเรา

 

“ขอโทษนะค้าเซนเซย์~♪”

 

มิลลี่แลบลิ้นออกมาในขณะที่พูด

 

เฮ้ เฮ้, หยุดยั่วแบบนั้นได้แล้ว

 

มิลลี่ดึงมือผม แล้วพวกเราก็หายเข้าไปในฝูงคน

 

“อุ้ยตาย, ทั้งสองคนหนีตามกันไป, เป็นเด็กนี่ดีจังน้า”

 

ฟู่~, ในที่สุดพวกเราก็หนีจากแคลร์เซนเซย์ได้สักที, ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหัวเราะเบาๆอยู่

 

…..แต่ผมคิดว่าพวกเราน่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดบางอย่าง

 

หลังจากที่เราหลบแคลร์เซนเซย์ พวกเราก็มองดูพ่อค้าแม่ค้ารอบๆ เพื่อมองหาไอเทมหายาก จนในที่สุดก็มาถึงจัตุรัสแผงลอย

 

ทั้งพ่อค้าและนักผจญภัยต่างก็พยายามขายของให้ผมด้วยสายตาที่เปล่งประกาย

 

เข้ามาในที่น่ากลัวซะแล้วสิ

 

มิลลี่กำลังประหลาดใจอย่างต่อเนื่อง และหันมองไปรอบๆอย่างอยู่ไม่สุข

 

เธอจะหลงทางถ้าเธอยังทำตัวแบบนั้นนะ รู้ไหม?

 

ผมดึงมือของมิลลี่และเริ่มเดินตรงไปยังจุดหมายของเราอีกครั้ง, เธอตามผมมาเหมือนกับกำลังเดินเล่น

 

นี่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพาหมาออกมาเดินเล่นเลยแฮะ

 

ไม่นานหลังจากที่เรามาถึงทางแยก และบริเวณใต้ต้นไม้นั้น

 

นั่นคือคือที่ๆตัวผมในอนาคตมักจะมานั่งเปิดร้านอยู่เสมอ

 

“เธอมาที่นี่ครั้งแรกใช่ไหม”

 

“ช่าย, ทำไมหรอ?”

 

“อืม, ดูตรงนั้นให้ดี”

 

พวกเราหันไปทางป้ายกระดานที่ติดอยู่

 

ข้อความบนป้ายนั้นดูเหมือนจะเพิ่งเขียนขึ้นเมื่อวาน มีทั้งชื่อและราคาของของไอเทมที่ผมได้รับแทนคำขอบคุณจากกองคาราวานของพ่อค้า

 

“ที่นี่คือจัตุรัสแผงลอย ไม่ว่าใครก็สามารถตั้งร้านขายของที่นี่ได้ ตราบเท่าที่มีสินค้าและตั้งราคาไว้, พวกเราจะลองขายของพวกนี้ให้คนที่เดินผ่านไปมาตอนนี้”

 

“.....เพื่อเรื่องน่ารำคาญแบบนี้…”

 

“เน่ อ่านบรรยากาศซะบ้าง”

 

….บ้าชิบ, เธอหลับเฉยเลย

 

ผมพยายามที่จะทำให้ดูน่าสนใจแล้วเชียว แต่ไม่ว่ามันจะน่าเบื่อแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมาหลับได้นะ

 

ผมตัดสินใจอ่านหนังสือในขณะที่รอลูกค้า

 

…..

 

……..

 

………..

 

ขายไม่ได้เลยแฮะ

 

บางครั้งลูกค้าก็เดินเข้ามาดูของโดยไม่ได้ซื้ออะไรสักอย่างแล้วจากไป

 

ผมขายของได้แย่ขนาดนั้นเลยหรอ?

 

มันจะต้องมีปัญหาที่วิธีการขายของเรา

 

หรือบางทีเราอาจจะขายของที่ราคาสูงเกินไป…

 

“มากับพ่องั้นหรอ? พ่อหนุ่มน้อย~”

 

เมื่อผมมองไปยังต้นเสียง, สุดปลายของรถเข็นที่อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่คือ เด็กสาวตัวสูง

 

ด้วยผมสีฟ้าที่ยาวจนถึงหลัง กับเสื้อเชิร์ตสีขาวที่ปิดหน้าอกไว้ไม่มิด

 

ยิ่งกว่านั้นเธอยังสวมกางเกงสั้นจิ๋วที่เผยให้เห็นขาอันเรียวยาว สีผิวที่ดูดี และด้วยจำนวนเสื้อผ้าที่เธอสวมทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คนบนถนน

 

รถเข็นของเธอพ่นสีเป็นรูปดอกไม้, และสามารถเห็นไอเทมหายากจำนวนมากที่เรียงเป็นระเบียบ, โดยที่ไอเทมบางอย่างมีราคาแพงมาก

 

เด็กสาวหยุดรถเข็น และนั่งลงตรงหน้าผม จากนั้นก็เริ่มพูด

 

“แต่~ ฉันสงสัยจังว่าใครเป็นคนหาของพวกนี้มา? ราคาตลาดไม่ได้สูงแบบนี้สักหน่อย”

 

ราคาตลาด….?!

 

บ้าจริง! ราคาที่ผมปิดประกาศอยู่คือสิ่งที่ผมรู้มาจากหลายทศวรรษหลังจากนี้, มันจึงไม่มีทางที่ราคาขนาดนี้จะสามารถขายออกได้ในยุคนี้!

 

“แต่มันก็มีหลากหลายดี, ช่วยบอกได้ไหมว่าเธอได้ของพวกนี้มาจากไหน?”

 

ผมยิ้ม, เด็กสาวที่มีรอยยิ้มเป็นมิตร กลับมีสายตาที่เฉียบคมซ่อนอยู่, ผมไม่ได้มองพลาด

 

==========

 

อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร

 

==========

 

ติดตามผลงานได้ที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด