ตอนที่ 285 ปีศาจดอกหนามกับอสูรทงเทียน
หลังจากเสี่ยวเหวินหลียกระดับ เธอตัวสูงขึ้นอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเธอก็ยังเป็นเด็กน้อยที่น่าตาน่ารักอยู่ดี
เย่ว์หยางยังคงมีความอดทนมากอยู่แล้ว เขาไม่สนใจ ถ้าเธอยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ต้องใช้เวลาเติบโต เขาได้แต่ฟุ้งซ่านกับความคิดร้ายๆ ของตาเฒ่าหัวงูเพิ่มขึ้นอีกนิดก็ยังดี จากนั้นเขาคิดถึงเรื่องนางพญาเฟ่ยเหวินหลี เมื่อเขาสามารถช่วยนางพญาเฟ่ยเหวินหลีออกมาจากมิติหลุมดำได้ในที่สุดแล้ว จากนั้นเขาจะสามารถโอบนางพญาเฟ่ยเหวินหลีข้างซ้าย เสี่ยวเหวินหลีอยู่ตรงกลางและโอบเทพธิดากระบี่ฟ้าข้างขวา นั่นแหละถึงจะเป็นชีวิตที่มีความสุข แค่นึกเขาก็สุขใจแล้ว
เขาอุ้มปีศาจน้อยขึ้นมาแล้วหอมแก้มซ้ายขวาของเธอ
พอเห็นรอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยความสุข เย่ว์หยางรู้สึกว่าอิ่มเอมใจ ตาเฒ่าหัวงูในโลกหล้านี้จะทำอะไรได้อย่างนี้ไหม? แน่นอนว่าไม่
“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะกลายเป็นเฒ่าหัวงูที่น่านับถือ เอ๊ย..ข้าหมายถึง ข้าต้องการเป็นคนที่มีความสุข!”
เย่ว์หยางประกาศความใฝ่ฝันของเขา
“อือ อือ!”
เสี่ยวเหวินหลีพยักหน้าอย่างมาดมั่น โดยไม่ตระหนักถึงชะตาตนเอง เมื่อเธอโตขึ้น
ต่อมาได้เวลาเก็บกวาดสนามรบ
แก่นเวทของอสูรทราย อสูรทองระดับ 8 อยู่ในมือของเขาแล้ว และเย่ว์หยางใช้เพลิงอมฤตกลั่นจนบริสุทธิ์ ส่วนศพของแมงมุมหว่านแห อสูรทองระดับ 8 ถูกหั่นกระจัดกระจายเป็นชิ้น เย่ว์หยางต้องมองหาอยู่นานกว่าจะพบแก่นเวท เย่ว์หยางต้องใช้เวลาค้นหาอยู่นานกว่าจะพบแก่นเวทถูกฝังอยู่ฝุ่นทราย
ดูเหมือนเมดูซาศิลาจะให้ความสนใจแก่นเวทมาก นางจับตามองดูมันและอดทนรอคอย เย่ว์หยางถึงกับพูดไม่ออก นี่คือแก่นของแมงมุม และเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์เมดูซา พวกเจ้าก็รู้ว่าแตกต่างสายพันธุ์กันนี่นา อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางไม่ได้ตระหนี่หวงแหนแก่นเวททองระดับ 8 เขาโยนแก่นเวทให้เมดูซาศิลา
เมดูซาศิลาผสานแก่นเวทเข้าไว้ในคันศรทองของนางทันที จากนั้นดูดกลืนพิษแมงมุมหว่านแหไว้ในท้องของนางทันที
ลำแสงสีทองเข้มฉายขึ้นสู่ท้องฟ้า
แสงสีม่วง เขียวและขาวที่แตกต่างกันทั้งสามฉายออกจากคันศรของเมดูซาศิลา
ในที่สุด ลำแสงก็เปลี่ยนเป็นลูกศรสีต่างกัน 3 ดอก
เย่ว์หยางสามารถเห็นได้ด้วยทักษะญาณทิพย์ระดับ 5 ของเขาว่าเมดูซาศิลายกระดับขึ้น ยิ่งกว่านั้น ยังมีวิวัฒนาการด้วย หลังจากดูดซับเพลิงอมฤตเทียมในวิหารคนคู่แล้ว เมดูซาศิลาได้พลังโจมตีเป็นธาตุไฟ แม้ว่าจะยังเทียบมิได้กับเพลิงอมฤตแท้ๆ แต่ก็ยังทรงพลังสำหรับศัตรูธรรมดา มันเป็นเพลิงอมฤตที่วิหารคนคู่ได้สร้างขึ้นมา
เพลิงอมฤตเทียมก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี ตอนนี้ คันศรทองดูดกลืนแก่นเวทของแมงมุมหว่านแห อสูรทองระดับ 8 และพร้อมที่จะวิวัฒนาการ นอกจากธาตุศิลา ธาตุไฟที่เมดูซาศิลามีอยู่แต่ก่อนนั้น ก็ยังได้พิษและใยแมงมุมเพิ่มขึ้นมาอีก ถ้าเข้าใจไม่ผิดเมดูซาศิลาจะด้อยที่สุดในบรรดาอสูรพิทักษ์ที่เสี่ยวเหวินหลีมี แต่ตอนนี้ พลังของนางเพิ่มขึ้นพรวดพราดแซงนางเงือกวายุและแทบจะใกล้เคียงนาคาสายฟ้าแล้ว
มิติประลองที่เป็นงานทดลองของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
ท้องฟ้าทั้งหมดและภาคพื้นปกคลุมไปด้วยฝุ่น
ไม่มียอดเขา, หิน, หรือแม็กม่าอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างย่อยสลายกลายเป็นฝุ่น
เมื่อเย่ว์หยางเก็บศพว่านฉีซิ่วหลิง, อินทรีทองอสูรศักดิ์สิทธิ์ “ซาซา” ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ก็หายไปเหมือนกับว่านางไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
ทันทีที่เจ้านายของมันตาย อสูรพิทักษ์ก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่า มันไม่อาจฟื้นกลับขึ้นมาได้ใหม่อีกต่อไป!
นางเงือกวายุอาจจะไม่ชอบมิติประลองที่เต็มไปด้วยไฟและฝุ่นเถ้าถ่าน ดังนั้นนางจึงเป่าสังข์เรียกพายุฝนและสึนามิกวาดล้างมิติประลอง
ในเวลาไม่ถึงสองนาที พายุฝนและสึนามิก็ท่วมพื้นที่มิติประลองจมอยู่ในใต้น้ำ
หลังต่อสู้มาอย่างหนัก ทักษะอัญเชิญของนางเงือกวายุก็ยกระดับขึ้นด้วย ทรงพลังมากกว่าเดิม เมื่อมิติประลองมีน้ำท่วม เมดูซาศิลาเรียกฉลามเสือทองที่นางทำสัญญาไว้ออกมา ปล่อยให้มันว่ายน้ำอย่างอิสระชั่วระยะหนึ่ง ฉลามเสือทองไม่ได้ว่ายน้ำเล่นมานานแล้ว มันกินเนื้อของแมงมุมหว่านแหที่เหลืออย่างสบายอารมณ์ แม้ว่าจะไม่มีแก่นเวท แต่ฉลามเสือทองก็พอใจกินเนื้อของแมงมุมหว่านแห อสูรทองระดับ 8 มากกว่า
“ปล่อยเจ้านี่ไว้ที่นี่ก่อน ตอนนี้เราออกไปกันเถอะ”
พอเห็นฉลามเสือทองกระตือรือร้นกับอาหารของมัน เย่ว์หยางคิดว่าปล่อยเจ้าจอมตะกละนี้ที่ยังไม่สามารถสู้ได้เอาไว้ที่นี่ก่อน
บนถนนเชิงเขามุ่งหน้าสู่ปราสาทตระกูลเย่ว์
เมื่อเย่ว์หยางวุ่นอยู่กับการพบกับนางพญาเฟ่ยเหวินหลีในมิติหลุมดำ และฆ่าว่านฉีซิ่วหลิงอยู่นั้น องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เจ้าเมืองโล่วฮัวและคนอื่นๆ กำลังสู้เสี่ยงตายกับไคหยางแห่งกลุ่มพันธมิตรเจ็ดดาว สำหรับฮุยไท่หลาง, นางปีศาจดอกหนามและอสูรทองน้อย ก็ทรงพลังทั้งนั้น ขณะที่เจ้านายของพวกมันเอาชนะศัตรูได้
จ้าวอัคนี อสูรทองระดับ 9 แมมม็อธยักษ์ อสูรทองระดับ 6 และยักษ์ทองตาเดียว อสูรทองระดับ 6 ต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถ
จ้าวอัคนีเดิมทีจะทรงพลังมาก
ก่อนที่ปีศาจดอกหนามที่น่ารักและดูไร้เดียงสาจะปรากฏตัวนั้น มันมีพลังอยู่ยงคงกระพันในสนามรบ ไม่มีอสูรตนใดเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้ จะใช้คำอธิบายสั้นๆ ก็จะอธิบายได้ว่า "หมัดใครใหญ่กว่า คนนั้นเป็นเจ้า” แมมม็อธสายฟ้ายักษ์เป็นอสูรชั้นทอง ยักษ์ตาเดียวรู้จักทักษะต่อสู้ ด้วงจอมพลังมีพลังป้องกันเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า อสูรหุ่นรับใช้ทั้งสอง เจ้าอ้วนไห่ผู้สามรถแปลงร่างเป็นเบเฮม็อธและเสวี่ยทันหลางบุรุษน้ำแข็งทั้งหมดนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวอัคนี
เจ้าอัคนีเพียงแต่ต้องการไล่ทุบศัตรูรอบข้างเท่านั้น ร่างสูงสามสิบเมตรของมันและหมัดขนาดเท่าบ้านพอที่จะทำให้พวกมันกลายเป็นเจ้านายในสนามรบได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางปีศาจดอกหนามผู้งดงามร่างอ้อนแอ้นปรากฏตัวขึ้น อสูรจอมยโสผู้นี้ก็ต้องพบจุดจบที่น่าอนาถ
ดูจากภายใน ดูเหมือนมันไม่จำเป็นต้องใช้แรงอย่างอื่นมากไปกว่าใช้แค่นิ้วก้อยนิ้วเดียวก็น่าจะขยี้นางปีศาจดอกหนามได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่จ้าวอัคนีเห็นปีศาจดอกหนาม มันถอยหนีด้วยความกลัวทันที
อสูรชั้นทองระดับ 9 แม้ว่าจะไม่ถึงกับเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเฉลียวฉลาด มันเข้าใจดีว่าใครคือดาวข่มของมันและเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ถ้ามันสามารถเลือกศัตรูได้ จ้าวอัคนียอมต่อสู้กับมนุษย์นักสู้ปราณก่อกำเนิดมากกว่าต้องสู้กับนางปีศาจดอกหนามนี้
ปีกคล้ายดอกไม้ปรากฏอยู่บนตัวของนางปีศาจดอกหนาม และนางบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เพียงแต่นางขยับมือ เถาดอกหนามยักษ์นับไม่ถ้วนและแบบลำต้นผุดออกมาจากพื้น มีเถาไม้นับพันต้นงอกท่วมเต็มทางขึ้นภูเขาและเต็มไปด้วยทะเลดอกไม้ จากนั้นเถาก็งอกยาวขึ้นเรื่อยๆ และสานตัวเป็นร่างยักษ์ มันมีร่างและหัว มือและขาและสูงพอๆ กับจ้าวอัคนี บางทีอาจสูงกว่าเล็กน้อย
การปรากฏตัวของเถายักษ์เป็นการประกาศว่าจุดเริ่มต้นชีวิตที่น่าสมเพชของจ้าวอัคนีเริ่มขึ้นแล้ว
ตอนแรกยักษ์เถาวัลย์นี้ไม่กลัวต่อการโจมตีเลย หมัดของจ้าวอัคนีไม่มีผลต่อร่างของยักษ์เถาวัลย์แม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามจ้าวอัคนีต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากเถาวัลย์ตวัดรัดรอบจ้าวอัคนีไว้
จากพื้นดิน เถานับไม่ถ้วนยังคงทำลายพื้นงอกออกมา แล้วพันรอบเท้าของจ้าวอัคนีไว้ ทำให้ร่างของมันสั่นล้มลงกับพื้น จ้าวอัคนีพยายามดิ้นให้หลุด แต่ขาของมันถูกเถาหนานับพันเถารัดรอบไว้ และถูกมัดหนาแน่นอยู่ภายใน แม้ว่าจ้าวอัคนีจะทรงพลังมากมาย แต่พลังของมันก็ไร้ประโยชน์ยามที่ถูกเถาวัลย์มัดอย่างหนาแน่น
“พระเจ้าช่วย, เด็กผู้หญิงนางนั้นน่ากลัวมากเหลือเกิน” เจ้าอ้วนไห่กลัวปีศาจดอกหนาม โชคดีที่นางเป็นอสูรของเย่ว์หยาง ถ้านางเป็นอสูรของศัตรู เจ้าอ้วนไห่คงมิอาจคาดคิดถึงผลที่จะตามมา
“....”
อย่าว่าแต่เจ้าอ้วนไห่เลย แม้แต่ซุ่นเทียนที่จับตามองการต่อสู้จากในที่ไกล สีหน้าของจักรพรรดิจื่อเว่ยสับสนและซับซ้อน
ตอนนี้นางยังไม่ได้เป็นนางพญาดอกหนามมงกุฎทอง แต่นางก็ยังเอาชนะจ้าวอัคนีได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเขายังปล่อยให้นางวิวัฒนาการไปเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฎทอง นางจะมิน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีกหรือ? ซุ่นเทียนไม่สามารถกำจัดนางปีศาจดอกหนาม ทั้งที่นางเซียนหงส์ฟ้ายังจ้องอยู่ข้างๆ เขาเหมือนนางเสือร้าย
เขารู้สึกหดหู่ใจจริงๆ เขามั่นใจว่ากำจัดนางปีศาจดอกหนามในตอนนี้ได้ เพราะนางยังไม่โตเต็มวัย ถ้ารอจนกระทั่งนางวิวัฒนาการจนเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฎทอง นางจะเป็นหนามยอกในแผนการของเขาได้
ปีศาจดอกหนามยังคงสู้กับจ้าวอัคนีต่อไป
เถาวัลย์มีผลในการสกัดขัดขวางการหายใจของจ้าวอัคนี แต่ก็ยังไม่เพียงพอฆ่าเขา
จ้าวอัคนีคือยักษ์ศิลาตนหนึ่ง มันไม่จำเป็นต้องหายใจและร่างของมันก็แข็งพอกับอุกกาบาตที่มีความแข็งเป็นเลิศ คุณสมบัติพิเศษทำให้มันป้องกันการโจมตีทางกายภาพและการโจมตีร้อยรัดได้ แม้แต่เครื่องมืออาวุธโดยทั่วไปที่ใช้โจมตีปราสาทก็ยังไม่มีผลต่อมัน มันแค่รู้สึกคันเท่านั้น มันมีความทนทานต่อการโจมตีโดยสิ้นเชิง
อย่างนั้นจะฆ่าจ้าวอัคนีได้อย่างไร?
ถ้าให้เจ้าอ้วนไห่คิดหาคำตอบจากคำถามนี้ ต่อให้ผ่านไปถึงสิบปี เขาก็ยังตอบไม่ได้
เย่คง, เสวี่ยทันหลาง, องค์ชายเทียนหลัวก็ยังคงคิดถึงปัญหานี้ พวกเขารู้ว่าปีศาจดอกหนามเป็นดาวข่มของจ้าวอัคนี แต่พวกเขาไม่สามารถคิดวิธีการดีๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ได้
ปีศาจดอกหนามกำลังขบหัวแม่มืออย่างน่ารัก พลางเอียงศีรษะคิดหาวิธีอยู่ด้านข้าง
สีหน้าครุ่นคิดของเธอทำให้ซุ่นเทียนรู้สึกอิจฉา
อสูรที่สามารถคิดได้ นี่จะอยู่ห่างจากระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์เท่าใดกัน? แม้แต่นางพญาดอกหนามมงกุฏทองก็ยังไม่มีสติปัญญาระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์ นางก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว ถ้านางสามารถกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ พลังของนางไม่ใช่แค่เพียงเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า นางสามารถมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากตอนนี้ ถึงตอนนั้น ก็ยากที่จะฆ่านางได้แน่นอน
นางเซียนหงส์ฟ้ายังคงจ้องเขาต่อไป หน้าของนางมีรอยยิ้ม แต่รังสีฆ่าฟันของนางซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น เหมือนกับว่านางพร้อมจะโจมตีเมื่อใดก็ได้
ซุ่นเทียนไม่มีทางเลือก เขาทำได้เพียงเก็บความตั้งใจที่จะฆ่าของเขาไว้เท่านั้น
ทันใดนั้นปีศาจดอกหนาม ดูเหมือนจะคิดหาวิธีได้แล้ว จ้าวอัคนีจะต้องพบจุดจบที่น่าอนาถ
เถาวัลย์นับไม่ถ้วนงอกออกมาจากพื้น สูงขึ้นไปในท้องฟ้า สร้างเป็นป่าที่เขียวชอุ่มแน่นหนา จ้าวอัคนีที่ถูกมัดตรึงอยู่บนพื้นถูกยกขึ้นสูงขึ้นไปในท้องฟ้าทันทีโดยเถาวัลย์ที่งอกออกมาจากพื้นนับหมื่น จากนั้นมีเถาวัลย์จำนวนหนึ่งรั้งแขนขาทั้งสี่ของมันไว้...
“ความคิดเยี่ยม!”
เสวี่ยทันหลางยิ้มขณะที่เขาชมนางเสียงดัง
“อะไรเหรอ?”
เจ้าอ้วนไห่ยังไม่เข้าใจ
“เจ้าโง่! จ้าวอัคนีเป็นอสูรที่มีคุณสมบัติทางธาตุดิน อยู่บนพื้น พลังของมันแข็งแกร่งมาก และมันสามารถดูดซับพลังของปฐพีได้ไม่สิ้นสุด แม้ว่ามันจะไม่สามารถดูดซับได้มาก แต่ปีศาจดอกหนามจะไม่สามารถฆ่ามันกำจัดมันด้วยพลังเพียงแค่นั้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงยังชะงักนิ่งกันต่อไป”
เย่คงวิจารณ์ความได้ยอดเยี่ยม
“พอห่างจากพื้น นางก็ตัดความสามารถดูดซับพลังงานพื้นปฐพีของจ้าวอัคนีได้ และเนื่องจากปีศาจดอกหนามเป็นดาวข่มของมัน นางสามารถดูดซับพลังงานบนร่างของมัน และสร้างความอ่อนล้าให้กับพลังของจ้าวอัคนี ดูเหมือนว่าตอนนี้ถึงเวลาพ่ายแพ้ของจ้าวอัคนีแล้ว”
องค์ชายเทียนหลัวรู้ว่าจ้าวอัคนีมีชะตาต้องตายแน่ แต่เขาคิดว่าในฐานะอสูรชั้นทองระดับ 9 จ้าวอัคนีอาจจะเหลือกำลังอยู่มาก อาจจะทนอยู่ได้ค่อนข้างนาน
ดอกหนามนับไม่ถ้วนเริ่มเจาะเข้าไปในร่างของจ้าวอัคนี
ปากดอกไม้ขนาดยักษ์น่าเกลียดแตกออกมาจากเถา และดูดกลืนพลังงานของจ้าวอัคนีทีละน้อยๆ
การโจมตีแบบนี้ช้ามากและมีผลกระทบที่อ่อน แต่ก็เพียงพอทำให้จ้าวอัคนีกลัว มันเริ่มดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดของมัน ดิ้นรนอย่างสุดกำลังเพื่อให้หลุดจากเถาที่ขวางมือขวางเท้า อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ดิ้นรนของมันไร้ผล บางทีเป็นเวลานานกว่าที่มันจะตาย แต่ในที่สุด การดิ้นรนเช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์
ในหมู่บ้านตระกูลเย่ว์ที่พังทลาย
ยักษ์ตาเดียว อสูรทองระดับ 6 แหกปากร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ตาเพียงดวงเดียวของมันถูกฮุยไท่หลางตะกุย ยักษ์ทองตาเดียวกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น กุมตาครวญครางด้วยความเจ็บปวดที่ทำให้คนอื่นได้ยินแล้วต้องขนลุกจนถึงปลาย
ตาดวงเดียวคือจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมัน วิธีการของฮุยไท่หลางอำมหิตนัก อย่างไรก็ตาม อสูรทองน้อยยังอำมหิตมากกว่า มันไม่ใช่สัตว์มังสวิรัติแน่นอน มันแทะกะโหลกของยักษ์ทองตาเดียวจนเป็นรูขนาดยักษ์ กะโหลกของยักษ์ตาเดียวเปิดออก ขณะที่เสียงกระโหลกแตกกึกก้องอยู่ในหูของมัน
อสูรทองน้อยไม่สนใจว่ายักษ์ทองตาเดียวจะเป็นหรือตาย มันแค่สนใจแต่วิธีลัดที่จะเข้าไปเอาแก่นเวท
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันแทะกะโหลกของศัตรูเข้าไปเอาแก่นเวท
มังกรกระดูก, หัวยักษ์ มันเคยกัดแทะทุกอย่างภายใต้ดวงอาทิตย์มาแล้วโดยไม่เลือกสายพันธุ์
ฮุยไท่หลางมีความสุขที่ได้ร่วมทีมกับเจ้าอสูรทองน้อยนี้ เจ้าอสูรทองน้อยอยู่ในช่วงโจมตีแทะกะโหลกของยักษ์ทองตาเดียว ขณะที่ฮุยไท่หลางขย้ำแขนขาของมัน ดังนั้นมันจะไม่รบกวนอสูรทองน้อยจากการแทะกะโหลกยักษ์
อสูรทองน้อยต้องการจะกินแก่นเวท แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้านาย ฮุยไท่หลางรู้ว่ามันจะต้องคายออกมาอีกครั้งแน่
พวกมันจะได้รับรางวัลโดยพื้นฐานจากความดีความชอบของพวกมัน
ฮุยไท่หลางได้ยินเย่ว์หยางพูดประโยคนี้มาก่อน และมันเข้าใจความหมาย เขาหมายความว่า ยิ่งพวกมันทำงานมากขึ้น เจ้านายมันก็จะมีความสุขมากขึ้นและเขาจะให้รางวัลพวกมันมากขึ้น
ภายใต้สถานการณ์พยายามสร้างความดีความชอบมากยิ่งขึ้น ฮุยไท่หลางถึงได้มีความสุขที่ได้ร่วมงานกับอสูรทองน้อย ยักษ์ทองตาเดียวต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถ กลายเป็นผู้เสียสละรายแรกที่พวกมันจะนำเสนอให้เย่ว์หยาง ขณะเดียวกัน แมมม็อธสายฟ้า อสูรทองระดับ 6 กลัวแทบตาย มันต้องการจะหลบหนีไป แต่มันถูกด้วงจอมพลังที่พยายามพิสูจน์ตัวว่ามันเป็นอสูรชั้นสามัญที่น่ากลัวเช่นกันขวางทางไว้
ด้วงจอมพลังหยุดแมมม็อธสายฟ้าไว้ได้
แม้ว่าพลังของมันจะอยู่ในระดับต่ำกว่าแมมม็อธสายฟ้า แต่พลังป้องกันที่ยอดเยี่ยมของมันก็เพียงพอจะหยุดแมมม็อธสายฟ้าได้ทันเวลา
แน่นอนยังคงมีหุ่นรับใช้สองตัวอย่างออพติมัส ไพร์มและเมกะทรอนร่วมมือด้วย
แม้ว่าพวกมันจะไม่มีพลังโจมตีแต่อย่างใด แต่พวกมันก็ยังเหมาะสมกับคำว่า กำแพงมนุษย์ได้
เย่คง, เจ้าอ้วนไห่, พี่น้องตระกูลหลี่, เสวี่ยทันหลาง, องค์ชายเทียนหลัวและคนอื่นๆ เห็นว่าพวกมันถือโอกาสอวดพลังของพวกมัน พวกมันทั้งหมดไม่ได้มีไว้ฉลองหรือตั้งอวดความเคลื่อนไหวของมัน
แมมม็อธสายฟ้าเสียเปรียบในเรื่องจำนวนอย่างมาก มันจึงมีชะตาประสบความพ่ายแพ้
ไคหยางแห่งพันธมิตรเจ็ดดาว เจ้านายของมันโกรธจัด เขาบินมาช่วยสัตว์อสูรของเขา แต่ด้วยความรู้สึกปราณก่อกำเนิดของเขา ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงอันตรายที่มาจากด้านหลังของเขา พอเหลียวกลับไป เขาเห็นแสงอุษามรณะที่น่ากลัวยิงตรงมาทางเขา
ซุ่นเทียนไม่สนใจเรื่องไคหยาง, ยักษ์ทองตาเดียวหรืองแมมม็อธทองว่าจะเป็นหรือตาย สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือปีศาจดอกหนาม
ปีศาจดอกหนามยังไม่สามารถเอาชนะศัตรูของนางได้หลังจากผ่านไปนาน
ทันใดนั้น นางขบนิ้วของนางและเริ่มคิดอีกครั้ง
ขณะที่ซุ่นเทียนยังคงมองนางต่อไป ตาของเขาเปลี่ยนเยียบเย็นทุกขณะ ทันใดนั้นนางปรบมืออย่างพอใจ เหมือนกับว่าหาแนวคิดดีๆ ได้แล้ว นางกางปีกดอกไม้และบินไปที่หัวของยักษ์ทองตาเดียว และจับอสูรทองน้อยที่กำลังแทะกะโหลกยักษ์ทองตาเดียวอย่างเอาเป็นเอาตาย
อสูรทองน้อยกลายเป็นดาบทองเข้มอยู่ในมือของนาง
เมื่อนางปีศาจดอกหนามถือดาบทองได้ ก็กางปีกแล้วบินตรงมาที่จ้าวอัคนี ซุ่นเทียนถึงกับสีหน้าเปลี่ยน เขาแสดงอาการประหลาดใจขณะถามว่า
“แปลงร่างหรือ? อสูรนั่นกำลังแบ่งร่างให้เจ้านายมัน อสูรทองน้อยตัวนั้นความจริงเรียกว่า อสูรทงเทียนใช่ไหม?”
นางเซียนหงส์ฟ้าหัวเราะและพูดอย่างเยือกเย็น
“ท่านซุ่นเทียน ท่านอย่าคิดเปลี่ยนอสูรทงเทียนให้เป็นอสูรทงเทียนในตำนานเลย จะทำให้ฟังดูแล้วเหมาะกับมันมากกว่าใช่ไหม?”
ขณะนี้ หน้าของซุ่นเทียนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความอิจฉาความโลภแว่บผ่านอยู่ในดวงตาเขา เขาหันไปมองนางเซียนหงส์ฟ้าขณะที่เขาถามอย่างประหลาดใจว่า
“เจ้าพูดว่าไงนะ? เจ้าหมายความว่าอสูรทองน้อยตัวนั้นทำสัญญากับคัมภีร์อย่างนั้นหรือ? มันถึงเกณฑ์ที่จะกลายเป็นอสูรในตำนานแล้วหรือ? ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้!”
“แน่นอนว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต”
นางเซียนหงส์ฟ้ายิ้มจนเห็นลักยิ้ม แต่นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันมากขึ้นตามเวลา
นางรอเวลาเหมาะที่จะโจมตี
ยกตัวอย่าง ขณะที่เมื่อเย่ว์หยางกลับมาในที่สุด
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=305